มงคลที่ 36 จิตไม่โศก
มงคลที่ 36 จิตไม่โศก
แหล่งที่มา : http://www.kmitl.ac.th/buddhist/tumma/
คราวพลัดพราก จากญาติ ขาดชีวิต
ถูกพิชิต จองจำ ทำโทษใหญ่
มีสติ คุมจิต เป็นนิตย์ไป
ไม่เสียใจ โศกเศร้า เฝ้าประคอง
จิตโศกคืออะไร ?
คำว่า โศก มาจากภาษาบาลีว่า "โสกะ" แปลว่า "แห้ง"
จิตโศก จึงหมายถึง สภาพจิตที่แห้งผาก เหมือนดินแห้ง ใบไม้แห้ง หมดความชุ่มชื้น เนื่องจากไม่สมหวังในความรัก
ทำให้มีอาการเหี่ยวแห้งหม่นไหม้ โหยหาขึ้นในใจ ใจซึมเซาไม่อยากรับรู้อารมณ์อื่นใด ไม่อยากทำการงาน
“เปมโต ชายเต โสโก” ความโศกเกิดจากความรัก (พุทธพจน์)
จะเป็นรักคน สัตว์ หรือสิ่งของก็ทำให้เกิดความโศกได้ทั้งนั้น แต่ที่หนักก็มักจะเป็นเรื่องรักคน โดยเฉพาะความรัก
ของชายหนุ่มหญิงสาว
ปกติใจของคนเราซนเหมือนลิง ชอบคิดโน่นคิดนี่ รับอารมณ์อย่างโน้นอย่างนี้ เดี๋ยวจะฟังเพลงเพราะๆ เดี๋ยวไม่เอาอีก
แล้วกินขนมดีกว่า กินอิ่มแล้ว ไม่เอานอนดีกว่า เดี๋ยวเที่ยวดีกว่า เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่อยู่ในอารมณ์ใดนานๆ
แต่แปลก พอใจของเราไปเจออารมณ์รักเข้าเท่านั้นแหละ มันไม่เปลี่ยน ติดหนับเลยเหมือนลิงติดตัง
พูดถึงลิงติดตัง บางท่านอาจไม่เข้าใจ ตังก็คือ ยางไม้ที่เขาเอาไปเคี่ยวจนเหนียวหนับ แล้วเอาไปป้ายไว้ตามต้นไม้
ตามที่ต่างๆ ไว้ดักนก ดักสัตว์เวลาสัตว์มาเกาะติดเข้าจะดิ้นไม่หลุด ลิงเวลามาเจอตังเข้า มันจะใช้ขาข้างหนึ่งแหย่ดู
ตามประสาซน พอติดหนับดึงไม่ขึ้น ก็จะใช้ขาอีกข้างจะมาช่วยยัน ขาข้างนั้นก็ติดตังหนับเข้าอีกจะใช้ขาอีก 2 ข้างมา
ช่วย ก็ติดตังหมดทั้ง 4 ขา ใช้ปากช่วยดันปากก็ติดตังอีก ตกลงทั้ง 4 ขาและปากติดตังแน่นอยู่อย่างนั้น ดิ้นไม่หลุด
รอให้คนมาจับไป นี่ลิงติดตัง
คนเราก็เหมือนกัน ลงได้รักละก็ หนุ่มรักสาว สาวรักหนุ่มก็ตามทีแรกก็บอกว่าจีบไปอย่างนั้นเอง พักเดียวถอนตัวไม่ออก
ร้อง “ไม่เห็นหน้าเจ้า กินข้าวบ่ลงกันเชียวล่ะ”
คำว่าเสน่ห์ ในภาษาไทยเราแปลว่า ความน่ารัก แต่คำคำนี้มาจากภาษาบาลีว่าสิเนหะ แปลว่า ยางเหนียว ตรงตัวเลย
ถ้าใครมาบอกเราว่าแม่คนนั้นเสน่ห์แรงจัง ให้รู้ตัวไว้เลยว่าแม่นั่นน่ะยางเหนียวหนับเลย อย่าไปเข้าใกล้นะ เดี๋ยวติดยาง
เหนียวเข้าเป็นลิงติดตัง แล้วจะดิ้นไม่หลุด
ตอนรักเขายังไม่เท่าไร แต่ว่า รักเขาแล้วเขาไม่รักเราสิ หรือเมื่อความรักกลายเป็นอื่นเข้า หรือเขาตายจากเราไปก็ตาม
ใจมันจะแห้งผากขึ้นมาทีเดียว แต่ก่อนเคยชอบรับอารมณ์อย่างนั้นอย่างนี้ พอถึงตอนนี้ใครจะมาร้องเพลงให้ฟังก็รำคาญ
จะชวนไปเที่ยวดูหนัง ก็รำคาญ จะร้องจะรำจะเล่นอะไร รำคาญไปหมด ข้าวยังไม่อยากจะกิน ใจมันแห้งผาก ซึมเซารับ
อารมณ์ไม่ไหว คือ อาการที่เรียกว่า จิตโศก
บางคนอาจนึกว่าก็แล้วถ้าความรักสมหวัง ก็คงไม่เป็นไร จิตไม่โศกละซี แต่ในความเป็นจริงน่ะมันเป็นไปไม่ได้ เพราะเรา
ก็รู้อยู่แล้วว่าทุกอย่างในโลกนี้ล้วนตกอยู่ในกฎของไตรลักษณ์มันไม่เที่ยงต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แตกดับไปเป็นธรรมดา เพราะ
ฉะนั้น ลงว่าใครได้รักอะไรเข้าละก็ ไม่ว่าจะเป็นคนสัตว์หรือสิ่งของ ก็ให้เตรียมตัวโศกเอาไว้ได้ ถ้ารักมากก็โศกมาก รักน้อย
ก็โศกน้อย รักหลายๆ อย่างก็โศกถี่หน่อยนี่เป็นอย่างนี้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเตือนสติไว้ว่า
“ผู้ใดมีความรัก ถึง 100 ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง 100
ผู้ใดมีความรัก ถึง 90 ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง 90
ผู้ใดมีความรัก ถึง 80 ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง 80
ผู้ใดมีความรัก ถึง 40 ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง 40
ผู้ใดมีความรัก ถึง 20 ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง 20
ผู้ใดมีความรัก ถึง 10 ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง 10
ผู้ใดมีความรัก ถึง 5 ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง 5
ผู้ใดมีความรัก ถึง 4 ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง 4
ผู้ใดมีความรัก ถึง 3 ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง 3
ผู้ใดมีความรัก ถึง 2 ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง 2
ผู้ใดมีความรัก ถึง 1 ผู้นั้นก็ต้องมีความทุกข์ถึง 1
"ผู้ใดไม่มีสิ่งอันเป็นที่รัก ผู้นั้นก็ไม่มีความทุกข์ เรากล่าวว่าผู้นั้นไม่มีความเศร้าโศก ปราศจากกิเลสดุจธุลี ไม่มีอุปายาส คือ ความตรอมใจ ควมกลุ้มใจ”
แหล่งที่มา : http://duang02.ob.tc/picture/12544/1254472070duang02.jpg
โบราณ ท่านสรุปเป็นข้อเตือนใจไว้ว่า “มากรักก็มากน้ำตา หมดรักก็หมดน้ำตา มากรักก็มากทุกข์ หมดรักก็หมดทุกข์”
ข้อควรปฏิบัติ
ผู้ที่ทำพระนิพพานให้แจ้งแล้ว ขณะที่ใจท่านจรดอยู่ในพระนิพพาน ความรักเข้าไปรบกวนท่านไม่ได้ ตัดรักได้ ใจท่าน
จึงไม่แห้ง ไม่มีโศก ดังพุทธพจน์ที่ว่า “เมื่อไม่มีรักแล้ว ความโศกก็ไม่มี ความกลัวก็ไม่มี” พวกเราปุถุชนทั่วไป แม้ยังไม่
สามารถตัดรักได้เด็ดขาดแต่ถ้าหมั่นทำสมาธิ เจริญมรณานุสติเป็นประจำ ก็จะทำให้ความรักมามีอิทธิพลเหนือใจเราไม่ได้มาก
มีสติดี ถึงคราวเด็ดเดี่ยว ก็จะมีจิตโศกน้อยกว่าคนทั่วไป อาการไม่หนักหนาสาหัสนัก เพราะนึกถึงความตายแล้วทำให้ใจคลาย
ออกจากรักซึ่งเป็นต้นทางของความโศก พอคิดว่าเราเองก็ต้องตาย จะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ เท่านี้ก็เริ่มจะได้คิด ความโศกความรัก
เริ่มหมดไปจากใจ มีสติมาพิจารณาตนเอง ไม่ประมาท ขวนขวายในการสร้างความดี แล้วที่สุดตั้งใจเจริญสมาธิภาวนาเต็มที่
ก็จะสามารถทำพระนิพพานให้แจ้งได้ และตัดความรัก ตัดความโศกออกจากใจได้อย่างเด็ดขาดในที่สุด
“ความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ อันมากมายหลายอย่างนี้มีอยู่ในโลก ก็เพราะอาศัยสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รัก เมื่อไม่มีสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รักความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ เหล่านี้ย่อมไม่มี ผู้ใดไม่มีสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รักในโลกไหนๆ ผู้นั้นย่อมเป็นผู้มีความสุข ปราศจากความโศก เพราะเหตุนั้น ผู้ใดปรารถนาความไม่โศก อันปราศจากกิเลสดุจธุลีแล้ว ไม่พึงทำสัตว์หรือสังขารใดในโลกไหนๆ ให้เป็นที่รักเลย” (พุทธโอวาท)