ปฐมเหตุเวสสันดรชาดก
...
...
ที่มารูปภาพ : http://i253.photobucket.com/albums/hh79/venfaa_2/lumbini/p47.jpg
ทรงพิจารณาดังนี้จึงเห็นว่ากิจอันควรก่อนอื่นคือทำลายความกระด้างล้างความถือดีเสียด้วยอำนาจอิทธิปาฏิหาริย์ ทรงกำเนิดจิตเจริญฌาน มีอภิญญาเป็นภาคพื้นลอยขึ้นสู่ห้วงนภากาศ เสด็จลีลาศจงกรมไปมาน่าอัศจรรย์ เพียงเท่านี้เองความคิดข้องใจที่ว่าใครอาบน้ำร้อนก่อนหลังก็เสื่อมสูญอันตรธานพากันก้มเศียรคารวะ แสดงถึงการยอมรับนับถือย่างเต็มใจ เมื่อเสด็จประทับ ณ พุทธอาสน์เบื้องนั้น ฝนอันมหัศจรรย์อย่างที่ไม่เคยปรากฏมีมาก่อนก็ตกลง ความมหัศจรรย์มีลักษณะดังนี้
๑. สีเม็ดน้ำฝน แดงเรื่อ เหมือนแก้วทับทิม
๒. ผู้ใดปรารถนาให้เปียกก็เปียก ผู้ไม่ปรารถนาแม้ละอองก็ไม่สัมผัสผิวกาย
๓. ไม่เลอะเทอะขังนอง ก่อให้เกิดโคลนตมอันปฏิกูล พอฝนหาย แผ่นดินก็สะอาด
๔. ตกลงเฉพาะสมาคมพระญาติ ไม่มีผู้อื่นอยู่ร่วมประชุมด้วย
คติในความมหัศจรรย์โดยอุปมาเท่าที่คิดเห็นและประกาศแล้ว ในที่ทั่วไปดังนี้
ข้อที่ ๑ สีของน้ำฝน ได้แก่ สีโลหิตแห่งความชื่นชมยินดี วันนี้เป็นวันที่ศากยราชทั้งปวงรอคอยก็สมหวังแล้ว เมื่อพระองค์เสด็จกลับคืนมาให้เขาได้เห็นพระรูปโฉมจึงพากันชื่นบานผิวพรรณก็ซ่านด้วยสายเลือดอย่างที่เรียกราศีของคนมีบุญว่า ผิวพรรณอมเลือดฝาด
ข้อที่ ๒ ความชุ่มชื้นของสายฝน ก็ได้แก่พระธรรมเทศนาที่พระพุทธองค์ทรงประกาศออกไป มีเหตุมีผลสมบูรณ์ด้วยหลักการ ถ้าผู้ใดตั้งใจฟังด้วยความเคารพธรรมก็เข้าสัมผัสจิตสำนึก และสามารถจะปรับปรุงจิตของคนตามหลักแห่งเหตุผลนั้น จนกระทั่งจิตตั้งอยู่ในภาวะเยือกเย็นเหมือนผิวกายต้องละอองฝน แต่สำหรับบุคคลที่ฟังสักแต่ว่าฟังธรรมนั้นก็จะไม่กระทบใจ เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาอุปมาด้วยฝนไม่เปียก
ข้อที่ ๓ ปกติธรรมะเป็นของสะอาดไม่ก่อทุกข์โทษอันพึงรังเกียจ แก่ใครๆ ไม่ว่ากาลไหนๆ
ข้อที่ ๔ พระพุทธจริยาครั้งนี้ ทรงมุ่งบำเพ็ญเฉพาะหมู่พระญาติศากยะล้วนๆ
เมื่อเหล่าศากยะผู้ได้รับความเย็นกายด้วยสายฝนเย็นใจด้วยกระแสธรรมและกราบบังคมลาพากันคืนสู่พระราชนิเวศน์แล้ว แต่นั้นก็ย่างเข้าสู่เขตสนธยากาล แสงแดดอ่อนสาดฝ่าละอองฝนที่เหลือตกค้างมาแต่ตอนบ่าย ทำให้เกิดบรรยากาศรางกับจะกลายเป็นยามอรุณ ดอกไม้ในสวนเริ่มเผยอกลีบอย่างอิดเอื้อนเหมือนหลงเผลอ แม้นกบินกลับรวงรังยังลังเล
ภิกษุทั้งหลายกำลังชุมนุมสนทนากันถึงฝนอันมหัศจรรย์และสายัณห์อันพระพุทธองค์ทรงเสด็จสู่วงสนทนาของภิกษุพุทธสาวก เมื่อทรงทราบถึงมูลเหตุอุเทศแห่งการสนทนานั้นก็ทรงตรัสแย้มว่า ฝนนี้เรียกว่าฝนโบกขรพรรษ ที่ตกลงมาในปัจจุบันนี้หาชวนอัศจรรย์ไม่ แม้ในอดีตกาลเมื่อทรงอุบัติเกิดเป็นพระโพธิสัตว์นามว่า เวสสันดร ก็ทรงบำเพ็ญบารมีธรรม จนเป็นเหตุให้ฝนโบกขรพรรษได้ตกลงมานั่นสิ! อัศจรรย์กว่า ภิกษุทั้งหลายต่างพากันกราบทูลพระมหากรุณาให้นำเรื่องครั้งนั้นมาแสดง ซึ่งพระพุทธองค์เจ้าก็ทรงโปรด เรื่องราวพิสดารแบ่งเป็นสิบสามกัณฑ์ พันพระคาถา
- « แรก
- ‹ หน้าก่อน
- 1
- 2