ศิลปวัฒนธรรมสมัยกรุงสุโขทัย
ศิลปวัฒนธรรมสมัยกรุงสุโขทัย
http://farm4.static.flickr.com/3227/3033076709_860c28014a_o.jpg
1. วัฒนธรรมทางด้านการศึกษา
ในสมัยโบราณความหมายของการศึกษา ซึ่งเป็นความหมายเดิมแท้นั้นกล่าวว่า “การศึกษา คือ การสืบทอดและสร้างสรรค์วัฒนธรรม“ กรุงสุโขทัยการจัดรูปแบบทางการศึกษาในช่วงแรกจะได้รับอิทธิพลจากคติพราหมณ์ ต่อจากนั้นจึงรับคติธรรมทางพุทธศาสนาเข้ามาเป็นหลักเกณฑ์สำคัญ ของการจัดการศึกษาทั้งสิ้น การศึกษาในสุโขทัยน่าจะมีลักษณะต่างๆ ดังนี้
1. การศึกษาทางพุทธศาสนาให้แก่คนฝักใฝ่ธรรม เป็นการศึกษาให้แก่ผู้ที่มีปัญญาและต้องการพัฒนาปัญญาและจิตใจ การที่ฝักใฝ่ธรรมมีความรู้นั้นต้องเรียนหนังสือ เรียนอักขระ ศึกษาอ่านเขียนพระธรรม คัมภีร์ต่างๆโดยมีพระสงฆ์ทำหน้าที่ “ครูบาอาจารย์“ ในศิลาจารึกหลักที่ 1 ปรากฎข้อความกล่าวว่า “พ่อขุนรามคำแหงกระทำโอยทานแก่มหาเถรสังฆราชปราชญ์เยนจนจบปิฎกไตรหลวักกว่าปู่ครูในเมืองนี้ ทุกคนลุกแต่เมืองศรีธรรมราชมา“
2. การศึกษาในวิชาชีพ เป็นการเรียนตามกฎธรรมชาติ เรียนจากพ่อแม่ เรียนจากชุมชนที่ตัวอยู่ใกล้ เรียนจากการกระทำ การฝึกฝนศิลปหัตถกรรมต่าง ๆ การทำไร่ไถ่นา การปั้นเครื่องปั้นดินเผา งานทางด้านจิตรกรรม ประติมากรรมหรือสถาปัตยกรรม เป็นต้น
2. วัฒนธรรมทางด้านตัวอักษรไทย
ศิลาจารึกหลักที่ 1 ปรากฎข้อความที่เกี่ยวข้องอักษรไทยสมัยพ่อขุนรามคำแหงว่า “ 1205 ศกปีมะแม พ่อขุนรามคำแหงหาใคร่ใจในแลใส่ลายสือไทยนี้จึ่งมีเพื่อขุนผุ้นั่นใส่ไว้” จึงเป็นที่เชื่อกันว่าอักษรไทยที่พ่อขุนรามคำแหงซึ่งลงศิลาจารึก ปี พ.ศ. 1826 เป็นอักษรไทยเก่าแก่ที่สุดที่ใช้ในประเทศไทย แต่ ยอร์ช เซเดส์ นั้นได้สรุปว่า อักษรพ่อขุนรามคำแหงนั้นดัดแปลงมาจากอักษรขอมหวัด เพราะมีรูปลักษณะคล้ายคลึงกันมาก แต่จากการศึกษาของ นันทนา ด่านวัฒน์ ทางด้านอักขรวิทยาพบว่าอักษรต้นตระกูลของอักษรพ่อขุนรามคำแหง คือ อักษรหราหมี อักษรคฤนห์ อักษรขอมหวัด เพราะปรากฎความคล้ายคลึงทางด้านอักขรวิทยาของอักษรพ่อขุนรามคำแหงและอักษรใน ตระกูลทั้งสาม อักษรพ่อขุนรามคำแหงนั้นใช้เฉพาะในรัชสมัยของพระองค์เท่านั้น เพราะในสมัยของพระมหาธรรมราชาที่ 1 ได้ปรากฎอักษรไทยแบบใหม่ขึ้นเรียกว่า อักษรพระเจ้าลิไทย
3. วัฒนธรรมทางด้านวรรณกรรม
1. ศิลาจารึก ทางการศึกษามีประโยชน์คือใช้ศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี วิชาอักษรศาสตร์ นิติศาสตร์ สังคมศาสตร์ ศิลาจารึกที่พบในสมัยสุโขทัยมีประมาณ 30 หลัก ที่สำคัญมากได้แก่ ศิลาจารึกหลักที่ 1 ซึ่งรวมคุณค่าทางภาษา ทั้งความรู้ด้านกฎหมาย ความรู้ทางการปกครอง ความรู้ทางด้านวัฒนธรรม ความรู้ทางด้านสถาปัตยกรรม และศิลปกรรม นับว่าวรรณกรรมประเภทนี้เป็นหลักฐานยืนยันเรื่องราวทางวัฒนธรรมสมัยสุโขทัย
2. ไตรภูมิพระร่วง ถือเป็นวรรณกรรมปรัชญาชิ้นแรกของไทย พระมหาธรรมราชาที่ 1 ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นในปี พ.ศ.1888 นับเป็นวรรณกรรมที่ทรงคุณค่าทางปรัชญา คุณค่าทางวรรณคดีโดยเฉพาะการสอนจริยธรรม คือสอนให้คนรู้จักความดีความชั่ว และให้รู้จักใช้วิจารณญาณและสอนให้คนมีศีลธรรมรักษาความดีและมีความรับผิดชอบ
3. สุภาษิตพระร่วง วรรณกรรมชิ้นนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าเกิดขึ้นในสมัยสุโขทัยหรือไม่ อย่างไรก็ตามสุภาษิตพระร่วงนับว่าเป็นวรรณกรรมที่ทรงคุณค่ายิ่ง เพราะมีจุดประสงค์ที่จะสั่งสอนคน สาระการสอนนั้นมีทั้งวิชาความรู้ เรื่องมิตรและการผูกมิตร การปฏิบัติตนต่อบุคคลประเภทต่างๆ สอนให้รู้จักรักษาตัวให้พ้นภัย สอนให้รอบคอบ เช่น “เมื่อน้อยให้เรียนวิชาให้หาสินเมื่อใหญ่“ หรือ ”ปลูกไมตรีอย่ารู้ร้าง“ ดังนั้นสุภาษิตพระร่วงจึงมีอิทธิพลต่อความคิดของคนไทยเป็นอันมาก ทั้งยังมีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่เพราะได้นำเอาสุภาษิตมาใช้เป็นคติธรรม ในการดำรงชีวิตอีกด้วย
4. ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ บางคนเชื่อว่าตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ แต่งในสมัยสุโขทัยเพราะมีเรื่องราวอ้างถึงสถานที่ต่างๆ ที่เมืองสุโขทัยตอนหนึ่ง อีกตอนกล่าวถึงพระราชจรรยาของสมเด็จพระร่วงเจ้า แต่บางคนก็เชื่อว่าเป็นวรรณกรรมที่แต่งในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จุดประสงค์การแต่งเพื่อเป็นการแนะนำตักเตือนข้าราชการให้มีกริยามารยาทให้สมกับศักดิ์ศรีของตนและเพื่อเชิดชูเกียรติยศของพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้ยังทรงคุณค่าทางด้านขนบธรรมเนียม ประเพณีของราชสำนัก โดยเฉพาะประเพณีพราหมณ์ทั้ง 12 เดือน
4. วัฒนธรรมทางด้านดนตรีและการฟ้อนรำ
ศิลาจารึกหลักที่ 1 ปรากฎข้อความว่า “เมื่อจักเข้ามาเวียงเรียงกันแต่อรัญญิกพู้นเท้าหัวลานดมบงคมกลอง ด้วยเสียงพาทย์เสียงพินเสียงเลื่อนเสียงขับ ใครจักมักเล่น ใครจักมักหัว ใครจักมักเลื่อนเลื่อน…”
ศิลาจารึกหลักที่ 8 ปรากฎข้อความว่า “ดับหนทางแต่เมืองสุโขทัยมาเถิงเขานี้งามหนักหนาแก่กม สองขอก หนทางย่อมกัลปพฤษ์ใส่ร่มยล ดอกไม้ตามใต้เทียนประทีป เผาธูปหอมตลบทุกแห่งปลูกธงปฎาทั้งสองปลาก หนทางย่อมเรียงขันหมากขันพลูบูชาพิลม ระบำเต้นเล่นทุกฉัน ด้วยเสียงอันสาธุการบูชา หยิบดุริยาพาทย์ พิณฆ้องกลองเสียงดัง สิพอดังดินจักหล่มอันไซร้”
จากศิลาจาริกดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการนำเครื่องดนตรีและการฟ้อนรำ การเล่นสนุกสนานของชาวสุโขทัย นายมนตรี ตราโมท ได้กล่าวถึงวัฒนธรรมทางด้านดนตรีของสุโขทัย โดยแยกพิจารณา 2 ประการ คือ
1. เครื่องดนตรี ประกอบด้วยเครื่องดนตรี ดังนี้ คือ สังข์ แตร บัณเฑาะว์ มโหระทึก ปี่ฉไนแก้ว ปี่สรไน กลองชนะ ฆ้อง กลอง ตะโพน ฉิ่ง กลับ ระฆัง กังสดาล ซอ
2. เพลงร้องและเพลงดนตรี ในสมัยสุโขทัยมีทั้งการร้องและการขับ แต่ทำนองร้องและทำนองขับจะเป็นอย่างไรยากที่จะชี้ให้ชัดเจนได้ มีเพลงที่น่าจะเป็นเพลงสมัยสุโขทัย คือ เพลงเทพทองหรือเพลงสุโขทัย ทำนองเพลงนี้เดิมที่เดียวเป็นเพลงพื้นเมืองใช้ร้องว่าแก้กันระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย ส่วนอีก 2 เพลงน่าจะเป็นสมัยสุโขทัย คือเพลงพระทองกับเพลงนางนาค
http://www.banphai.ac.th/data/techno/compu/com%20424/webkc2552/m50351/06_532325/pic53c3/oo.jpg
5. วัฒนธรรมทางด้านประติมากรรมและจิตรกรรม
วัฒนธรรมทางด้านประติมากรรมและจิตรกรรมเป็นงานประณีตศิลป์ ซึ่งแสดงถึงความสมารถและความเข้าถึงแก่นของคำสั่งสอนของพุทธศาสนาของช่างศิลป์
1. ประติมากรรม ในสมัยสุโขทัยส่วนใหญ่ ได้แก่การสร้างพระพุทธรูป ซึ่งนิยมสร้างพระพุทธรูปปั้นและหล่อด้วยสัมฤทธิ์ เป็นการสร้างพระพุทธรูปเป็นแบบลอยตัวและภาพนูนสูงติดฝาผนัง นอกจากพระพุทธรูปแล้ว ยังมีการหล่อเทวรูปสัมฤทธิ์ เช่น เทวรูปพระนารายณ์ เทวรูปพระอิศวร เทวรูปพระหริหระ งานประติมากรรมที่เด่นที่สุดในสมัยสุโขทัยส่วนใหญ่ คือ พระพุทธรูปจะเห็นได้ว่าพระพุทธรูปที่สวยงามในศิลปะแบบสุโขทัยเป็นรูปที่ตรัสรู้แล้ว ดังนั้น ระบบกล้ามเนื้อต่างๆ จึงมีการผ่อนคลายและพระองค์ก็จะอยู่ในความสงบแท้จริง พระพักตร์สงบมีรอยยิ้มเล็กน้อย
2. จิตรกรรม จิตรกรรมที่พบในสมัยสุโขทัยทั้งภาพลายเส้นและลายเขียนฝุ่น โดยเฉพาะในแผ่นหินชนวนวัดศรีชุม เมืองสุโขทัยเป็นภาพชาดก จะเห็นได้ว่าเส้นลายดังกล่าวเป็นภาพที่อิทธิพลของศิลปะศรีลังกาอยู่ เช่นภาพเทวดาต่างๆ ใบหน้าเทวดาก็ดี คอมีรอยหยัก มงกุฎทรง เครื่องแต่งกายเป็นแบบลังกาทั้งสิ้น แต่คนไทยสมัยสุโขทัยน่าจะมีส่วนร่วมในการสลักภาพเหล่านี้ด้วย ภาพสลักที่วัดศรีชุมเป็นเรื่องราวทางพระพุทธศาสนาเป็นชาดกต่างๆ ส่วนภาพจิตรกรรมฝาผนังนั้นเป็นวิวัฒนาการหนึ่งที่ไกลออกจากภาพลายสลักเส้น ใช้สีแบบดำ แดง ที่เรียกว่า สีเอกรงค์ แต่มีน้ำหนักอ่อนแก่ เล่นจังหวะอย่างสวยงาม ภาพวาดเทวดายังคงมีอิทธิพลของศิลปะลังกาเหลืออยู่ คือ ภาพเขียนที่วัดเจดีย์เจ็ดแถวเมืองศรีสัชนาลัย
http://www.jitdrathanee.com/thaksinawat/suwat/images/sri-chum_26.jpg
6. วัฒนธรรมด้านสถาปัตยกรรม
วัฒนธรรมด้านสถาปัตยกรรมสมัยสุโขทัย แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ดังนี้
1. สถาปัตยกรรมรูปทรงอาคาร สามารถแบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ
- สถาปัตยกรรมรูปทรงอาคาร ได้แก่ อาคารโอ่โถงหรืออาคารที่มีผนัง มีหลังคาซ้อนเป็นชั้น ผังอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทางด้านหน้าต่อเป็นมุขที่ยืน มีบันไดขึ้นสองข้างทางมุข ตัวอย่าง เช่น วิหารที่วัดสวนแก้วอุทยานน้อย เมืองศรีสัชนาลัย เป็นต้น
- อาคารที่ก่อด้วยแลง หรือ รูปทรงอาคาร หลังคาใช้เรียงด้วยแลงซ้อนเหลี่ยมกันขึ้นไป จนถึงชั้นสูงสุดที่ไปบรรจบกันที่ตอนอกไก่ ตัวอย่างเช่น วิหารวัดกุฏิราย เมืองศรีสัชนาลัย เป็นต้น
- อาคารสี่เหลี่ยม มีหลังคาที่เป็นชั้นแหลมลดหลั่นกันไปถึงยอด หลังคาเป็นประมาณ 3 ชั้น เรียกว่า "มณฑป" มณฑปนี้จะเป็นแบบมณฑปที่มีผนังและมณฑปโถง ตัวอย่างเช่น มณฑปวัดศรีชุม เมืองสุโขทัย (มณฑปที่มีผนัง ) และหอเทวลัยมหาเกษตรพิมาน เมืองสุโขทัย ( มณฑปโถง )
2. สถาปัตยกรรมรูปแบบสถูปหรือเจดีย์ มีทั้งทรงกลมแบบลังกา เจดีย์ทรงกลมฐานสูง เจดีย์ย่อเหลี่ยมแบบมีซุ้มจระนำ เจดีย์แบบห้ายอด เจดีย์ทรงปรางค์ ยอดเป็นเจดีย์ทรงกลมสถาปัตยกรรมสมัยสุโขทัย และเจดีย์ทรงดอกบัวตูม จากสถาปัตยกรรมเจดีย์ต่างๆนี้จะเห็นได้ว่าลักษณะเจดีย์ที่สำคัญที่พบมากมี 2 แบบ คือ
- เจดีย์ทรงกลมแบบลังกา เป็นแบบที่สร้างสมัยแรก เช่น วัดตะกวน วัดช้างล้อม วัดสระศรี เมืองสุโขทัย
- เจดีย์ทรงดอกบัวตูม สามารถแยกได้เป็น 4 แบบ คือ
* เจดีย์ดอกบัวตูมแบบวัดมหาธาตุ เมืองสุโขทัย ถือว่าเป็นแบบเจดีย์ทรงดอกบัวแบบสุโขทัย ตั้งอยู่บนฐานเขียง ฐานบัวลูกแก้ว เหนือฐานบัวลูกแก้วเป็นแท่นแว่นฟ้าย่อเหลี่ยม แท่นแว่นฟ้ารับเรือนธาตุ ต่อจากเรือนธาตุเป็นยอที่เป็นดอกบัวตูม ซึ่งเราจัดเป็นเจดีย์ที่สร้างโดยทั่วๆ ไป
* เจดีย์ทรงดอกบัวตูมแบบวัดซ่อนข้าว เมืองสุโขทัย เป็นแบบฐานแว่นฟ้าบัวลูกแก้วสองชั้นตั้งรับเรือนธาตุ
* เจดีย์ทรงดอกบัวตูมวัดอ้อมรอบ นอกเมืองสุโขทัยด้านทิศเหนือปรกอบด้วยฐานเขียงบัว ฐานเขียง ฐานย่อเหลี่ยมรับเรือนธาตุ ตอนชั้นเรือนธาตุรับยอดบัวมีซุ้ม
* เจดีย์ทรงดอกบัวตูมแบบวัดสะพานหิน เมืองสุโขทัย และเจดีย์วัดยอดทองเมืองพิษณุโลก ประกอบด้วยฐานเขียงห้าชั้นตั้งรับฐานลูกบัวแก้ว ไม่ย่อมุมรับเรือนธาตุ ที่เรือนธาตุแต่ละด้านมีซุ้มจระนำ ประดิษฐานพระพุทธรูปสี่ด้าน
http://www.nectec.or.th/oncc/province/pictures/n9/phsnu-102-3.jpg