การนำเอาหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันของตนเอง
การนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชีวิตประจำวัน
คือ การการที่เราเดินบนที่สายกลาง และทางสายกลางนั้นมี 3 อย่างคือ
1. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยที่ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตการบริโภคที่อยู่ในระดับความพอประมาณ
2 ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจที่เกี่ยวกับระดับความพอเพียงนั้นจะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องตลอดจนคำนึงถึงผลที่ว่าจะเกิดขึ้นจาดการกระทำนั้นๆ อย่างรอบคอบ
3 ความมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวเอง หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผมกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆที่คาดว่าจะเกิดในอนาคตทั้งใกล้และไกล
การนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชีวิตประจำวันของตัวเราเอง
เศรษฐกิจพอเพียงกับ บทเรียนฟองสบู่จตุคาม
.............ต้นปี 50 ...มีเพื่อนชวนให้ผมเล่นเก็งกำไรจตุคาม เช่ามาแล้วปล่อยไป ซึ่งการเช่าจะต้องจองล่วงหน้า และกว่าจะได้รับของก็ต้องรอเป็นเดือน ........
.......สิ่งที่ผ่านเข้ามาในความคิดของผม ......ก็คือ เหตุผลข้อแรก ...ผมไม่มีความรู้เรื่องในวงการพระเครื่องเลย ไม่รู้ว่าตลาดเป็นอย่างไร .....ตอนนี้มีพิมพ์ไหนเป็นที่นิยม มีกี่รุ่น กี่พิมพ์ ราคาเท่าไหร่กันบ้าง ......ผมไม่รู้เลยซักอย่าง .....
..........(ขณะที่ หลักความพอประมาณในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สอนว่า ก่อนจะลงทุนอะไรให้สำรวจตัวเองเสียก่อน ว่ามีความรู้ความเข้าใจสิ่งที่ตนจะลงทุนแค่ไหน)
..........เหตุผลที่ 2 ....หลักของการสร้างภูมิคุ้มกัน สอนว่า ให้คาดคิดถึงความเปลี่ยนแปลงในอนาคต และมีการป้องกันความเสี่ยง ...........
.............ผมคาดการณ์ว่า การที่ผู้ซื้อแย่งกันซื้อในช่วงแรกๆจนราคาถูกปั่นไปสูงเกินจริง เมื่อผู้ซื้อๆไปแล้วความต้องการของผู้ซื้อมันต้องลด ขณะที่ฝ่ายผู้ขาย ถ้ายังมีการแข่งกันผลิต แข่งกันปลุกเสกมาจากทั่วทุกสารทิศในประเทศ แบบนี้ ไม่นานสินค้าต้องล้นตลาด และราคาต้องตก ...................นี่เป็นหลักเศรษฐศาสตร์แบบพื้นๆ แต่คนที่รวย คนที่ชนะ คือ คนที่เข้ามาเป็นผู้เล่นในตลาดช่วงแรกๆ แล้วก็โกยเงินออกไปได้ก่อนที่ตลาดจะวาย ........ผมรู้ว่าถ้าเข้ามาตอนนี้ มันช้าไปแล้วสำหรับผม
...........เหตุผลที่ 3 เศรษฐกิจพอเพียงสอนเรื่องความมีเหตุผล คือใช้เหตุผลในการเลือกทางเดินของเรา อย่าตามกระแส ......หลังจากพิจารณาแล้ว ผมตัดสินใจไม่กระโดดเข้าไปเล่นในตลาดจตุคาม ....เพราะ ผมไม่ถนัด ไม่รู้เรื่องในวงการพระเครื่อง สิ่งที่ผมถนัดคือ "ตลาดหุ้น" ......เช่าจตุคามมา ปล่อยได้ในราคาแพงกว่าก็กำไร .........ซื้อหุ้นมาในราคาถูก พอหุ้นขึ้นแล้วขายออกไปก็กำไรเหมือนกัน ...... แต่ .....ที่ต่างกันคือ ผมรู้ว่าหุ้นตัวไหน เป็นยังไง .....ตัวไหนควรเล่น ตัวไหนควรหลีก .....แต่กับ จตุคามนั้น รุ่นไหน พิมพ์ไหน ควรจะราคาเท่าไหร่ ผมไม่รู้
....................แล้วก็เป็นจริงตามคาด ............
..............เมื่อประมาณไม่ถึง 2 เดือนมานี้ ผมก็เห็นข่าว จตุคามขาลง ฟองสบู่เริ่มแตก ลงหน้า 1 หนังสือพิมพ์หัวสี ผมนึกถึงคนที่จองเอาไว้ราคาหลักพัน เมื่อไม่กี่เดือนก่อน แต่พอถึงวันรับของจริงๆ ปรากฏว่า ราคาในตลาดของรุ่นนั้น ตกลงจนเหลือไม่ถึง 1 พันบาท ............
........(ข้อคิดอีกอย่าง ....ที่อยากจะฝากเป็นของแถม คือ หลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาที่แท้จริงนั้นสอนให้ยึดมั่นในพระรัตนไตร เชื่อ และ ปฏิบัติตามคำสอนในพระธรรม เป็นหลัก ไม่ได้สอนให้ไปพึ่งเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ หรือพิธีกรรมปลุกเสกอะไรทั้งนั้น เพราะสิ่งเหล่านั้น ไม่ใช่ วิชาที่เป็นไปเพื่อการ ดับกิเลส พ้นทุกข์ และรู้ตามจริงในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.........ในชีวิตจริงของผม พึ่งแต่พระรัตนไตร การทำบุญสร้างกุศล และศึกษาธรรมะเพื่อดำเนินชีวิตตามวิถีของพุทธ .......ผมไม่เคยพึ่ง ไสยศาสตร์ เครื่องลางของขลังอะไรทั้งนั้น )
..............ปล. ทั้งนี้ .....วิธีคิดแบบพอเพียง ไม่ได้หมายความว่า ถ้าไม่รู้แล้วจะต้องไม่ลงทุนเลย (อย่าสับสน) ............. ถ้าพิจารณาด้วยปัญญาแล้ว เห็นว่า การลงทุน ในสิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์ในระยะยาว แต่เราไม่รู้ ก็ให้ศึกษาเรียนรู้ จนเข้าใจ แล้วก็ลงทุน แบบมีความรู้ความเข้าใจ ...............
- ล็อกอิน เพื่อแสดงความคิดเห็น