• user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:dc169be30ce0b64ed521a4156bff8491' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p>\nความเป็นมาของชนชาติไทย\n</p>\n<p>\n<strong><span style=\"font-size: medium; color: #003300\">การเคลื่อนที่ของไทยโบราณ</span></strong>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #003300\">ถิ่นเดิมของไทยอยู่ในดินเเดนซึ่งปัจจุบันนี้เป็นอาณาเขตของประเทศจีน บริเวณลุ่มเเม่น้ำฮวงโห หรือ เเม่น้ำเหลือง เเละ บริเวณเเม่น้ำยังซีเกียง หรือเเม่น้ำเเยงซีเกียง เมืองสำคัญของชาวไทยในครั้งนั้น คือ ลุง อยู่ทาง เหนือ เเถมต้นเเม่น้ำฮวงโห ใกล้เเนวกำเเพงเมืองจีน เเละ ปา อยู่ทางใต้ เเถบมณฑลเสฉวนปัจจุบัน </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #003300\">ประมาณ 5 000 ปีที่เเล้ว ชาวจีนซึ่งร่อนเร่อยู่เเถบทะเลเเคสเปียน ได้ย้ายมา ทางทิศตะวันตก เเละเข้ารุกรานบ้านเมืองของชาวไทยซึ่งตั้งหลักเเหล่ง อยู่ก่อน ชาวไทยจึงพากันอพยพถอยร่อนลงมาทางใต้ เข้าเขต มณฑล ยูนนาน (ฮูนหนำ)  ไกวเจา กวางสี กวางตุ้ง ต่างเเยกย้ายกันตั้งบ้านเมือง อยู่เป็นอิสระหลายเมือง ชาวไทยเหล่านี้เรียกตัวเองว่า อ้ายลาว </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #003300\">การที่ไทยถูกจีนรุกราน ต้องอพยพหลบหนีภัยจากถิ่นเดิมลงมาทางใต้นั้น มิใช่อพยพลงมาคราวเดียวทั้งหมด เเต่อพยพลงมาทีละพวกทีละหมู่ พวกใดทนอยู่กับการเบียดเบียนได้ก็อยู่ต่อที่เดิม พวกที่รักอิสระก็พากัน อพยพ ลงมาทางใต้ พบเเหล่งใดมีความอุดมสมบูรณ์ก็ตั้งถื่นฐาน สร้างบ้านเมืองขึ้นใหม่ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #003300\">เส้นทางอพยพของชาวไทยจนเข้ามาอยู่ในคาบสมุทรอินโดจีนปัจจุบัน ชาวไทยอาศัยเเม่น้ำ ๒ สายเป็นสำคัญ คือ เเม่น้ำสาละวิน เเละเเม่น้ำโขง</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #003300\"><u>เส้นทางที่ ๑</u>  พวกที่อพยพไปทางตะวันตกเฉียงใต้ บริเวณลุ่มเเม่น้ำ สาละวิน เเละตั้งภูมิลำเนาอยู่ในประเทศพม่าเดี๋ยวนี้เรียกว่า ไทยใหญ่ หรือ ไทยเงี้ยว หรือ ฉาน พวกที่อพยพไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เเละตั้ง ภูมิลำเนาอยู่ในเเคว้นอัสสัมเดี๋ยวนี้ เรียกว่าไทยอาหม</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #003300\"><u>เส้นทางที่ ๒</u>  พวกที่อพยพไปทางทิศใต้ บริเวณลุ่มเเม่น้ำโขง ผ่านเข้าไป ในดินเเดนสิบสองปันนา สิบสองจุไทย เเละตังเกี๋ย เเละตั้งภูมิลำเนาอยู่ใน ดินเเดนตอนเหนือของประเทศเวียดนามเเละประเทศลาว ปัจจุบันนี้ เรียกว่า ไทยน้อย ต่อมาไทยพวกนี้ได้ยกเข้ามาอยู่ในดินเเดนลานนาไทย ทางตอน เหนือของประเทศไทย ในที่สุดได้ชายเเดนลงมาทางใต้ในบริเวณลุ่มเเม่น้ำ เจ้าพระยาตลอดลงไปในเเหลมมลายู พวกไทยน้อยเป็นบรรพบุรุษของ ชาวไทย (สยาม) ในปัจจุบัน</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #003300\">อ้างอิงจาก <a href=\"http://sp2511.igetweb.com/index.php?mo=3&amp;art=255552\">http://sp2511.igetweb.com/index.php?mo=3&amp;art=255552</a></span>\n</p>\n<div align=\"center\" style=\"margin: 0cm 0cm 10pt; text-align: center\">\n<strong><u>ความเป็นมาของการค้นคว้าถิ่นเดิมของชนชาติไทย</u></strong><strong><u></u></strong>\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n<strong>ไทย  </strong><strong>(Thai) </strong>หมายถึง   คนไทย  และ  คนเชื้อชาติอื่น  ที่เป็นพลเมืองของประเทศไทย\n</div>\n<div style=\"margin: 0cm 0cm 0pt\">\n<strong> ไท </strong>หรือ <strong>ไต </strong> <strong>(Tai) </strong>หมายถึง กลุ่มชาติพันธุ์  (ethnic group) ที่พูดภาษาตระกูลไทหรือไต  และอาจมีลักษณะของวัฒนธรรมอื่น  ๆ  บางอย่างรวมกัน\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n            การศึกษาเรื่องถิ่นเดิมของชนชาติไทยเริ่มจากข้อสงสัยของชาวตะวันตก  ที่เห็นผู้คนในดินแดนประเทศไทยประกอบด้วยคนหลายเชื้อชาติ  และมีวัฒนธรรมหลากหลาย  ทั้งยังมีกลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูลภาษาไทกระจายอยู่ทั่วไปในอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่โด ยรอบ\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n            การศึกษาเพื่อค้นหาถิ่นเดิมของชนชาติไทยในอดีตได้เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา &amp; nbsp; ดังปรากฏหลักฐานในหนังสือ <em>จดหมายเหตุของ ลา ลูเเบร์</em>   ซึ่งเป็นบันทึกของ   <strong>ซิมง  เดอ ลา ลูเเบร์  </strong><strong>(Simon  de  la  Loubere)</strong>ราชทูตจากประเทศฝรั่งเศสสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔  ที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทยสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  ระหว่าง  พ.ศ.  ๒๒๒๙ –  ๑๑๒๑   ได้กล่าวถึงความเป็นมาของชนชาติไทยว่า   <em>ปฐมบรมกษัตริย์ของชาวสยามนั้นทรงพระนามว่า   พระปฐมสุริยเทพนรไทยสุวรรณบพิตร พระมหานครแห่งแรกที่เสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัตินั้นชื่อว่าไชยบุรีมหานคร  เมื่อประมาณ พ</em><em>.ศ.  ๑๓๐๐  </em>บันทึกของ  ลา  ลูเเบร์   ยังได้กล่าวถึงการสืบราชสมบัติและการตั้งราชวงศ์ของพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่  พ.ศ. ๑๗๓๑  เป็นต้นมา             ;    ส่วนเรื่องราวของชนชาติไทยก่อน  พ.ศ.  ๑๓๐๐  นั้น  ลา  ลูเเบร์  ไม่ได้เอ่ยถึง\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\nในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น   พระมหากษัตริย์และเจ้านายชั้นสูงของไทยพยายามที่จะฟื้นฟูศิลปวิทยาที่เคยรุ่งเรืองเม ื่อครั้งสมัยอยุธยา   จึงมีการชำระพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาขึ้นใหม่   และต่อมาก็มีผลงานพงศาวดารไทยสมัยรันตโกสินทร์ขึ้นมาอีกหลายเล่ม\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\nตั้งเเต่สมัยรัชกาลที่  ๑  เป็นต้นมา   ชาวยุโรปโดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศสได้เริ่มขยายอิทธิพลเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใ ต้ของจีน   จึงสนใจที่จะศึกษาเรื่องราวของชนชาติต่าง ๆ   ที่อยู่ในบริเวณนี้เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการขยายอำนาจเข้าครอบครองดินแดนของประเทศต่า ง ๆ  ตามแนวทางลัทธิจักรวรรดินิยมการขยายอิทธิพลดังกล่าว   ทำให้พระมหากษัตริย์และเจ้านายไทยเห็นความจำเป็นที่จะต้องศึกษาเรื่องราวของชนชาติไท ยย้อนหลังไปในอดีต  เพื่อแสดงให้ชาติตะวันตกเห็นว่าชาติไทยเป็นชาติที่เจริญรุ่งเรืองมานานแล้วไม่ใช่เป็ นชาติป่าเถื่อนอย่างที่ชาวตะวันตกเข้าใจ  ดังจะเห็นได้จากในสมัยรัชกาลที่ 3  เจ้าฟ้ามงกุฏ    (รัชกาลที่ 4 เมื่อครั้งทรงอยู่ในสมณเพศ  ก่อนเสวยราชย์)  ทรงค้นพบศิลาจารึกสมัยสุโขทัยหลักหนึ่ง   และทรงพยายาม\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\nอ่านข้อความที่จารึกไว้  ศิลาจารึกหลักนี้นับเป็นจารึกหลักที่  ๑  เรียกว่า  <em>  ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำเเหงมหาราช</em>\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n ในสมัยรัชกาลที่   ๕   ประเทศตะวันตกได้ขยายอำนาจตามลัทธิจักรวรรดินิยมในเอเชียเเละดินแดนต่าง ๆ  ทั่วโลก  โดยเฉพาะฝรั่งเศสได้คุกคามอำนาจอธิปไตยของไทยอย่างรุนแรง  ทำให้พระมหากษัตริย์ของไทยเจ้านายไทย  และผู้สนใจศึกษาประวัติศาสตร์ไทยทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ  สนใจศึกษาประวัติความเป็นมาของชนชาติไทยอย่างกว้างขวาง  และนำวิธีการศึกษาแบบตะวันตกมาใช้\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\nอย่างไรก็ตามปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปที่แน่นอนว่าถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่ที่ไหนแน่   แต่มีแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่  ๕   แนวคิด  ได้แก่\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-indent: 36pt; line-height: normal; text-align: justify\">\n๑.แนวคิดถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่ในบริเวณตอนกลางของจีน\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-indent: 36pt; line-height: normal; text-align: justify\">\n๒.แนวคิดชนชาติไทยเป็นเชื้อสายมองโกลถิ่นเดิมอยู่แถบภูเขาอัลไต\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-indent: 36pt; line-height: normal; text-align: justify\">\n๓.แนวคิดถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่ในบริเวณตอนใต้ของจีน\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-indent: 36pt; line-height: normal; text-align: justify\">\n๔.แนวคิดถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่ในคาบสมุทรมลายูและหมู่เกาะอินโดนีเซีย\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-indent: 36pt; line-height: normal; text-align: justify\">\n๔.แนวคิดถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่ในประเทศไทยปัจจุบัน\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n<strong></strong>\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n<strong>เรื่องความเป็นมาของชนชาติไทย</strong>\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; margin: 0cm 0cm 6pt; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\nพ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๘๒๖ ประวัติศาสตร์ของไทยในเอเซียอาคเนย์ จึงได้เริ่มจดบันทึกเป็นหลักฐานแน่นอนโดยคนไทยมาแต่ยุคนั้น แม้ตำนานของไทยเผ่าต่าง ๆ จะกล่าวย้อนหลังไป ก่อนตั้งจุลศักราช (พ.ศ. ๑๑๘๒) บ้าง แต่ก็ไม่อาจยึดถือศักราชเป็นของแน่นอนได้ เรื่องราวของไทยเผ่าต่าง ๆ พอจะยึดเป็นหลักได้ก็ประมาณ พ.ศ. ๑๗๕๐ เป็นต้นมา ฉะนั้น เรื่องของชนชาติไทยก่อนหน้านั้น ยิ่งนานขึ้นไปเท่าใด ก็เป็นเรื่องสันนิษฐานมากยิ่งขึ้นไปตามลำดับ การเคลื่อนย้ายของชนชาติไทยมีหลายความเห็นเช่น\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n<strong>ความเห็นที่ ๑</strong>\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; margin: 0cm 0cm 6pt; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\nไทยอพยพจากเหนือลงใต้ มีความเห็นว่า ไทยอพยพจากภูเขาอัลไตในใจกลางทวีปเอเชียลงมายังน่านเจ้า แล้วอพยพต่อลงมายังประเทศไทย นักประวัติศาสตร์บางคนไม่เชื่อในความเห็นนี้\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n<strong>ความเห็นที่ ๒</strong>\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; margin: 0cm 0cm 6pt; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\nไทยพร้อมกับพวกฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอินโดนีเซียอพยพจากเส้นศูนย์สูตรขึ้นมาถึงประเทศไทย แล้วเลยต่อขึ้นไปถึงจีน เรื่องนื้มีทฤษฎีภาษาศาสตร์ของ เบเนดิกส์ สนับสนุนอยู่ เช่น คำว่าฟิลิปปินส์ ปะตาย แปลว่า ตาย อากู แปลว่า กู คาราบาวแปลว่า กระบือ เป็นต้น นักภาษาศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ วิธีการของเบเนดิกส์ เพราะนำภาษาปัจจุบันของฟิลิปปินส์มาเทียบกับไทย แทนที่จะสานคำกลับไปว่า เมื่อ ๑๒๐๐ ปีมาแล้ว คำไทยควรจะเป็นอย่างไร และคำฟิลิปปินส์ควรจะเป็นอย่างไร แล้วจึงนำมาเทียบกันได้\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n<strong>ความเห็นที่ ๓</strong>\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; margin: 0cm 0cm 6pt; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\nไทยอยู่ในประเทศไทยมาหลายพันปี และมีคนไทยกระจายอยู่ทั่วไปในอินเดีย พม่า จีน ไทย ลาว และ เวียดนาม บางคนถือว่าบ้านเชียงก็เป็นคนไทย แต่ยังไม่มีผู้ใดเคยพิสูจน์ว่า วัฒนธรรมของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านเชียงเหมือนกับวัฒนธรรม ของคนไทยในปัจจุบันเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ทรงอ้างความเห็นของกอร์แมนว่า โครงกระดูกคนบ้านเชียงคล้ายกับกระดูกมนุษย์ที่อยู่ตามมหาสมุทรแปซิฟิก อีกประการหนึ่ง จารึกในแหลมทองเป็นอักษรมอญ ภาษามอญมาจนถึงประมาณ พ.ศ.๑๗๓๐ ไม่เคยมีจารึกภาษาไทยเขียนด้วยอักษรใด ๆ ก่อนจารึก พ่อขุนรามคำแหงมหาราชเลย\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n<strong>ความเห็นที่ ๔</strong>\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; margin: 0cm 0cm 12pt; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\nปัจจุบันนักภาษาศาสตร์และ นักประวัติศาสตร์ นานาชาติส่วนใหญ่สนับสนุนความเห็นของศาสตราจารย์ เก็ดนีย์ว่า ถิ่นกำเนิดของภาษาไทยอาจจะอยู่ตามเส้นเขตแดนระหว่างมณฑลกวางสีของจีนกับ เมืองแถง หรือเดียนเบียนฟูในเวียดนาม หรือไม่ก็อยู่ ข้างบนหรือข้างล่างใกล้เส้นแบ่งเขตแดนนี้ ศาสตราจารย์เก็ดนีย์อาศัยทฤษฎีว่า ภาษาเกิดที่ใด จะมีภาษาท้องถิ่นมากหลายชนิดเกิดขึ้นแถบบริเวณนั้น เพราะอยู่มานานจนแตกต่างกันออกไป พวกจ้วงที่อยู่ในกวางสีห่างกันเพียง ๒๐ กิโลเมตร ยังพูดกันไม่รู้เรื่อง แต่ภาษาถิ่นต่าง ๆ ของลาว ไทยและพม่า ไม่ค่อยแตกต่างกัน  ยังฟังกันรู้เรื่อง ภาษาอังกฤษในเกาะอังกฤษมีภาษาถิ่นมากมาย แต่ในสหรัฐอเมริกาพูดกันเข้าใจทั้งทวีป\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n<strong>งานค้นคว้าเรื่องชนชาติไทย</strong>\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\nเรื่องความเป็นมาของชนชาติไทย ในสมัยโบราณนั้น  เท่าที่ทราบกันส่วนมากยังเป็นตำนานเก่าแก่หรือนิยายปรำปรา  เล่าสืบต่อกันมา ไม่ใคร่มีหลักฐานแน่ชัด เช่นกล่าวว่าคนไทยเคลื่อนย้ายลงมาจากดินแดนจีนตอนใต้ คือ จากมณฑลฮุนหนำ กุยจิ๋ว และกวางไส ส่วนที่เป็นมาก่อนหน้านั้นยังไม่กระจ่าง เนื่องจากไทยเราไม่มีบันทึกเรื่องราวดังกล่าวไว้  ซึ่งอาจจะไม่มีมาแต่เดิม  หรือเคยมีแต่ได้สูญหายไปหมด อย่างไรก็ตามได้มีชาวยุโรปหลายชาติ ได้ทำการค้นคว้า เรื่องชนชาติไทยโบราณไว้เป็นหลักฐาน และจากจดหมายเหตุของจีนก็ได้กล่าวถึงเรื่องชนชาติไทยอยู่มาก ซึ่งยังไม่ได้นำมาเปิดเผยให้แพร่หลาย\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n            งานค้นคว้าเรื่องชนชาติไทยอาจทำได้ ๒ วิธี  วิธีหนึ่ง ใช้วิธีเดินทางท่องเที่ยวไปในหมู่ชนชาติไทย ที่ยังคงมีถิ่นฐานกระจัดกระจายอยู่ในประเทศจีนตอนใต้ ตังเกี๋ย ลาว พม่า และอินเดีย ทำการสอบสวนค้นคว้า ทางภาษา บ้านเรือน การแต่งกาย ความเป็นอยู่ อาหารการกิน อาชีพ ขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปกรรม และอื่น ๆ วิธีนี้ต้องลงทุนลงแรง และใช้เวลามาก วิธีนี้ได้มีชาวยุโรป และชาวไทยบางท่านได้ทำไว้แล้ว เช่น หมอวิลเลียมคลิฟตัน ดอดด์ ซึ่งเป็นหมอสอนศาสนาชาวอเมริกัน ได้ใช้เวลาถึง ๒๕ ปี เดินทางท่องเที่ยวไปพำนักอยู่กับคนไทยในถิ่นประเทศต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่ศาสนาคริสต์ และใช้โอกาสนั้นศึกษาค้นคว้าเรื่องชนชาติไทยไปด้วย และได้เขียนเอกสารเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างยากที่จะผู้ใดเสมอเหมือนได้\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n            นอกจากนี้ ยังมีชาวอังกฤษและชาวฝรั่งเศส ซึ่งมามีเมืองขึ้นอยู่ในดินแดนที่ชนชาติไทยมีถิ่นฐานกระจายกันอยู่อย่างกว้างขวาง ได้ค้นคว้าศึกษาเกี่ยวกับชนชาติไทยไว้ไม่น้อย  ประกอบกับเอกสารวรรณคดีโบราณของจีนก็มีเรื่องของไทยเรา แทรกอยู่ใช้เป็นเครื่องช่วยอย่างสำคัญ สำหรับนักค้นคว้าในรุ่นหลังต่อมา สำหรับคนไทยเราเองมีนักวิชาการบางท่าน ได้ออกสำรวจถิ่นฐานของชนชาติไทยในดินแดนเหนือประเทศไทย\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\nปัจจุบันเข้าไปจนถึงดินแดนจีนทางตอนใต้ และได้ประมวลเรื่องที่ได้พบเห็นไว้ในหนังสือเรื่อง กาเลหม่านไต (ท่องเที่ยวไปยังบ้านคนไทย) ซึ่งเป็นข้อมูลค่อนข้างใหม่กว่าข้อมูลที่ชาวตะวันตกทั้งหลาย ได้ค้นคว้าเอาไว้ เป็นข้อมูลประมาณหลังสงครามมหาเอเซียบูรพาสิ้นสุดลงใหม่ ๆ ซึ่งก็สอดคล้องกับที่ชาวตะวันตกหลายชาติที่เขียนเอาไว้ก่อนหน้านั้น\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n            จากการค้นคว้าดังกล่าว ทำให้ได้ความรู้อันแน่ชัดว่า ไทยเราเป็นเชื้อชาติที่สำคัญยิ่งมาแต่โบราณกาล มีอารยธรรม มีความรู้ทางการปกครอง และมีสิ่งดีหลายอย่างมาพร้อมกับชาติโบราณทั้งหลาย บรรดาผู้ทำการค้นคว้าชาวตะวันตกหลายชาติทั้ง อังกฤษ ฝรั่งเศส และ อเมริกา ต่างยืนยันว่า ชนชาติไทยเจริญมารุ่นราวคราวเดียวกันกับชาติโบราณอื่น ๆ เช่น  คาลเดีย และบาบิโลน และว่าชนชาติไทยเป็นพี่ชายของชนชาติจีน เช่น หนังสือที่หมอดอดต์แต่งชื่อ The Tai Race มีชื่อเพิ่มเติมว่า Elder brother of the chinese\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n            ชาวตะวันตกรู้จักประเทศไทยมาช้านาน ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา มีหนังสือตำนานพิมพ์ออกมาแพร่หลาย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาษาฝรั่งเศส ตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้าหลุยที่ ๑๔  ต่อมาเมื่ออังกฤษ และฝรั่งเศสมาได้เมืองขึ้นในดินแดนเอเซียตะวันออก  อังกฤษก็ได้พบคนไทยใหญ่ และไทยอาหมที่พูดภาษาไทย  ฝรั่งเศสพบลาวและชนชาติไทยในภาคเหนือของตังเกี๋ย ซึ่งพูดภาษาไทย และมีรูปร่างลักษณะเป็นคนไทย นอกจากนั้นเข้าไปในมณฑลยูนนาน และกวางสีของจีน ก็ได้พบคนที่พูดภาษาไทยอีกเป็นจำนวนมาก\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n            หมอวิลเลียมคลิฟตัน ดอดด์ ซึ่งเป็นมิชชันนารีสอนคริสตศาสนาอยู่ทางเชียงใหม่  ได้เรียนรู้ภาษาไทยเหนือใช้การได้ดี ได้เขียนไว้ว่า  เขาสามารถเดินทางไปในมณฑลต่าง ๆ ทางภาคใต้ของจีนโดยไม่มีล่ามเลย  คงใช้ภาษาลาวของไทยภาคเหนือเท่านั้น  พบว่าภาษาลาวนั้นใช้ได้ทั่วไป แม้ดินแดนทางตะวันตกสุดของมณฑลยูนนาน เมื่อลองประมวลคำพูด สองพันคำ ก็ได้พบเพียง ๑ ใน ๑๔ คำเท่านั้น ที่แตกต่างกับภาษาพูดทางเชียงใหม่ และถ้าไปทางภาคตะวันออกของยูนนาน ก็จะได้พบ ๑ ใน ๘ คำที่ผิดไป ส่วนในมณฑลชานสีจะมีผิดกันมากขึ้นไปเล็กน้อย คือ ๑ ใน ๖ คำ\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n            จากจดหมายเหตุของจีนได้เขียนไว้ว่า พวกที่มาตั้งอาณาจักรน่านเจ้านั้น เป็นพวกตระกูลมุง พวกเดียวกับพวก มุง ลุง ปา แคว้นต่าง ๆ ในอาณาจักรน่านเจ้า เริ่มต้นพยางค์ต้นว่าต้า จึงทำให้เข้าใจได้ต่อไปว่า พวกที่มาตั้งอาณาจักรน่านเจ้าเป็นพวกต้ามุง และได้พบต่อไปอีกว่า คำว่า &quot;ต้า&quot; นั้น ในภาษายูนนานหมายความว่า &quot;ใหญ่&quot; คำนี้เมื่อเป็นภาษากวางตุ้งกลายเป็น &quot;ไต&quot; ซึ่งก็แปลว่าใหญ่อีกเช่นกัน\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n            จากเอกสารตำนานจึนได้พบว่าในรัชสมัย พระเจ้ายู้ ของจีน ซึ่งเริ่มรัชสมัย เมื่อ ๑๖๖๕ ปี ก่อนพุทธศักราช หรือประมาณกว่าสี่พันปีมาแล้ว ได้มีการสำรวจเขตแดนจีน ปรากฎว่าทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลเสฉวนปัจจุบัน เขตแดนจีนในครั้งนั้น ไปจดอาณาเขตของอาณาจักรใหญ่อาณาจักรหนึ่ง ซึ่งชื่อว่าต้ามุง ซึ่งแน่ชัดว่าพวกต้ามุงเป็นพวกเดียวกับพวกที่มาตั้ง อาณาจักรน่านเจ้า เมื่อปี พ.ศ. ๑๑๗๒\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n            จากผลการค้นคว้าพบว่า หมู่ชนที่เชื่อกันว่าเป็นชนชาติไทยนั้น ได้ตั้งถิ่นฐานเป็นรัฐอยู่แว่นแคว้นอยู่ในประเทศจีนแล้ว ก่อนที่จีนจะอพยพลงมา เนื่องจากประวัติศาสตร์ของจีนเริ่มต้นที่พระเจ้าวั่งตี่ เมื่อ ๒๐๙๔ ปี ก่อนพุทธศักราชนั้นจีนยังอยู่ทางทะเลแคสเบี้ยน หรืออยู่ระหว่างการเคลื่อนย้ายมุ่งสู่ตะวันออก ยังไม่ได้ตั้งอาณาจักรลงในดินแดนที่เป็นประเทศจีนเวลานี้  ประวัติศาสตร์ที่ขงจื้อ เขียนเอง เริ่มต้นที่พระเจ้าเย้า เมื่อ ๑๘๑๔ ปี ก่อนพุทธศักราช ก็ยังเป็นระยะเวลาที่อาณาจักรจีนยังไม่ได้ตั้งถิ่นฐานมั่นคง  การสำรวจดินแดนซึ่งกระทำในรัชสมัย พระเจ้ายู้ เมื่อประมาณ ๑๕๐ ปี หลังจากนั้น\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; margin: 0cm 0cm 12pt; text-align: justify\">\n            เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. ๒๔๓๑  มีรายงานของผู้แทนกงสุลอังกฤษ ประจำเมืองจุงกิง ประเทศจีน ได้ทำรายงานเสนอรัฐสภาอังกฤษ มีความตอนหนึ่งว่า แม้ในเวลานี้ เก้าในสิบของพลเมืองของเมืองนานกิง (อยู่ในมณฑลกวางสีใกล้แคว้นตังเกี๋ย) เป็นคนไทย ไม่มีผู้หญิงคนใดในหมู่ชนพวกนี้ที่จะพูดภาษาจีนได้  ชาวโลโล้เป็นแต่พวกคนพเนจรเข้ามาปะปนอยู่ในหมู่คนไทย หัวหน้าปกครองเขตแขวงส่วนมากที่สุดในกวางสีเป็นคนไทย ตั้งแต่ปองไกลงไปถึงนานนิงฟู พลเมืองเป็นไทยทั้งหมด พูดภาษาของตนเอง และส่วนมากที่สุดปกครองโดยหัวหน้าที่สืบสาย\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n<strong>เรื่องเกี่ยวกับชนชาติไทย</strong>\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; margin: 0cm 0cm 6pt; text-align: justify\">\n            บรรดานักค้นคว้าเรื่องชนชาติไทย ได้พยายามอธิบายเรื่องชนชาติไทยไว้เป็นอันมาก พอประมวลได้ดังนึ้\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n            พันโทมอริส อาบาดี ชาวฝรั่งเศส อธิบายว่า กลุ่มเชื้อชาติของกลุ่มคนที่เรียกชื่อว่าไทย เป็นกลุ่มสำคัญที่สุดในบรรดาหมู่ชนทั้งหลายที่ได้พบในประเทศจีนตอนใต้ และในอินโดจีนทั้งหมด  เป็นกลุ่มทึ่รวมหมู่มากมายหลายประเภท แต่มีลักษณะสำคัญที่เหมือนกันในทางภาษา ขนบประเพณี และจารีต\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n            นายดอชเรน ชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นสมาชิกราชบัณฑิตสภาอังกฤษ เกี่ยวกับทวีปอาเซีย ให้คำอธิบายว่าเชื้อชาติไทย แบ่งแยกเรียกชื่อตามหมู่เหล่าหลายชื่อ แต่เป็นเชื้อชาติเดียวกัน ได้ยึดครองพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลว่าคนเชื้อชาติอื่นๆ ในแหลมอินโดจีน ในอัสสัมซึ่งเรียกว่าอาหม ตลอดแนวเขตแดนระหว่างพม่ากับจีน แบ่งแยกเป็นหลายพวก และบางพวกก็เป็นอิสระอย่างครึ่ง ๆ เรียกชื่อตามที่พม่าเรียกว่าฉาน ชนเชื้อชาติเดียวกันนี้ได้แผ่ออกไปทางใต้ใช้ชื่อว่า ลาว ยึดครองพื้นที่ระหว่าง แม่น้ำสาละวินกับ แม่น้ำโขงใต้ลงไปอีก ที่รู้จักกันมากที่สุด และเป็นสาขาเชื้อชาติที่มีอารยธรรมสูงที่สุด คือไทยสยาม ซึ่งได้ตั้งอาณาจักรที่มีอำนาจอยู่ทางฝั่งทะเล\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n            นายเอเตียน เอโมนิเอร์ ชาวฝรั่งเศส เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ได้เขียนไว้ในหนังสือเรื่องประเทศกัมพูชา พิมพ์ออกเผยแพร่ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๓ มีความว่าครอบครัวเชื้อชาติใหญ่ ซึ่งเรียกว่าไทย ที่แปลกันว่าเสรีชน ประกอบด้วยหมู่ชนมากมายหลายสาขา มีความสัมพันธ์อย่างเครือญาติใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางภาษา หมู่ใหญ่ของชนชาติดังกล่าวนี้มี ฉาน ลาว หรือ ลาวเฉียง ผู้ไท และชาวสยาม เมื่อก่อนคริสตศักราช ชนเชื้อชาตินี้ได้มีถิ่นฐานอยู่ในที่ราบสูงยูนนาน หรือธิเบตตะวันออก ต่อมาได้เคลื่อนย้ายลงมาตามทางลาดเอียงของลำน้ำ เข้ายึดครองลุ่มน้ำหลายแห่งในประเทศจีนตอนใต้ และได้แผ่ลงมาทางใต้เหมือนน้ำไหลอย่างแรง ครอบคลุมที่ราบในแหลมอินโดจีนเกือบทั้งหมด และได้ขับไล่พวกชาวป่าชาวดอยเจ้าของถิ่นเดิมให้เข้าไปอยู่ในป่าดง และภูเขาแล้ว ชนชาติไทยก็เข้าครอบครองดินแดนโดยเหลือแต่ที่ที่ยื่นออกตามชายฝั่งทะเล ไว้ให้แก่ชนชาติอื่นที่เจริญแล้วคือ ญวน จามปา เขมร มลายู มอญ และพม่า\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; margin: 0cm 0cm 6pt; text-align: justify\">\n            ศาสตราจารย์ แตริอัง เดอลาคุเปอรี  ชาวอังกฤษ ได้ตรวจสอบภาษาพูดที่ทางจีนสมัยโบราณรวบรวมไว้ พบว่าคำพูดของหมู่ชนที่จีนเรียกว่าคนป่าในสมัยโบราณนั้น  แยกออกได้เป็นสองสาขา คือบางคำตรงกับภาษาไทย บางคำตรงกับภาษามอญและญวน เมื่อลองตรวจนับดูก็พบว่าในบรรดาคำ ๑๙ คำ จะเป็นภาษาไทย ๑๒ คำ เป็นภาษามอญและญวน และมีอยู่มากคำที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ด้วยเหตุนี้ ศาสตราจารย์ คุเปอรีจึงถือว่า หมู่ชนที่ชาวจีนเรียกว่าคนป่านั้นต้องเป็นพันธุ์ๆ หนึ่ง ซึ่งเขาเขาชื่อว่าพันธุ์ &quot;มอญไทย&quot; โดยที่พันธุ์มอญได้เคลื่อนลงมาทางใต้ก่อนพันธุ์ไทย และมากลายเป็น มอญ เขมร ญวน ในปัจจุบัน\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n            สำหรับเจ้าตำราทางฝรั่งเศส ได้อธิบายไว้ว่ามอญกับเขมรเป็นสาขาเดียวกัน เรียกว่ามอญขะแมร์ ถือเป็นมอญแท้พวกหนึ่ง และเป็นขะแมร์อีกพวกหนึ่ง ชนชาติอื่นๆที่นับเข้าเป็นสาขามอญขะแมร์ได้แก่ ปะหล่อง ว้า ยาง นายดอชเรนได้เขียนไว้ว่าพันธุ์มอญ เป็นเชื้อชาติแรกที่อพยพจากแดนจีนลงมาทางใต้\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n            พันตรี เดวิด ชาวอังกฤษ ได้เขียนเรื่องไทยในยูนนานไว้ว่า คนจีนในยูนนานกล่าวว่า ชาวกวางตุ้งนั้นเป็นเชื้อชาติฉาน (ไทยใหญ่) ดวงหน้าของชาวจีนทางใต้กับพวกฉานเหมือนกันมาก อาจเป็นไปได้ว่าในสมัยหนึ่งพวกฉาน ได้ครองครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในประเทศจีนทางด้านทิศใต้ ของแม่น้ำยังจื้อ แต่ส่วนมากถูกจีนกลืนไป\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n            เซอร์ ยอร์ช สก๊อต ชาวอังกฤษ ผู้เขียนประวัติศาสตร์พม่า ได้เขียนความตอนหนึ่งว่า เชื้อชาติไทยเป็นเชื้อชาติแผ่ไพศาลที่สุดในแหลมอินโดจีน  ชาวอาหมในแคว้นอัสสัมเป็นฉาน  ชาวฮักก้าในกวางตุ้งเป็นพวกที่ไปจากฉาน อาจจะเป็นไปได้ว่า เชื้อชาติไทยประกอบเป็นส่วนใหญ่ในสี่มณฑลของจีน\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n            หมอวิลเลียมคลิฟตัน ดอดต์ ได้อ้างคำของนายเจไมซัน กงสุลให้อังกฤษประจำเมืองแดนตอน (กวางตุ้ง) เมื่อ ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๕๐ ว่าพลเมืองในมณฑลกวางสี และกวางตุ้งทั้งหมดเป็นชนเชื้อชาติไทยทั้งในทางเชื้อชาติและทางภาษา\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n            เรเวอเรนต์ เบอร์กวอล นักบวชชาวอังกฤษ กล่าวว่าชาวไทยในมณฑลกวางสี ตามอำเภอชนบทมากหลาย ปกครองโดยหัวหน้าของเขาเอง ที่สืบเชื้อสายต่อกันมา ไม่พูดภาษาจีน และถือพวกถือหมู่ ถึงขั้นไม่ยินดีรับอารยธรรมจีน\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n            หมอวิลเลียมคลิฟตัน ดอดด์ ผู้แต่งหนังสือเรื่องเชื้อชาติไทย เขียนไว้ว่ามีข้อที่จะอ้างอิงได้เป็นอันมากว่า ในปัจจุบันนี้ชาวจีนซึ่งถือว่าหมู่ที่อยู่รอบข้างตน เป็นคนป่า ชั้นต่ำกว่าตนนั้น มีเลือดไทยอยู่ในสายเลือดของตนเป็นอันมาก และยังมีเลือดของพวกโลโล้ ยูง ยาง กะเหรี่ยง เต็ก แม้ว เย้า ไปจนถึงพวกมอญ - ขะแมร์ด้วย พวกเหล่านี้เป็นชาวใต้ เป็นตัวแทนของชาติโบราณที่เคลื่อนที่มาเรื่อย ๆ จากทางเหนือ เมื่อประมวลความเห็นเหล่านี้เข้าด้วยกัน จะเห็นได้ว่าธาตุสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้เกิดชาติจีนในปัจจุบันคือ ชนชาติใหญ่ ชื่อว่า อ้ายลาว ต่อมาภายหลังเรียกว่าไทย พม่าเรียกว่า ฉาน ซึ่งอยู่ในประเทศจีนมาก่อน เก่ากว่าชาวจีน\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n            แม่น้ำฮวงโห และ แม่น้ำแยงซีเกียง  ได้แบ่งประเทศจีนออกเป็น ๓ ตอน ตอนเหนือคือพื้นที่ทางด้านเหนือแม่น้ำฮวงโหขึ้นไป ตอนกลางคือพื้นที่ระหว่างแม่น้ำทั้งสองนึ้ และตอนใต้คือพื้นที่ทางด้านทิศใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียงลงมา\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n            ทางเดินของชนชาติจีนตามประวัติศาสตร์นั้น จีนลงมาจากทางเหนือ และเพิ่งมาตั้งอาณาจักรแท้จริงเท่าที่เราทราบ เมื่อมาถึงแม่น้ำฮวงโห และอยู่ในพื้นที่ตอนบนเหนือแม่น้ำสายนี้  ในระยะเวลานั้นยังไม่พบกับไทย ในระยะต่อมาก็เคลื่อนที่ข้ามแม่น้ำฮวงโหเข้ามาสู่พื้นที่ตอนกลาง และได้พบกับไทยในพื้นที่ตรงนี้ จากนั้นจีนก็ได้เปลี่ยนแนวทางเคลื่อนย้าย คือแทนที่จะเคลื่อนที่เรื่อย ๆ ลงมาทางใต้ตามทิศทางที่เคยเคลื่อนที่มาก่อน ก็กลับวกไปทางด้านทิศตะวันออก  จีนใช้เวลาถึงหนึ่งพันปีในการเคลื่อนที่สู่ทิศตะวันออกเรื่อยไปจนกระทั่งถึงทะเลเหลื อง  ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้เป็นข้อสนับสนุนว่า อาณาจักรไทยที่จีนมาพบนั้น ต้องเป็นอาณาจักรที่มั่นคงแข็งแรง สามารถเป็นทำนบกั้นการเคลื่อนที่ของจีนลงทางใต้ได้ยาวนานถึงหนึ่งพันปี ภายหลังเมื่อจีนขยายตัวไปถึงทะเลเหลืองแล้ว จึงได้กลับมากดดันลงทางใต้ และกว่าจะแผ่ขยายไปถึงฝั่งทะเลทางตอนใต้ก็ต้องใช้เวลาอีกประมาณหนึ่งพันปีเช่นกัน&amp;nb sp; ประวัติศาสตร์จีนที่ขงจื้อเขียน ไม่มีข้อความตอนใดกล่าวถึงดินแดนทางตอนใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียงลงไป แสดงว่าในสมัยนั้น จีนยังไม่รู้จักดินแดนตอนใต้\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n            มีอาณาจักรอยู่หลายอาณาจักรที่จีนเรียกว่าคนป่า แต่เป็นอาณาจักรที่ปกครองตนเอง โดยมีความสัมพันธ์กับจีน มีอาณาจักรอีกสองอาณาจักรที่น่าสนใจ นอกจากที่ได้กล่าวมาแล้ว คือ\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n            อาณาจักรปัง  อยู่ทางทิศเหนือของมณฑลเสฉวนและ ฮูเป คือ อยู่ในพื้นที่ตอนกลางระหว่างแม่น้ำ ฮวงโห กับแม่น้ำ แยงซีเกียง ในตำนานของจีนกล่าวว่า อาณาจักรนี้ได้ถูกรวมเข้ากับจีน เมื่อ ๗๖๗ ก่อนพุทธศักราช และตำนานจีนยังกล่าวไว้ว่า อาณาจักรนี้ได้ตั้งเป็นอิสระมาก่อนแล้ว ๗๖๗ ปี แสดงว่าอาณาจักรนี้ตั้งมาตั้งแต่ ๑๔๕๔ ปี ก่อนพุทธศักราช  ขงจื้อเมื่อเขียนถึงชนชาตินี้ จะใช้คำว่า &quot;ปังโบราณ&quot;  อาณาจักรปังเป็นอาณาจักรใหญ่มีหมู่บ้านถึง แปดหมื่นหมู่บ้าน เมื่อรวมกับจีนแล้วก็ยังคงใช้ประมุขคนพื้นเมืองปกครองกันเอง ต่อมาภายหลังได้รับการยกย่องให้อยู่ในฐานะกษัตริย์ จีนเรียกเมืองแสนหวีที่อยู่ในรัฐไทยใหญ่ปัจจุบันว่ามูปัง คำว่าปังอาจจะออกเสียงเป็นปอง ปง หรือพงได้นั้น ยังเหลือซากอยู่ในหมู่ชนชาติไทย ชื่อเมืองของชนชาติไทยบางแห่งยังมีชื่อว่า เมืองพง ชาวไทยใหญ่บางพวกยังเรียกตัวเองว่าไทยปอง หรือไทยพง\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n            อาณาจักรจู  ทางไทยอาจจะเรียกว่า ฌ้อ เป็นอีกรัฐหนึ่งที่รวมเข้ากับจีน ภายหลังจากที่ได้ต่อสู้กันอยู่ช้านาน นับว่าเป็นรัฐใหญ่ที่สุดในบรรดารัฐคนป่าทั้งหลาย  เขตแดนทางเหนือจดครึ่งของพื้นที่ตอนกลาง ระหว่างแม่น้ำฮวงโหกับแม่น้ำแยงซีเกียง ทางด้านทิศตะวันออกได้ทอดยาวไปตามลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง จากหลักฐานของจีน ชาวชุงเชียสืบสายมาจากชาวจู และหมอวิลเลียม คลิฟตัน ดอดด์ ได้พบชาวชุงเชีย และพูดกันรู้เรื่องด้วยภาษาไทย\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; text-align: justify\">\n            ศาสตราจารย์ ลาคุเปอรี ได้พบจดหมายเหตุจีนกล่าวถึงชนชาติไทยเป็นครั้งแรก ในรัชสมัย พระเจ้ายู้ของจีน เมื่อ ๑๖๕๔ ปี ก่อนพุทธศักราช ชนชาติไทยได้ถูกระบุไว้ในรายงานการสำรวจภูมิประเทศของจีนในครั้งนั้น แต่จดหมายเหตุจีนเรียกชนชาติไทยว่า&quot;มุง&quot; และบางแห่งเรียก &quot;ต้ามุง&quot; คือมุงใหญ่ ถิ่นที่อยู่ของชนชาติไทยดังกล่าวนี้ อยู่ในเขตมณฑลเสฉวนของจีนในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ในพื้นที่จีนกลางค่อนไปทางตะวันตก\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; margin: 0cm 0cm 6pt; text-align: justify\">\n            มีจดหมายเหตุของจีน กล่าวถึงชนชาติไทย ได้เรียกชื่อไทยเป็นสองพวก คือ &quot;ลุง&quot; กับ &quot;ปา&quot; อาจจะเป็นได้ว่าทิวเขากุยลุง ได้ชื่อมาจากไทยพวกที่จีนเรียกว่าลุง คำว่ากุย เป็นคำไทย แปลว่าเขา นอกจากนั้น ยังมีชนชาติไทยอีกพวกหนึ่ง อยู่ในพื้นที่ระหว่างมณฑล โฮนาน ฮูเป และอันฮุย แล้วได้ขยายตัวออกไปถึงทิวเขากุยลุงทางด้านทิศตะวันตก เราก็จะได้พบชนชาติไทยที่เรียกชื่อว่า มุง ลุง ปา ปัง และลาว บนฝั่งซ้ายของแม่น้ำแยงซีเกียง ครอบครองดินแดนตั้งแต่มณฑลเสฉวนภาคตะวันตก ต่อเนื่องทางด้านตะวันออก จนเกือบถึงทะเล และย้อนขึ้นไปทางเขตมณฑลเกียงสู ทิวภูเขาลาวในแถบนี้ ก็อาจจะได้ชื่อมาจากพวกไทย ที่เรียกตัวเองว่าลาวนี้เอง\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; margin: 0cm 0cm 6pt; text-align: justify\">\nอ้างอิงจาก <a href=\"http://www.meeboard.com/view.asp?user=s_hatcore&amp;groupid=5&amp;rid=14&amp;qid=1\">http://www.meeboard.com/view.asp?user=s_hatcore&amp;groupid=5&amp;rid=14&amp;qid=1</a>\n</div>\n<div style=\"text-justify: inter-cluster; margin: 0cm 0cm 6pt; text-align: justify\">\n<strong><span style=\"font-size: x-small; color: #000000; font-family: MS Sans Serif\">หลักฐานที่ใช้ในการศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์</span></strong> \n<p align=\"left\">\n<small><span style=\"color: #000000; font-family: MS Sans Serif\"><small>หลักฐานที่ใช้ในการศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ แบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ<br />\n<strong>1. หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร</strong> ได้แก่ หลักฐานที่เป็นตัวหนังสือ เช่น บันทึกพงศาวดาร จดหมายเหตุต่างๆ อาจปรากฏบนแผ่นใบลาน กระดาษ หรือวัสดุอื่นๆ<br />\n<strong>2. หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร</strong> ได้แก่ วัตถุ เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ หรือสิ่งก่อสร้างต่างๆ เช่น ภาชนะ ถ้วยชาม รูปปั้น โครงกระดูกมนุษย์  โบสถ์ วิหาร เป็นต้น</small></span></small>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<small><span style=\"color: #000000; font-family: MS Sans Serif\"><small>อ้างอิงจาก <a href=\"http://www.sksrt.ac.th/webschool/studnetwork/songkom/B21.htm\">http://www.sksrt.ac.th/webschool/studnetwork/songkom/B21.htm</a></small></span></small>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<small><span style=\"font-family: MS Sans Serif\"><small><span style=\"color: #000000\"><strong><span style=\"font-size: x-small\">แนวคิดเรื่องถิ่นกำเนิดของชนชาติไทย</span></strong><br />\n</span><span style=\"font-family: MS Sans Serif\"><br />\n</span><span style=\"font-family: MS Sans Serif\"><span style=\"color: #000000\"><small>1.   แนวคิดที่เชื่อว่าชนชาติไทยอยู่บริเวณเทือกเขาอัลไตหรือเอเชียกลาง เชื่อว่าคนไทยสืบเชื้อสายมองโกล เป็นความเชื่อของ ด.ร วิลเลียมดอดด์ หมอสอนศาสนาชาวอเมริกัน และขุนจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) ซึ่งศึกษาค้นค้วาและเขียนหนังสือชื่อ หลักไทย เนื่องจากเขตนี้หนาวเย็นและทุรกันดารมาก ปัจจุบันเชื่อแนวคิดนี้น้อยลงมาก</small><br />\n<small>2.   แนวคิดที่เชื่ออว่าถิ่นกำเนิดของไทยอยู่ในบรเวณมณฑลเสฉวน (ตอนกลางของจีน) เป็นความเชื่อของ ศาสตราจารย์แตร์รีออง เดอ ลา</small><span style=\"font-size: x-small\"> </span><small>คูเปอรี แห่งมหาวิทยาลัย</small></span></span><span style=\"font-family: MS Sans Serif\"><br />\n<small><span style=\"color: #000000\"><small>ลอนดอน และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมยานุภาพ ซึ่งนิเรื่องพงศาวดารสยาม เมื่อคนไทยถูกจีนรุกรานจึงอพยพมาอยู่ที่ยูนนาน สิบสองจุไทย และอพยพมาตอนล่าง</small><br />\n<small>3.   แนวคิดที่เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของไทยอยู่ทางตอนใต้ของจีน ปัจจุบัน คือ บริเวณมณฑลยุนนานของจีน ตอนเหนือของเวียดนาม รัฐฉานของพม่าและรัฐอัสสัมของอินเดีย เรียกว่าไทยใหญ่,ไทยน้อยเป็นความเชื่อของชาวอังกฤษชื่อ อาร์ชิบัล โคลฮูนและศาสตราจารย์ขจร สุขพานิชซึ่งได้ศึกษาค้นคว้าเสนอข้อคิดที่ว่าน่าจะอยู่แถบมณฑลกวางตุ้กวางสีของจีนซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของจีนนั่นเองแนวความคิดนี้เป็นที่ยอมรับกว้างขวางในปัจจุบัน</small><br />\n<small>4. แนวคิดที่เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของไทยอยู่ในแหลมมลายูและหมู่เกาะอินโดนีเซีย   เป็นความเชื่อของกล่มนักวิชาการแพทย์ ของไทย แพทย์สมศักดิ์ สุวรรณสมบูรณ์ และนายแพทย์ประเวศ วะสีโดยพบกลุ่มเลือด ยีน และเฮโมโกลบิน อี ของไทย เหมือนคนที่เกาะชวา และเป็นความเชื่อของ พอล เบเนดิกต์ นักภาษาศาสตร์และมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน เชื่อว่าคนไทยสืบเชื้อสายเดียวกับคนอินโดนีเซียและมลายู และภาษาไทยเป็นตระกูลออสโตรเนเชียน</small><br />\n<small>5. แนวคิดที่เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของไทยอยู่ในบริเวณประเทศไทยปัจจุบันนี่เอง        คือ สุวรรณภูมิคาบสมุทรอินโดจีน ตลอดแหลมมลายู เป็นความเชื่อของศาสตราจารย์ นายแพทย์สุด แสงวิเชียร และศาสตราจารย์ ชิน อยู่ดี โดยการขุดพบหลักฐานทางโบราณคดี เครื่องปั้นดินเผา เครื่องใช้เครื่องประดับ และโครงกระดูกมนุษย์ที่สองฝั่งแม่น้ำแควน้อย และแควใหญ่ จังหวัดกาญจนบุรี และที่ตำบลบ้านเชียง อำเภอ หนองหาน จังหวัด อุดรธานี          หลักฐานต่าง ๆ เหล่านี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป ยังต้องศึกษาค้นคว้าหาหลักฐานสืบต่อไปอีก</small></span></small></span></small></span></small>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<small><span style=\"font-family: MS Sans Serif\"><small><span style=\"font-family: MS Sans Serif\"><small><span style=\"color: #000000\"><small>อ้างอิงจาก <a href=\"http://www.sksrt.ac.th/webschool/studnetwork/songkom/B21.htm\">http://www.sksrt.ac.th/webschool/studnetwork/songkom/B21.htm</a></small></span></small></span></small></span></small>\n</p>\n<p><small><span style=\"font-family: MS Sans Serif\"><small><span style=\"font-family: MS Sans Serif\"><small><span style=\"color: #000000\"><small></small></span></small></span></small></span></small></p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif\"><strong>การตั้งถิ่นฐานของชนชาติไทย</strong> <br />\n      มีความเข้าใจมาช้านานแล้วว่าในบริเวณที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน เคยมีชื่อเรียกว่า <strong><em>&quot;สุวรรณภูมิ&quot;</em></strong> ตามความเข้าใจของชาวอินเดียที่เดินทางเข้ามาติดต่อค้า<br />\nขายแถบนี้ แต่ปัญหาที่มักเป็นคำถามอยู่เสมอในการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยก็คือ ดินแดนสุวรรณภูมิเป็นของชนชาติใด ชนชาติไทยมาจากไหนมาจากตอนใต้ของจีน หรือมีพัฒนาการมาจากดินแดนในประเทศไทยในปัจจุบัน ปัญหาเหล่านี้มักจะเป็นข้อสงสัยในประวัติศาสตร์ไทยอยู่ตลอดเวลา<br />\n      ในการศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์นั้น ในปัจจุบันนักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีได้แบ่งช่วงสมัยของประวัติศาสตร์ออกอย่างกว้าง ๆ เป็น 2 สมัย ลายลักษณ์อักษรเป็นสำคัญ คือ สมัยก่อนประวัติศาสตร์คือช่วงระยะเวลาตั้งแต่มนุษย์ถือกำเนิดขึ้นมาและดำรงชีพโดยยึดถือหลักฐานที่เป็นตามธรรมชาติเช่นเดียวกับ สัตว์โลกอื่นๆต่อมามนุษย์บางกลุ่มสามารถปรับชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นโดยการนำเอาทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ไฟ น้ำ หิน โลหะ ไม้ เป็นต้น มาใช้ประโยชน์ สร้างสมความเจริญและถ่ายทอดสู่คนรุ่นหลัง จนสามารถพัฒนาเป็นสังคมเมือง การเรียนรู้เรื่องราวในยุคนี้ได้จากหลักฐานทางโบราณคดี เช่น โครงกระดูก เครื่องมือเครื่องใช้ และภาพศิลปะถ้ำต่าง ๆ สมัยประวัติศาสตร์ หมายถึง สมัยที่มีการประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้บันทึกบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ทำให้การศึกษาประวัติศาสตร ์ในช่วงยุคสมัยนี้ชัดเจนมากขึ้นโดยอาศัยหลักฐานทางโบราณคดีสนับสนุน ช่วงสมัยนี้สามารถแบ่งย่อยได้ เช่น การตั้งเมืองหลวง การเปลี่ยนราชวงศ์ เป็นต้น</span></p>\n<p><strong>หลักฐานที่ใช้ในการศึกษาเรื่องราวของชนชาติไทย</strong><br />\n      การศึกษาเกี่ยวกับความเป็นมาของชนชาติไทยนั้น เราศึกษาได้จาก... <br />\n- หลักฐานที่เป็นลายลักษณอักษรเป็น ห์ลักฐานที่ปรากฏเป็นตัวอักษรบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับคนไทยในสมัยโบราณไว้ อาจจะปรากฏอยู่ตามฐานเจดีย์ กำแพงโบสถ ผนังถ้ำ แผ่นไม้ ใบลาน สมุดข่อย เช่น จารึกสุโขทัย จารึกมอญ เป็นต้น<br />\n- หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น โครงกระดูกมนุษย์ พระพุทธรูป ร่องรอย<br />\n<strong><br />\nการตั้งถิ่นฐานของชุมชนเป็นต้น นอกจากนี้การศึกษาประวัติศาสตร์อาจแบ่งหลักฐานได้อีก 2 ประเภท ดังนี้</strong><br />\n- หลักฐานชั้นต้นหรือปฐมภูมิ หมายถึง บันทึกหรือคำบอกเล่าของผู้พบเห็นเหตุการณ์หรือผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ หรือผู้ร่วมสมัยกับเหตุการณ์ เช่น <br />\nบันทึก จดหมายเหตุ เป็นต้น<br />\n- หลักฐานชั้นรองหรือทุติยภูมิ หมายถึง ผลงานการค้นคว้าที่เขียนขึ้นหรือเรียบเรียงขึ้นภายหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นแล้ว โดยอาศัยหลักฐานชั้นต้นและเพิ่มเติมด้วย<br />\nความคิดเห็น คำวินิจฉัย ตลอดจนเหตุผลอื่น ๆ ประกอบ เช่น พงศาวดาร ตำนาน คำให้การ เป็นต้น<br />\n      สำหรับการศึกษาเรื่องราวของชนชาติไทยนั้น นอกจากจะใช้หลักฐานต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว ยังจะต้องอาศัยหลักฐาน การวิเคราะห์ ประเมินคุณค่า การตีความ จากนักวิชาการในหลายสาขาวิชาด้วยกัน เช่น นักมานุษยวิทยา นักโบราณคดี นักภาษาศาสตร์ นักภูมิศาสตร์ นักสังคมวิทยา นักวิทยาศาสตร์ เป็นต้นเพื่อให้ข้อมูล ตรงกับความเป็นจริงให้มากที่สุด</p>\n<p><strong>แนวความคิดเกี่ยวกับคนไทยมาจากไหน</strong><br />\n      การศึกษาเกี่ยวกับที่มาของชนชาติไทยยังคงเป็นประเด็นถกเถียงกันอยู่และหาข้อยุติแน่นอนไม่ได้ แต่ข้อสันนิษฐานหรือแนวคิดต่าง ๆ ที่มีหลักฐานน่าเชื่อถือมีผล ให้การศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชนชาติไทยมีความชัดเจนมากขึ้น สรุปได้เป็น 5 แนวทาง ดังนี้<br />\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Microsoft Sans Serif\">     1. แนวคิดที่เชื่อว่าชนชาติไทยอยู่บริเวณเอเชียกลาง<br />\n     แนวคิดนี้เกิดขึ้นหลัง พ.ศ. 2450 เป็นต้นมา โดยนักประวัติศาสตร์ในช่วงนั้นต่างมีความเชื่อกันว่าแหล่งกำเนิดอารยธรรมของโลกมีจุดกำเนิดอยู่ทางแถบ เอเชียกลางใกล้ทะเลแคสเปียน ก่อนที่กระจายไปยังทิศทางต่าง ๆ ดร.วิลเลียม คลิฟตัน ดอดหมอสอนศาสนาชาวอเมริกันได้นำความเชื่อนี้ไปกล่าวไว้ในงานเขียน เกี่ยวกับชนชาติไทยของเขาว่าพวกมุงซึ่งเชื่อกันว่าเป็นบรรพบุรุษของคนไทยได้อพยพโยกย้ายถิ่นฐานมาจากถิ่นกำเนิดของตนในเอเชียกลางมายังชายแดนด้าน ตะวันตกของจีน<br />\n      <strong>ขุนวิจิตรมาตรา</strong> ( สง่า กาญจนาคพันธ์ ) ได้แสดงความคิดเห็นไว้ในหนังสือหลักไท ( พ.ศ. 2471 ) เชื่อว่าแหล่งกำเนิดของชนชาติไทยอยู่บริเวณเทือกเขา ิอัลไตของเอเชียกลาง ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของพวกมองโกลด้วยกัน ภายหลังจึงได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานแถบบริเวณลุ่มแม่น้ำเหลือง และแม่น้ำแยงซีต่อมาเมื่อถูกรุกราน จึงค่อย ๆ อพยพลงมาสู่สุวรรณภูมิต่อมาภายหลัง เมื่อมีการศึกษาทางด้านโบราณคดีและด้านภูมิศาสตร์ ทำให้แนว ความคิดนี้ไม่ได้รับการยอมรับอีกต่อไปเพราะทาง แถบบริเวณเทือกเขาอัลไตของเอเชียกลางนั้นเป็นเขตแห้งแล้ง อากาศมีความหนาวเย็น และถ้าอพยพโยกย้ายลงมาก็ต้องผ่านทะเลทรายที่กว้างใหญ่และทุรกันดารมาก จึงไม่เหมาะสำหรับจะเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์<br />\n      2. แนวคิดที่เชื่อว่าชนชาติไทยอยู่บริเวณมณฑลเสฉวน<br />\n     <strong> เทเรียน เดอ ลา คูเปอร</strong>ี ศาสตราจารย์ชาวฝรั่งเศส เจ้าของแนวความคิดที่เชื่อว่าความเป็น มาของคนไทยอยู่บริเวณมณฑลเสฉวนของจีนได้แสดงความ เห็นไว้ว่า คนเชื้อชาติไทยตั้งถิ่นฐานเป็นอาณาจักรอยู่ในดินแดนจีนมาก่อน เมื่อประมาณ 2,208 ปีก่อนคริสตกาล ชนชาติ &quot; ไท&quot;ได้ถูกระบุไว้ในรายงานสำรวจ ภูมิประเทศจีนในสมัยพระเจ้ายู้ จีนเรียกชนชาติไทยว่า &quot;มุง&quot; หรือ &quot;ต้ามุง&quot; ถิ่นที่อยู่ของคนไทยซึ่งปรากฏในจดหมายเหตุจีนนี้อยู่ในเขตที่เป็นมณฑลเสฉวนปัจจุบัน      <strong>สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ</strong> ทรงเสนอความเห็นไว้ว่า คนไทยน่าจะอยู่แถบดินแดนทิเบตต่อกับจีน ( มณฑลเสฉวนปัจจุบัน ) ราว พ.ศ. 500 ถูกจีนรุกรานจึงอพยพมาอยู่ที่ยูนนานทางตอนใต้ของจีน แล้วกระจายไปตั้งถิ่นฐานบริเวณเงี้ยว ฉาน สิบสองจุไท ล้านนา ล้านช้าง <br />\n    <strong> หลวงวิจิตรวาทการ</strong> ได้กล่าวถึงถิ่นกำเนิดของคนไทยไว้ว่า คนไทยมีถิ่นกำเนิดอยู่ในดินแดนซึ่งเป็นมณฑลเสฉวน ฮูเป อันฮุย และเกียงซีตอนกลางของ ประเทศจีนปัจจุบัน ก่อนที่จีนจะอพยพเข้ามา แล้วค่อย ๆ อพยพสู่มณฑลยูนนาน และแหลมอินโดจีนต่อมาภายหลังเมื่อมีการศึกษาค้นคว้าทางด้านมานุษยวิทยาและ ภาษาศาสตร์รวมทั้งการตรวจสอบหลักฐานจดหมายเหตุของจีนเป็นจำนวนมาก ปรากฏว่าสมมติฐานดังกล่าวไม่น่าจะเป็นไปได้ทำให้แนวความคิดที่ว่าคนไทยมี ีถิ่นฐานเดิมอยู่บริเวณมณฑลเสฉวนของจีน ไม่ได้รับการยอมรับอีกต่อไป</span> <span style=\"font-family: Microsoft Sans Serif\"></span><br />\n     <span style=\"font-size: x-small\">3. แนวคิดที่เชื่อว่าชนชาติไทยอยู่บริเวณทางใต้ของจีน และทางตอนเหนือของภาคพื้น  เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดจนบริเวณรัฐอัสสัมของอินเดีย<br />\n     <strong>อาร์ซิบอล อาร์ โคลฮูน</strong> นักสำรวจชาวอังกฤษ ได้เขียนรายงานการสำรวจที่ปรากฏอยู่ ในหนังสือชื่อ ไครเซ ซึ่งตีพิมพ์ในประเทศอังกฤษเมื่อ พ.ศ. 2428 ได้พบคนเชื้อชาติไทยในบริเวณภาคใต้ของจีนตั้งแต่กวางตุ้งไปจนถึงมัณฑะเลย์ในพม่า วูลแฟรม อีเบอร์ฮาด นักสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา ชาวเยอรมันได้กล่าวว่า เผ่าไทยอยู่บริเวณมณฑลกวางตุ้ง ต่อมาชนเผ่าไทยได้อพยพเข้าสู่ยูนานและดินแดนในอ่าวตังเกี๋ย และได้มาสร้างอาณาจักรเทียนหรือแถน ที่ยูนนานซึ่งตรงกับสมัย ราชวงศ์ฮั่นของจีน เมื่อถึงสมัยราชวงศ์ถังเผ่าไทยก็สถาปนาอาณาจักรน่านเจ้าขึ้นที่ยูนนาน <br />\n     <strong>วิลเลียม เจ. เก็ตนีย</strong>์ นักภาษาศาสตร์ชาวอเมริกันผู้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับภาษาไทยในเวียดนามตอนเหนือ ลาว และจีนตอนใต้ ได้เสนอความเห็นไว้เมื่อ <br />\nพ.ศ. 2508 ว่า ถิ่นกำเนิดของภาษาไทยมิได้อยู่ทางมณฑลยูนนาน แต่อยู่ที่มณฑลทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีนแถวเส้นเขตแดนระหว่างมณฑลกวางสีของจีนกับ เมืองเดียนเบียนฟูของเวียดนามตอนเหนือ<br />\n    <strong> เฟรเดอริค โมต</strong> ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์จีนได้ให้ทัศนะไว้นบทความที่เขียนขึ้นใน พ.ศ. 2507 ว่า หลักฐานประวัติศาสตร์จีนแม้จะไม่ระบุไว้อย่างชัดเจน เกี่ยวกับกำเนิดของชนชาติไทยว่าอยู่บริเวณใด แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของจีนใด ๆ ที่จะคัดค้านสมมติฐานที่ว่าถิ่นกำเนิดของชนชาติไทย อยู่ในบริเวณตอนใต้ของจีนและบริเวณต่อเนื่องกับเขตแดนของเวียดนาม<br />\n    <strong> เจมส์ อาร์ แชมเบอร์เลน</strong> นักภาษาศาสตร์ กล่าวว่า &quot;ถิ่นกำเนิดเริ่มแรกของชนชาติไทยนั้นน่าจะอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลเหนือปากแม่น้ำแยงซีตอนล่างเพราะเป็น วิถีชีวิตของกลุ่มคนที่พูดภาษาไทยที่เพราะปลูกข้าวนาลุ่มมาแต่แรก ข้อมูลเกี่ยวกับคำศัพท์ของกล้าข้าว ประเภทต่าง ๆในภาษาไทยสะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มคนที่พูดภาษา ไทยอาจเป็นคนกลุ่มแรกที่รู้จักเพาะปลูกข้าวนาลุ่ม<br />\n     <strong>พอล เบเนดิกต์</strong>์ นักภาษาศาสตร์และมนุษยวิทยาชาวอเมริกันได้เสนอว่า ถิ่นกำเนิดของกลุ่มคนที่พูดภาษาไทยนั้นอยู่บริเวณทางตอนใต้ของจีน<br />\n    <strong>  ศาสตราจารย์ขจร สุขพานิช</strong> กล่าวว่าคนไทยมีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนใต้ของจีนแถบมณฑลกวางตุ้ง กวางสี ต่อมาประมาณ 1,000 ปีก่อนคริสตกาล ชนเผ่าไทยจึงได้อพยพมาทางตะวันตก ตั้งแต่มณฑลเสฉวน เมืองเชียงตู ลงล่างเรื่อยมาจนเข้าเขตยูนนาน และลงมาทางใต้ผ่านสิบสองจุไทลงสู่ประเทศลาว<br />\n    <strong> จิตร ภูมิศักดิ์</strong> เสนอทัศนะไว้ว่า คนเผ่าไทยอาศัยอยู่กระจัดกระจายในบริเวณทางตอนใต้ของจีน และบริเวณภาคเหนือของไทย ลาว เขมร พม่า และรัฐอัสสัมของอินเดีย แนวความเชื่อนี้เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง เนื่องจากมีหลักฐานในสาขาวิชาการต่าง ๆ ทั้งทางด้านภาษาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ โบราณคดี มานุษยวิทยา และอื่น ๆ มาสนับสนุนเป็นจำนวนมาก<br />\n    4. แนวความคิดที่เชื่อว่าชนชาติไทยตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณพื้นที่ที่เป็นประเทศไทยใน ปัจจุบัน<br />\n     <strong>คอริช เวลส</strong>์ เป็นนักวิชาการตะวันตกคนแรกที่เสนอสมมติฐานว่า ถิ่นเดิมของชนชาติไทย อยู่บริเวณประเทศไทยปัจจุบัน โดยอาศัยหลักฐานจากกะโหลกศรีษะ ที่ขุดได้จากตำบลพงตึก จังหวัดกาญจนบุรีที่มีอายุราวต้นคริสต์ศตวรรษ ซึ่งเวลส์เห็นว่ามีลักษณะใกล้เคียงกับกระโหลกศรีษะของคนไทยปัจจุบัน นายแพทย์สุด แสงวิเชียร ได้ทำการศึกษาโครงกระดูกมนุษย์ยุคหินใหม่ 37 โครง ซึ่งพบบริเวณสองฝั่งแม่น้ำแควน้อยและแควใหญ่ จังหวัดกาญจนบุรี พบว่าโครงกระดูกของ มนุษย์หินใหม่เหมือนกับโครงกระดูกของคนไทยปัจจุบันเกือบทุกอย่าง จึงสรุปว่าดินแดนไทยเมื่อครั้งอดีตน่าจะเป็นที่อยู่อาศัยของบรรพบุรุษของคนไทยปัจจุบัน มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์แล้ว<br />\n     <strong>ศาสตราจารย์ชิน อยู่ดี </strong>ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโบราณคดี ได้เสนอว่า มีร่องรอยของผู้คนอาศัยอยู่ตั้งแต่ยุคหินเก่าเรื่อยมาจนกระทั่งยุคหินกลาง หินใหม่ ยุคโลหะ และเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์ โดยแต่ละยุคได้มีการสืบเนื่องทางวัฒนธรรมสืบต่อมาจนถึงปัจจุบันด้วย แนวความคิดนี้มีนักวิชาการหลายท่านพยายามนำหลักฐานทาง ด้านโบราณคดีและเอกสารมาพิสูจน์ให้เห็นจริงว่าคนไทยน่าจะอยู่บริเวณนี้มาก่อน โดยไม่ได้อพยพมาจากดินแดนอื่นที่อยู่ห่างไกลออกไป ซึ่งแนวความคิดนี้ในปัจจุบัน ยังไม่ถือว่าเป็นข้อยุติ<br />\n     5. แนวความคิดที่เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของชนชาติไทยอยู่บริเวณคาบสมุทรอินโดจีนหรือ คาบสมุทรมลายูบริเวณหมู่เกาะชวา<br />\n    <strong> นายแพทย์สมศักดิ์ พันธุ์สมบุญ</strong> ได้ทำวิจัยทางด้านพันธุศาสตร์เกี่ยวกับหมู่เลือดลักษณะของ จำนวนยีน พบว่าหมู่เลือดของคนไทยคล้ายคลึงกับชาวเกาะชวา ที่อยู่ทางใต้มากกว่าคนจีนซึ่งอยู่ทางเหนือ รวมทั้งลักษณะและจำนวนของยีนระหว่างคนไทยกับคนจีนก็ไม่เหมือนกันด้วย<br />\n     <strong>ดร.ถาวร วัชราภัย</strong> ได้ทำวิจัยกลุ่มเลือดที่ทันสมัย สรุปได้ว่าไทยดำและผู้ไทยมีลักษณะเลือดใกล้เคียงกับชาวจีน แต่ไม่ใกล้เคียงกับชาวมาเลย์ แต่ชาวมาเลย์มี ลักษณะเลือดใกล้เคียงกับชาวเขมร ขากรรไกรและฟันก็ได้ผลเช่นเดียวกัน ศาสตราจารย์ นายแพทย์ประเวศ วะสี ได้ทำผลงานการวิจัยเรื่องฮีโมโกลบิน อี พบว่า ฮีโมโกลบิน อี มีมากในผู้คนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ ไทย ลาว เขมร พม่า มอญ และอื่น ๆ คนจีนเกือบไม่มีอยู่เลย แต่ปัจจุบันนี้ได้เลิกใช้ฮีโมโกลบิน อี เป็นเครื่องพิสูจน์ว่ากลุ่มใดมีบรรพบุรุษร่วมกับกลุ่มใด เพราะมีการพิสูจน์ได้ว่าดินแดนที่มีฮีโมโกลบิน อี มาก คือดินแดนที่มีไข้มาลาเรียมาก แนวความคิดนี้ปัจจุบัน ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใดและยังไม่เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางนัก</span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"font-family: MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif\"> อ้างอิงจากhttp://www.chaiwbi.com/0drem/web_children/2547/475102/03-1.html </span>\n</p>\n<p>\n</p></div>\n', created = 1715957100, expire = 1716043500, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:dc169be30ce0b64ed521a4156bff8491' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.

ความเป็นมาของชนชาติไทย

ความเป็นมาของชนชาติไทย

การเคลื่อนที่ของไทยโบราณ

ถิ่นเดิมของไทยอยู่ในดินเเดนซึ่งปัจจุบันนี้เป็นอาณาเขตของประเทศจีน บริเวณลุ่มเเม่น้ำฮวงโห หรือ เเม่น้ำเหลือง เเละ บริเวณเเม่น้ำยังซีเกียง หรือเเม่น้ำเเยงซีเกียง เมืองสำคัญของชาวไทยในครั้งนั้น คือ ลุง อยู่ทาง เหนือ เเถมต้นเเม่น้ำฮวงโห ใกล้เเนวกำเเพงเมืองจีน เเละ ปา อยู่ทางใต้ เเถบมณฑลเสฉวนปัจจุบัน 

ประมาณ 5 000 ปีที่เเล้ว ชาวจีนซึ่งร่อนเร่อยู่เเถบทะเลเเคสเปียน ได้ย้ายมา ทางทิศตะวันตก เเละเข้ารุกรานบ้านเมืองของชาวไทยซึ่งตั้งหลักเเหล่ง อยู่ก่อน ชาวไทยจึงพากันอพยพถอยร่อนลงมาทางใต้ เข้าเขต มณฑล ยูนนาน (ฮูนหนำ)  ไกวเจา กวางสี กวางตุ้ง ต่างเเยกย้ายกันตั้งบ้านเมือง อยู่เป็นอิสระหลายเมือง ชาวไทยเหล่านี้เรียกตัวเองว่า อ้ายลาว 

การที่ไทยถูกจีนรุกราน ต้องอพยพหลบหนีภัยจากถิ่นเดิมลงมาทางใต้นั้น มิใช่อพยพลงมาคราวเดียวทั้งหมด เเต่อพยพลงมาทีละพวกทีละหมู่ พวกใดทนอยู่กับการเบียดเบียนได้ก็อยู่ต่อที่เดิม พวกที่รักอิสระก็พากัน อพยพ ลงมาทางใต้ พบเเหล่งใดมีความอุดมสมบูรณ์ก็ตั้งถื่นฐาน สร้างบ้านเมืองขึ้นใหม่ 

เส้นทางอพยพของชาวไทยจนเข้ามาอยู่ในคาบสมุทรอินโดจีนปัจจุบัน ชาวไทยอาศัยเเม่น้ำ ๒ สายเป็นสำคัญ คือ เเม่น้ำสาละวิน เเละเเม่น้ำโขง

เส้นทางที่ ๑  พวกที่อพยพไปทางตะวันตกเฉียงใต้ บริเวณลุ่มเเม่น้ำ สาละวิน เเละตั้งภูมิลำเนาอยู่ในประเทศพม่าเดี๋ยวนี้เรียกว่า ไทยใหญ่ หรือ ไทยเงี้ยว หรือ ฉาน พวกที่อพยพไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เเละตั้ง ภูมิลำเนาอยู่ในเเคว้นอัสสัมเดี๋ยวนี้ เรียกว่าไทยอาหม

เส้นทางที่ ๒  พวกที่อพยพไปทางทิศใต้ บริเวณลุ่มเเม่น้ำโขง ผ่านเข้าไป ในดินเเดนสิบสองปันนา สิบสองจุไทย เเละตังเกี๋ย เเละตั้งภูมิลำเนาอยู่ใน ดินเเดนตอนเหนือของประเทศเวียดนามเเละประเทศลาว ปัจจุบันนี้ เรียกว่า ไทยน้อย ต่อมาไทยพวกนี้ได้ยกเข้ามาอยู่ในดินเเดนลานนาไทย ทางตอน เหนือของประเทศไทย ในที่สุดได้ชายเเดนลงมาทางใต้ในบริเวณลุ่มเเม่น้ำ เจ้าพระยาตลอดลงไปในเเหลมมลายู พวกไทยน้อยเป็นบรรพบุรุษของ ชาวไทย (สยาม) ในปัจจุบัน

อ้างอิงจาก http://sp2511.igetweb.com/index.php?mo=3&art=255552

ความเป็นมาของการค้นคว้าถิ่นเดิมของชนชาติไทย
ไทย  (Thai) หมายถึง   คนไทย  และ  คนเชื้อชาติอื่น  ที่เป็นพลเมืองของประเทศไทย
 ไท หรือ ไต  (Tai) หมายถึง กลุ่มชาติพันธุ์  (ethnic group) ที่พูดภาษาตระกูลไทหรือไต  และอาจมีลักษณะของวัฒนธรรมอื่น  ๆ  บางอย่างรวมกัน
            การศึกษาเรื่องถิ่นเดิมของชนชาติไทยเริ่มจากข้อสงสัยของชาวตะวันตก  ที่เห็นผู้คนในดินแดนประเทศไทยประกอบด้วยคนหลายเชื้อชาติ  และมีวัฒนธรรมหลากหลาย  ทั้งยังมีกลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูลภาษาไทกระจายอยู่ทั่วไปในอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่โด ยรอบ
            การศึกษาเพื่อค้นหาถิ่นเดิมของชนชาติไทยในอดีตได้เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา & nbsp; ดังปรากฏหลักฐานในหนังสือ จดหมายเหตุของ ลา ลูเเบร์   ซึ่งเป็นบันทึกของ   ซิมง  เดอ ลา ลูเเบร์  (Simon  de  la  Loubere)ราชทูตจากประเทศฝรั่งเศสสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔  ที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทยสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  ระหว่าง  พ.ศ.  ๒๒๒๙ –  ๑๑๒๑   ได้กล่าวถึงความเป็นมาของชนชาติไทยว่า   ปฐมบรมกษัตริย์ของชาวสยามนั้นทรงพระนามว่า   พระปฐมสุริยเทพนรไทยสุวรรณบพิตร พระมหานครแห่งแรกที่เสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัตินั้นชื่อว่าไชยบุรีมหานคร  เมื่อประมาณ พ.ศ.  ๑๓๐๐  บันทึกของ  ลา  ลูเเบร์   ยังได้กล่าวถึงการสืบราชสมบัติและการตั้งราชวงศ์ของพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่  พ.ศ. ๑๗๓๑  เป็นต้นมา             ;    ส่วนเรื่องราวของชนชาติไทยก่อน  พ.ศ.  ๑๓๐๐  นั้น  ลา  ลูเเบร์  ไม่ได้เอ่ยถึง
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น   พระมหากษัตริย์และเจ้านายชั้นสูงของไทยพยายามที่จะฟื้นฟูศิลปวิทยาที่เคยรุ่งเรืองเม ื่อครั้งสมัยอยุธยา   จึงมีการชำระพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาขึ้นใหม่   และต่อมาก็มีผลงานพงศาวดารไทยสมัยรันตโกสินทร์ขึ้นมาอีกหลายเล่ม
ตั้งเเต่สมัยรัชกาลที่  ๑  เป็นต้นมา   ชาวยุโรปโดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศสได้เริ่มขยายอิทธิพลเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใ ต้ของจีน   จึงสนใจที่จะศึกษาเรื่องราวของชนชาติต่าง ๆ   ที่อยู่ในบริเวณนี้เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการขยายอำนาจเข้าครอบครองดินแดนของประเทศต่า ง ๆ  ตามแนวทางลัทธิจักรวรรดินิยมการขยายอิทธิพลดังกล่าว   ทำให้พระมหากษัตริย์และเจ้านายไทยเห็นความจำเป็นที่จะต้องศึกษาเรื่องราวของชนชาติไท ยย้อนหลังไปในอดีต  เพื่อแสดงให้ชาติตะวันตกเห็นว่าชาติไทยเป็นชาติที่เจริญรุ่งเรืองมานานแล้วไม่ใช่เป็ นชาติป่าเถื่อนอย่างที่ชาวตะวันตกเข้าใจ  ดังจะเห็นได้จากในสมัยรัชกาลที่ 3  เจ้าฟ้ามงกุฏ    (รัชกาลที่ 4 เมื่อครั้งทรงอยู่ในสมณเพศ  ก่อนเสวยราชย์)  ทรงค้นพบศิลาจารึกสมัยสุโขทัยหลักหนึ่ง   และทรงพยายาม
อ่านข้อความที่จารึกไว้  ศิลาจารึกหลักนี้นับเป็นจารึกหลักที่  ๑  เรียกว่า    ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำเเหงมหาราช
 ในสมัยรัชกาลที่   ๕   ประเทศตะวันตกได้ขยายอำนาจตามลัทธิจักรวรรดินิยมในเอเชียเเละดินแดนต่าง ๆ  ทั่วโลก  โดยเฉพาะฝรั่งเศสได้คุกคามอำนาจอธิปไตยของไทยอย่างรุนแรง  ทำให้พระมหากษัตริย์ของไทยเจ้านายไทย  และผู้สนใจศึกษาประวัติศาสตร์ไทยทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ  สนใจศึกษาประวัติความเป็นมาของชนชาติไทยอย่างกว้างขวาง  และนำวิธีการศึกษาแบบตะวันตกมาใช้
อย่างไรก็ตามปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปที่แน่นอนว่าถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่ที่ไหนแน่   แต่มีแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่  ๕   แนวคิด  ได้แก่
๑.แนวคิดถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่ในบริเวณตอนกลางของจีน
๒.แนวคิดชนชาติไทยเป็นเชื้อสายมองโกลถิ่นเดิมอยู่แถบภูเขาอัลไต
๓.แนวคิดถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่ในบริเวณตอนใต้ของจีน
๔.แนวคิดถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่ในคาบสมุทรมลายูและหมู่เกาะอินโดนีเซีย
๔.แนวคิดถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่ในประเทศไทยปัจจุบัน
เรื่องความเป็นมาของชนชาติไทย
พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๘๒๖ ประวัติศาสตร์ของไทยในเอเซียอาคเนย์ จึงได้เริ่มจดบันทึกเป็นหลักฐานแน่นอนโดยคนไทยมาแต่ยุคนั้น แม้ตำนานของไทยเผ่าต่าง ๆ จะกล่าวย้อนหลังไป ก่อนตั้งจุลศักราช (พ.ศ. ๑๑๘๒) บ้าง แต่ก็ไม่อาจยึดถือศักราชเป็นของแน่นอนได้ เรื่องราวของไทยเผ่าต่าง ๆ พอจะยึดเป็นหลักได้ก็ประมาณ พ.ศ. ๑๗๕๐ เป็นต้นมา ฉะนั้น เรื่องของชนชาติไทยก่อนหน้านั้น ยิ่งนานขึ้นไปเท่าใด ก็เป็นเรื่องสันนิษฐานมากยิ่งขึ้นไปตามลำดับ การเคลื่อนย้ายของชนชาติไทยมีหลายความเห็นเช่น
ความเห็นที่ ๑
ไทยอพยพจากเหนือลงใต้ มีความเห็นว่า ไทยอพยพจากภูเขาอัลไตในใจกลางทวีปเอเชียลงมายังน่านเจ้า แล้วอพยพต่อลงมายังประเทศไทย นักประวัติศาสตร์บางคนไม่เชื่อในความเห็นนี้
ความเห็นที่ ๒
ไทยพร้อมกับพวกฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอินโดนีเซียอพยพจากเส้นศูนย์สูตรขึ้นมาถึงประเทศไทย แล้วเลยต่อขึ้นไปถึงจีน เรื่องนื้มีทฤษฎีภาษาศาสตร์ของ เบเนดิกส์ สนับสนุนอยู่ เช่น คำว่าฟิลิปปินส์ ปะตาย แปลว่า ตาย อากู แปลว่า กู คาราบาวแปลว่า กระบือ เป็นต้น นักภาษาศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ วิธีการของเบเนดิกส์ เพราะนำภาษาปัจจุบันของฟิลิปปินส์มาเทียบกับไทย แทนที่จะสานคำกลับไปว่า เมื่อ ๑๒๐๐ ปีมาแล้ว คำไทยควรจะเป็นอย่างไร และคำฟิลิปปินส์ควรจะเป็นอย่างไร แล้วจึงนำมาเทียบกันได้
ความเห็นที่ ๓
ไทยอยู่ในประเทศไทยมาหลายพันปี และมีคนไทยกระจายอยู่ทั่วไปในอินเดีย พม่า จีน ไทย ลาว และ เวียดนาม บางคนถือว่าบ้านเชียงก็เป็นคนไทย แต่ยังไม่มีผู้ใดเคยพิสูจน์ว่า วัฒนธรรมของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านเชียงเหมือนกับวัฒนธรรม ของคนไทยในปัจจุบันเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ทรงอ้างความเห็นของกอร์แมนว่า โครงกระดูกคนบ้านเชียงคล้ายกับกระดูกมนุษย์ที่อยู่ตามมหาสมุทรแปซิฟิก อีกประการหนึ่ง จารึกในแหลมทองเป็นอักษรมอญ ภาษามอญมาจนถึงประมาณ พ.ศ.๑๗๓๐ ไม่เคยมีจารึกภาษาไทยเขียนด้วยอักษรใด ๆ ก่อนจารึก พ่อขุนรามคำแหงมหาราชเลย
ความเห็นที่ ๔
ปัจจุบันนักภาษาศาสตร์และ นักประวัติศาสตร์ นานาชาติส่วนใหญ่สนับสนุนความเห็นของศาสตราจารย์ เก็ดนีย์ว่า ถิ่นกำเนิดของภาษาไทยอาจจะอยู่ตามเส้นเขตแดนระหว่างมณฑลกวางสีของจีนกับ เมืองแถง หรือเดียนเบียนฟูในเวียดนาม หรือไม่ก็อยู่ ข้างบนหรือข้างล่างใกล้เส้นแบ่งเขตแดนนี้ ศาสตราจารย์เก็ดนีย์อาศัยทฤษฎีว่า ภาษาเกิดที่ใด จะมีภาษาท้องถิ่นมากหลายชนิดเกิดขึ้นแถบบริเวณนั้น เพราะอยู่มานานจนแตกต่างกันออกไป พวกจ้วงที่อยู่ในกวางสีห่างกันเพียง ๒๐ กิโลเมตร ยังพูดกันไม่รู้เรื่อง แต่ภาษาถิ่นต่าง ๆ ของลาว ไทยและพม่า ไม่ค่อยแตกต่างกัน  ยังฟังกันรู้เรื่อง ภาษาอังกฤษในเกาะอังกฤษมีภาษาถิ่นมากมาย แต่ในสหรัฐอเมริกาพูดกันเข้าใจทั้งทวีป
งานค้นคว้าเรื่องชนชาติไทย
เรื่องความเป็นมาของชนชาติไทย ในสมัยโบราณนั้น  เท่าที่ทราบกันส่วนมากยังเป็นตำนานเก่าแก่หรือนิยายปรำปรา  เล่าสืบต่อกันมา ไม่ใคร่มีหลักฐานแน่ชัด เช่นกล่าวว่าคนไทยเคลื่อนย้ายลงมาจากดินแดนจีนตอนใต้ คือ จากมณฑลฮุนหนำ กุยจิ๋ว และกวางไส ส่วนที่เป็นมาก่อนหน้านั้นยังไม่กระจ่าง เนื่องจากไทยเราไม่มีบันทึกเรื่องราวดังกล่าวไว้  ซึ่งอาจจะไม่มีมาแต่เดิม  หรือเคยมีแต่ได้สูญหายไปหมด อย่างไรก็ตามได้มีชาวยุโรปหลายชาติ ได้ทำการค้นคว้า เรื่องชนชาติไทยโบราณไว้เป็นหลักฐาน และจากจดหมายเหตุของจีนก็ได้กล่าวถึงเรื่องชนชาติไทยอยู่มาก ซึ่งยังไม่ได้นำมาเปิดเผยให้แพร่หลาย
            งานค้นคว้าเรื่องชนชาติไทยอาจทำได้ ๒ วิธี  วิธีหนึ่ง ใช้วิธีเดินทางท่องเที่ยวไปในหมู่ชนชาติไทย ที่ยังคงมีถิ่นฐานกระจัดกระจายอยู่ในประเทศจีนตอนใต้ ตังเกี๋ย ลาว พม่า และอินเดีย ทำการสอบสวนค้นคว้า ทางภาษา บ้านเรือน การแต่งกาย ความเป็นอยู่ อาหารการกิน อาชีพ ขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปกรรม และอื่น ๆ วิธีนี้ต้องลงทุนลงแรง และใช้เวลามาก วิธีนี้ได้มีชาวยุโรป และชาวไทยบางท่านได้ทำไว้แล้ว เช่น หมอวิลเลียมคลิฟตัน ดอดด์ ซึ่งเป็นหมอสอนศาสนาชาวอเมริกัน ได้ใช้เวลาถึง ๒๕ ปี เดินทางท่องเที่ยวไปพำนักอยู่กับคนไทยในถิ่นประเทศต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่ศาสนาคริสต์ และใช้โอกาสนั้นศึกษาค้นคว้าเรื่องชนชาติไทยไปด้วย และได้เขียนเอกสารเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างยากที่จะผู้ใดเสมอเหมือนได้
            นอกจากนี้ ยังมีชาวอังกฤษและชาวฝรั่งเศส ซึ่งมามีเมืองขึ้นอยู่ในดินแดนที่ชนชาติไทยมีถิ่นฐานกระจายกันอยู่อย่างกว้างขวาง ได้ค้นคว้าศึกษาเกี่ยวกับชนชาติไทยไว้ไม่น้อย  ประกอบกับเอกสารวรรณคดีโบราณของจีนก็มีเรื่องของไทยเรา แทรกอยู่ใช้เป็นเครื่องช่วยอย่างสำคัญ สำหรับนักค้นคว้าในรุ่นหลังต่อมา สำหรับคนไทยเราเองมีนักวิชาการบางท่าน ได้ออกสำรวจถิ่นฐานของชนชาติไทยในดินแดนเหนือประเทศไทย
ปัจจุบันเข้าไปจนถึงดินแดนจีนทางตอนใต้ และได้ประมวลเรื่องที่ได้พบเห็นไว้ในหนังสือเรื่อง กาเลหม่านไต (ท่องเที่ยวไปยังบ้านคนไทย) ซึ่งเป็นข้อมูลค่อนข้างใหม่กว่าข้อมูลที่ชาวตะวันตกทั้งหลาย ได้ค้นคว้าเอาไว้ เป็นข้อมูลประมาณหลังสงครามมหาเอเซียบูรพาสิ้นสุดลงใหม่ ๆ ซึ่งก็สอดคล้องกับที่ชาวตะวันตกหลายชาติที่เขียนเอาไว้ก่อนหน้านั้น
            จากการค้นคว้าดังกล่าว ทำให้ได้ความรู้อันแน่ชัดว่า ไทยเราเป็นเชื้อชาติที่สำคัญยิ่งมาแต่โบราณกาล มีอารยธรรม มีความรู้ทางการปกครอง และมีสิ่งดีหลายอย่างมาพร้อมกับชาติโบราณทั้งหลาย บรรดาผู้ทำการค้นคว้าชาวตะวันตกหลายชาติทั้ง อังกฤษ ฝรั่งเศส และ อเมริกา ต่างยืนยันว่า ชนชาติไทยเจริญมารุ่นราวคราวเดียวกันกับชาติโบราณอื่น ๆ เช่น  คาลเดีย และบาบิโลน และว่าชนชาติไทยเป็นพี่ชายของชนชาติจีน เช่น หนังสือที่หมอดอดต์แต่งชื่อ The Tai Race มีชื่อเพิ่มเติมว่า Elder brother of the chinese
            ชาวตะวันตกรู้จักประเทศไทยมาช้านาน ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา มีหนังสือตำนานพิมพ์ออกมาแพร่หลาย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาษาฝรั่งเศส ตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้าหลุยที่ ๑๔  ต่อมาเมื่ออังกฤษ และฝรั่งเศสมาได้เมืองขึ้นในดินแดนเอเซียตะวันออก  อังกฤษก็ได้พบคนไทยใหญ่ และไทยอาหมที่พูดภาษาไทย  ฝรั่งเศสพบลาวและชนชาติไทยในภาคเหนือของตังเกี๋ย ซึ่งพูดภาษาไทย และมีรูปร่างลักษณะเป็นคนไทย นอกจากนั้นเข้าไปในมณฑลยูนนาน และกวางสีของจีน ก็ได้พบคนที่พูดภาษาไทยอีกเป็นจำนวนมาก
            หมอวิลเลียมคลิฟตัน ดอดด์ ซึ่งเป็นมิชชันนารีสอนคริสตศาสนาอยู่ทางเชียงใหม่  ได้เรียนรู้ภาษาไทยเหนือใช้การได้ดี ได้เขียนไว้ว่า  เขาสามารถเดินทางไปในมณฑลต่าง ๆ ทางภาคใต้ของจีนโดยไม่มีล่ามเลย  คงใช้ภาษาลาวของไทยภาคเหนือเท่านั้น  พบว่าภาษาลาวนั้นใช้ได้ทั่วไป แม้ดินแดนทางตะวันตกสุดของมณฑลยูนนาน เมื่อลองประมวลคำพูด สองพันคำ ก็ได้พบเพียง ๑ ใน ๑๔ คำเท่านั้น ที่แตกต่างกับภาษาพูดทางเชียงใหม่ และถ้าไปทางภาคตะวันออกของยูนนาน ก็จะได้พบ ๑ ใน ๘ คำที่ผิดไป ส่วนในมณฑลชานสีจะมีผิดกันมากขึ้นไปเล็กน้อย คือ ๑ ใน ๖ คำ
            จากจดหมายเหตุของจีนได้เขียนไว้ว่า พวกที่มาตั้งอาณาจักรน่านเจ้านั้น เป็นพวกตระกูลมุง พวกเดียวกับพวก มุง ลุง ปา แคว้นต่าง ๆ ในอาณาจักรน่านเจ้า เริ่มต้นพยางค์ต้นว่าต้า จึงทำให้เข้าใจได้ต่อไปว่า พวกที่มาตั้งอาณาจักรน่านเจ้าเป็นพวกต้ามุง และได้พบต่อไปอีกว่า คำว่า "ต้า" นั้น ในภาษายูนนานหมายความว่า "ใหญ่" คำนี้เมื่อเป็นภาษากวางตุ้งกลายเป็น "ไต" ซึ่งก็แปลว่าใหญ่อีกเช่นกัน
            จากเอกสารตำนานจึนได้พบว่าในรัชสมัย พระเจ้ายู้ ของจีน ซึ่งเริ่มรัชสมัย เมื่อ ๑๖๖๕ ปี ก่อนพุทธศักราช หรือประมาณกว่าสี่พันปีมาแล้ว ได้มีการสำรวจเขตแดนจีน ปรากฎว่าทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลเสฉวนปัจจุบัน เขตแดนจีนในครั้งนั้น ไปจดอาณาเขตของอาณาจักรใหญ่อาณาจักรหนึ่ง ซึ่งชื่อว่าต้ามุง ซึ่งแน่ชัดว่าพวกต้ามุงเป็นพวกเดียวกับพวกที่มาตั้ง อาณาจักรน่านเจ้า เมื่อปี พ.ศ. ๑๑๗๒
            จากผลการค้นคว้าพบว่า หมู่ชนที่เชื่อกันว่าเป็นชนชาติไทยนั้น ได้ตั้งถิ่นฐานเป็นรัฐอยู่แว่นแคว้นอยู่ในประเทศจีนแล้ว ก่อนที่จีนจะอพยพลงมา เนื่องจากประวัติศาสตร์ของจีนเริ่มต้นที่พระเจ้าวั่งตี่ เมื่อ ๒๐๙๔ ปี ก่อนพุทธศักราชนั้นจีนยังอยู่ทางทะเลแคสเบี้ยน หรืออยู่ระหว่างการเคลื่อนย้ายมุ่งสู่ตะวันออก ยังไม่ได้ตั้งอาณาจักรลงในดินแดนที่เป็นประเทศจีนเวลานี้  ประวัติศาสตร์ที่ขงจื้อ เขียนเอง เริ่มต้นที่พระเจ้าเย้า เมื่อ ๑๘๑๔ ปี ก่อนพุทธศักราช ก็ยังเป็นระยะเวลาที่อาณาจักรจีนยังไม่ได้ตั้งถิ่นฐานมั่นคง  การสำรวจดินแดนซึ่งกระทำในรัชสมัย พระเจ้ายู้ เมื่อประมาณ ๑๕๐ ปี หลังจากนั้น
            เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. ๒๔๓๑  มีรายงานของผู้แทนกงสุลอังกฤษ ประจำเมืองจุงกิง ประเทศจีน ได้ทำรายงานเสนอรัฐสภาอังกฤษ มีความตอนหนึ่งว่า แม้ในเวลานี้ เก้าในสิบของพลเมืองของเมืองนานกิง (อยู่ในมณฑลกวางสีใกล้แคว้นตังเกี๋ย) เป็นคนไทย ไม่มีผู้หญิงคนใดในหมู่ชนพวกนี้ที่จะพูดภาษาจีนได้  ชาวโลโล้เป็นแต่พวกคนพเนจรเข้ามาปะปนอยู่ในหมู่คนไทย หัวหน้าปกครองเขตแขวงส่วนมากที่สุดในกวางสีเป็นคนไทย ตั้งแต่ปองไกลงไปถึงนานนิงฟู พลเมืองเป็นไทยทั้งหมด พูดภาษาของตนเอง และส่วนมากที่สุดปกครองโดยหัวหน้าที่สืบสาย
เรื่องเกี่ยวกับชนชาติไทย
            บรรดานักค้นคว้าเรื่องชนชาติไทย ได้พยายามอธิบายเรื่องชนชาติไทยไว้เป็นอันมาก พอประมวลได้ดังนึ้
            พันโทมอริส อาบาดี ชาวฝรั่งเศส อธิบายว่า กลุ่มเชื้อชาติของกลุ่มคนที่เรียกชื่อว่าไทย เป็นกลุ่มสำคัญที่สุดในบรรดาหมู่ชนทั้งหลายที่ได้พบในประเทศจีนตอนใต้ และในอินโดจีนทั้งหมด  เป็นกลุ่มทึ่รวมหมู่มากมายหลายประเภท แต่มีลักษณะสำคัญที่เหมือนกันในทางภาษา ขนบประเพณี และจารีต
            นายดอชเรน ชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นสมาชิกราชบัณฑิตสภาอังกฤษ เกี่ยวกับทวีปอาเซีย ให้คำอธิบายว่าเชื้อชาติไทย แบ่งแยกเรียกชื่อตามหมู่เหล่าหลายชื่อ แต่เป็นเชื้อชาติเดียวกัน ได้ยึดครองพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลว่าคนเชื้อชาติอื่นๆ ในแหลมอินโดจีน ในอัสสัมซึ่งเรียกว่าอาหม ตลอดแนวเขตแดนระหว่างพม่ากับจีน แบ่งแยกเป็นหลายพวก และบางพวกก็เป็นอิสระอย่างครึ่ง ๆ เรียกชื่อตามที่พม่าเรียกว่าฉาน ชนเชื้อชาติเดียวกันนี้ได้แผ่ออกไปทางใต้ใช้ชื่อว่า ลาว ยึดครองพื้นที่ระหว่าง แม่น้ำสาละวินกับ แม่น้ำโขงใต้ลงไปอีก ที่รู้จักกันมากที่สุด และเป็นสาขาเชื้อชาติที่มีอารยธรรมสูงที่สุด คือไทยสยาม ซึ่งได้ตั้งอาณาจักรที่มีอำนาจอยู่ทางฝั่งทะเล
            นายเอเตียน เอโมนิเอร์ ชาวฝรั่งเศส เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ได้เขียนไว้ในหนังสือเรื่องประเทศกัมพูชา พิมพ์ออกเผยแพร่ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๓ มีความว่าครอบครัวเชื้อชาติใหญ่ ซึ่งเรียกว่าไทย ที่แปลกันว่าเสรีชน ประกอบด้วยหมู่ชนมากมายหลายสาขา มีความสัมพันธ์อย่างเครือญาติใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางภาษา หมู่ใหญ่ของชนชาติดังกล่าวนี้มี ฉาน ลาว หรือ ลาวเฉียง ผู้ไท และชาวสยาม เมื่อก่อนคริสตศักราช ชนเชื้อชาตินี้ได้มีถิ่นฐานอยู่ในที่ราบสูงยูนนาน หรือธิเบตตะวันออก ต่อมาได้เคลื่อนย้ายลงมาตามทางลาดเอียงของลำน้ำ เข้ายึดครองลุ่มน้ำหลายแห่งในประเทศจีนตอนใต้ และได้แผ่ลงมาทางใต้เหมือนน้ำไหลอย่างแรง ครอบคลุมที่ราบในแหลมอินโดจีนเกือบทั้งหมด และได้ขับไล่พวกชาวป่าชาวดอยเจ้าของถิ่นเดิมให้เข้าไปอยู่ในป่าดง และภูเขาแล้ว ชนชาติไทยก็เข้าครอบครองดินแดนโดยเหลือแต่ที่ที่ยื่นออกตามชายฝั่งทะเล ไว้ให้แก่ชนชาติอื่นที่เจริญแล้วคือ ญวน จามปา เขมร มลายู มอญ และพม่า
            ศาสตราจารย์ แตริอัง เดอลาคุเปอรี  ชาวอังกฤษ ได้ตรวจสอบภาษาพูดที่ทางจีนสมัยโบราณรวบรวมไว้ พบว่าคำพูดของหมู่ชนที่จีนเรียกว่าคนป่าในสมัยโบราณนั้น  แยกออกได้เป็นสองสาขา คือบางคำตรงกับภาษาไทย บางคำตรงกับภาษามอญและญวน เมื่อลองตรวจนับดูก็พบว่าในบรรดาคำ ๑๙ คำ จะเป็นภาษาไทย ๑๒ คำ เป็นภาษามอญและญวน และมีอยู่มากคำที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ด้วยเหตุนี้ ศาสตราจารย์ คุเปอรีจึงถือว่า หมู่ชนที่ชาวจีนเรียกว่าคนป่านั้นต้องเป็นพันธุ์ๆ หนึ่ง ซึ่งเขาเขาชื่อว่าพันธุ์ "มอญไทย" โดยที่พันธุ์มอญได้เคลื่อนลงมาทางใต้ก่อนพันธุ์ไทย และมากลายเป็น มอญ เขมร ญวน ในปัจจุบัน
            สำหรับเจ้าตำราทางฝรั่งเศส ได้อธิบายไว้ว่ามอญกับเขมรเป็นสาขาเดียวกัน เรียกว่ามอญขะแมร์ ถือเป็นมอญแท้พวกหนึ่ง และเป็นขะแมร์อีกพวกหนึ่ง ชนชาติอื่นๆที่นับเข้าเป็นสาขามอญขะแมร์ได้แก่ ปะหล่อง ว้า ยาง นายดอชเรนได้เขียนไว้ว่าพันธุ์มอญ เป็นเชื้อชาติแรกที่อพยพจากแดนจีนลงมาทางใต้
            พันตรี เดวิด ชาวอังกฤษ ได้เขียนเรื่องไทยในยูนนานไว้ว่า คนจีนในยูนนานกล่าวว่า ชาวกวางตุ้งนั้นเป็นเชื้อชาติฉาน (ไทยใหญ่) ดวงหน้าของชาวจีนทางใต้กับพวกฉานเหมือนกันมาก อาจเป็นไปได้ว่าในสมัยหนึ่งพวกฉาน ได้ครองครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในประเทศจีนทางด้านทิศใต้ ของแม่น้ำยังจื้อ แต่ส่วนมากถูกจีนกลืนไป
            เซอร์ ยอร์ช สก๊อต ชาวอังกฤษ ผู้เขียนประวัติศาสตร์พม่า ได้เขียนความตอนหนึ่งว่า เชื้อชาติไทยเป็นเชื้อชาติแผ่ไพศาลที่สุดในแหลมอินโดจีน  ชาวอาหมในแคว้นอัสสัมเป็นฉาน  ชาวฮักก้าในกวางตุ้งเป็นพวกที่ไปจากฉาน อาจจะเป็นไปได้ว่า เชื้อชาติไทยประกอบเป็นส่วนใหญ่ในสี่มณฑลของจีน
            หมอวิลเลียมคลิฟตัน ดอดต์ ได้อ้างคำของนายเจไมซัน กงสุลให้อังกฤษประจำเมืองแดนตอน (กวางตุ้ง) เมื่อ ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๕๐ ว่าพลเมืองในมณฑลกวางสี และกวางตุ้งทั้งหมดเป็นชนเชื้อชาติไทยทั้งในทางเชื้อชาติและทางภาษา
            เรเวอเรนต์ เบอร์กวอล นักบวชชาวอังกฤษ กล่าวว่าชาวไทยในมณฑลกวางสี ตามอำเภอชนบทมากหลาย ปกครองโดยหัวหน้าของเขาเอง ที่สืบเชื้อสายต่อกันมา ไม่พูดภาษาจีน และถือพวกถือหมู่ ถึงขั้นไม่ยินดีรับอารยธรรมจีน
            หมอวิลเลียมคลิฟตัน ดอดด์ ผู้แต่งหนังสือเรื่องเชื้อชาติไทย เขียนไว้ว่ามีข้อที่จะอ้างอิงได้เป็นอันมากว่า ในปัจจุบันนี้ชาวจีนซึ่งถือว่าหมู่ที่อยู่รอบข้างตน เป็นคนป่า ชั้นต่ำกว่าตนนั้น มีเลือดไทยอยู่ในสายเลือดของตนเป็นอันมาก และยังมีเลือดของพวกโลโล้ ยูง ยาง กะเหรี่ยง เต็ก แม้ว เย้า ไปจนถึงพวกมอญ - ขะแมร์ด้วย พวกเหล่านี้เป็นชาวใต้ เป็นตัวแทนของชาติโบราณที่เคลื่อนที่มาเรื่อย ๆ จากทางเหนือ เมื่อประมวลความเห็นเหล่านี้เข้าด้วยกัน จะเห็นได้ว่าธาตุสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้เกิดชาติจีนในปัจจุบันคือ ชนชาติใหญ่ ชื่อว่า อ้ายลาว ต่อมาภายหลังเรียกว่าไทย พม่าเรียกว่า ฉาน ซึ่งอยู่ในประเทศจีนมาก่อน เก่ากว่าชาวจีน
            แม่น้ำฮวงโห และ แม่น้ำแยงซีเกียง  ได้แบ่งประเทศจีนออกเป็น ๓ ตอน ตอนเหนือคือพื้นที่ทางด้านเหนือแม่น้ำฮวงโหขึ้นไป ตอนกลางคือพื้นที่ระหว่างแม่น้ำทั้งสองนึ้ และตอนใต้คือพื้นที่ทางด้านทิศใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียงลงมา
            ทางเดินของชนชาติจีนตามประวัติศาสตร์นั้น จีนลงมาจากทางเหนือ และเพิ่งมาตั้งอาณาจักรแท้จริงเท่าที่เราทราบ เมื่อมาถึงแม่น้ำฮวงโห และอยู่ในพื้นที่ตอนบนเหนือแม่น้ำสายนี้  ในระยะเวลานั้นยังไม่พบกับไทย ในระยะต่อมาก็เคลื่อนที่ข้ามแม่น้ำฮวงโหเข้ามาสู่พื้นที่ตอนกลาง และได้พบกับไทยในพื้นที่ตรงนี้ จากนั้นจีนก็ได้เปลี่ยนแนวทางเคลื่อนย้าย คือแทนที่จะเคลื่อนที่เรื่อย ๆ ลงมาทางใต้ตามทิศทางที่เคยเคลื่อนที่มาก่อน ก็กลับวกไปทางด้านทิศตะวันออก  จีนใช้เวลาถึงหนึ่งพันปีในการเคลื่อนที่สู่ทิศตะวันออกเรื่อยไปจนกระทั่งถึงทะเลเหลื อง  ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้เป็นข้อสนับสนุนว่า อาณาจักรไทยที่จีนมาพบนั้น ต้องเป็นอาณาจักรที่มั่นคงแข็งแรง สามารถเป็นทำนบกั้นการเคลื่อนที่ของจีนลงทางใต้ได้ยาวนานถึงหนึ่งพันปี ภายหลังเมื่อจีนขยายตัวไปถึงทะเลเหลืองแล้ว จึงได้กลับมากดดันลงทางใต้ และกว่าจะแผ่ขยายไปถึงฝั่งทะเลทางตอนใต้ก็ต้องใช้เวลาอีกประมาณหนึ่งพันปีเช่นกัน&nb sp; ประวัติศาสตร์จีนที่ขงจื้อเขียน ไม่มีข้อความตอนใดกล่าวถึงดินแดนทางตอนใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียงลงไป แสดงว่าในสมัยนั้น จีนยังไม่รู้จักดินแดนตอนใต้
            มีอาณาจักรอยู่หลายอาณาจักรที่จีนเรียกว่าคนป่า แต่เป็นอาณาจักรที่ปกครองตนเอง โดยมีความสัมพันธ์กับจีน มีอาณาจักรอีกสองอาณาจักรที่น่าสนใจ นอกจากที่ได้กล่าวมาแล้ว คือ
            อาณาจักรปัง  อยู่ทางทิศเหนือของมณฑลเสฉวนและ ฮูเป คือ อยู่ในพื้นที่ตอนกลางระหว่างแม่น้ำ ฮวงโห กับแม่น้ำ แยงซีเกียง ในตำนานของจีนกล่าวว่า อาณาจักรนี้ได้ถูกรวมเข้ากับจีน เมื่อ ๗๖๗ ก่อนพุทธศักราช และตำนานจีนยังกล่าวไว้ว่า อาณาจักรนี้ได้ตั้งเป็นอิสระมาก่อนแล้ว ๗๖๗ ปี แสดงว่าอาณาจักรนี้ตั้งมาตั้งแต่ ๑๔๕๔ ปี ก่อนพุทธศักราช  ขงจื้อเมื่อเขียนถึงชนชาตินี้ จะใช้คำว่า "ปังโบราณ"  อาณาจักรปังเป็นอาณาจักรใหญ่มีหมู่บ้านถึง แปดหมื่นหมู่บ้าน เมื่อรวมกับจีนแล้วก็ยังคงใช้ประมุขคนพื้นเมืองปกครองกันเอง ต่อมาภายหลังได้รับการยกย่องให้อยู่ในฐานะกษัตริย์ จีนเรียกเมืองแสนหวีที่อยู่ในรัฐไทยใหญ่ปัจจุบันว่ามูปัง คำว่าปังอาจจะออกเสียงเป็นปอง ปง หรือพงได้นั้น ยังเหลือซากอยู่ในหมู่ชนชาติไทย ชื่อเมืองของชนชาติไทยบางแห่งยังมีชื่อว่า เมืองพง ชาวไทยใหญ่บางพวกยังเรียกตัวเองว่าไทยปอง หรือไทยพง
            อาณาจักรจู  ทางไทยอาจจะเรียกว่า ฌ้อ เป็นอีกรัฐหนึ่งที่รวมเข้ากับจีน ภายหลังจากที่ได้ต่อสู้กันอยู่ช้านาน นับว่าเป็นรัฐใหญ่ที่สุดในบรรดารัฐคนป่าทั้งหลาย  เขตแดนทางเหนือจดครึ่งของพื้นที่ตอนกลาง ระหว่างแม่น้ำฮวงโหกับแม่น้ำแยงซีเกียง ทางด้านทิศตะวันออกได้ทอดยาวไปตามลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง จากหลักฐานของจีน ชาวชุงเชียสืบสายมาจากชาวจู และหมอวิลเลียม คลิฟตัน ดอดด์ ได้พบชาวชุงเชีย และพูดกันรู้เรื่องด้วยภาษาไทย
            ศาสตราจารย์ ลาคุเปอรี ได้พบจดหมายเหตุจีนกล่าวถึงชนชาติไทยเป็นครั้งแรก ในรัชสมัย พระเจ้ายู้ของจีน เมื่อ ๑๖๕๔ ปี ก่อนพุทธศักราช ชนชาติไทยได้ถูกระบุไว้ในรายงานการสำรวจภูมิประเทศของจีนในครั้งนั้น แต่จดหมายเหตุจีนเรียกชนชาติไทยว่า"มุง" และบางแห่งเรียก "ต้ามุง" คือมุงใหญ่ ถิ่นที่อยู่ของชนชาติไทยดังกล่าวนี้ อยู่ในเขตมณฑลเสฉวนของจีนในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ในพื้นที่จีนกลางค่อนไปทางตะวันตก
            มีจดหมายเหตุของจีน กล่าวถึงชนชาติไทย ได้เรียกชื่อไทยเป็นสองพวก คือ "ลุง" กับ "ปา" อาจจะเป็นได้ว่าทิวเขากุยลุง ได้ชื่อมาจากไทยพวกที่จีนเรียกว่าลุง คำว่ากุย เป็นคำไทย แปลว่าเขา นอกจากนั้น ยังมีชนชาติไทยอีกพวกหนึ่ง อยู่ในพื้นที่ระหว่างมณฑล โฮนาน ฮูเป และอันฮุย แล้วได้ขยายตัวออกไปถึงทิวเขากุยลุงทางด้านทิศตะวันตก เราก็จะได้พบชนชาติไทยที่เรียกชื่อว่า มุง ลุง ปา ปัง และลาว บนฝั่งซ้ายของแม่น้ำแยงซีเกียง ครอบครองดินแดนตั้งแต่มณฑลเสฉวนภาคตะวันตก ต่อเนื่องทางด้านตะวันออก จนเกือบถึงทะเล และย้อนขึ้นไปทางเขตมณฑลเกียงสู ทิวภูเขาลาวในแถบนี้ ก็อาจจะได้ชื่อมาจากพวกไทย ที่เรียกตัวเองว่าลาวนี้เอง
หลักฐานที่ใช้ในการศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์

หลักฐานที่ใช้ในการศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ แบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ
1. หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ หลักฐานที่เป็นตัวหนังสือ เช่น บันทึกพงศาวดาร จดหมายเหตุต่างๆ อาจปรากฏบนแผ่นใบลาน กระดาษ หรือวัสดุอื่นๆ
2. หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ วัตถุ เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ หรือสิ่งก่อสร้างต่างๆ เช่น ภาชนะ ถ้วยชาม รูปปั้น โครงกระดูกมนุษย์  โบสถ์ วิหาร เป็นต้น

อ้างอิงจาก http://www.sksrt.ac.th/webschool/studnetwork/songkom/B21.htm

แนวคิดเรื่องถิ่นกำเนิดของชนชาติไทย

1.   แนวคิดที่เชื่อว่าชนชาติไทยอยู่บริเวณเทือกเขาอัลไตหรือเอเชียกลาง เชื่อว่าคนไทยสืบเชื้อสายมองโกล เป็นความเชื่อของ ด.ร วิลเลียมดอดด์ หมอสอนศาสนาชาวอเมริกัน และขุนจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) ซึ่งศึกษาค้นค้วาและเขียนหนังสือชื่อ หลักไทย เนื่องจากเขตนี้หนาวเย็นและทุรกันดารมาก ปัจจุบันเชื่อแนวคิดนี้น้อยลงมาก
2.   แนวคิดที่เชื่ออว่าถิ่นกำเนิดของไทยอยู่ในบรเวณมณฑลเสฉวน (ตอนกลางของจีน) เป็นความเชื่อของ ศาสตราจารย์แตร์รีออง เดอ ลา คูเปอรี แห่งมหาวิทยาลัย

ลอนดอน และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมยานุภาพ ซึ่งนิเรื่องพงศาวดารสยาม เมื่อคนไทยถูกจีนรุกรานจึงอพยพมาอยู่ที่ยูนนาน สิบสองจุไทย และอพยพมาตอนล่าง
3.   แนวคิดที่เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของไทยอยู่ทางตอนใต้ของจีน ปัจจุบัน คือ บริเวณมณฑลยุนนานของจีน ตอนเหนือของเวียดนาม รัฐฉานของพม่าและรัฐอัสสัมของอินเดีย เรียกว่าไทยใหญ่,ไทยน้อยเป็นความเชื่อของชาวอังกฤษชื่อ อาร์ชิบัล โคลฮูนและศาสตราจารย์ขจร สุขพานิชซึ่งได้ศึกษาค้นคว้าเสนอข้อคิดที่ว่าน่าจะอยู่แถบมณฑลกวางตุ้กวางสีของจีนซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของจีนนั่นเองแนวความคิดนี้เป็นที่ยอมรับกว้างขวางในปัจจุบัน
4. แนวคิดที่เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของไทยอยู่ในแหลมมลายูและหมู่เกาะอินโดนีเซีย   เป็นความเชื่อของกล่มนักวิชาการแพทย์ ของไทย แพทย์สมศักดิ์ สุวรรณสมบูรณ์ และนายแพทย์ประเวศ วะสีโดยพบกลุ่มเลือด ยีน และเฮโมโกลบิน อี ของไทย เหมือนคนที่เกาะชวา และเป็นความเชื่อของ พอล เบเนดิกต์ นักภาษาศาสตร์และมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน เชื่อว่าคนไทยสืบเชื้อสายเดียวกับคนอินโดนีเซียและมลายู และภาษาไทยเป็นตระกูลออสโตรเนเชียน
5. แนวคิดที่เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของไทยอยู่ในบริเวณประเทศไทยปัจจุบันนี่เอง        คือ สุวรรณภูมิคาบสมุทรอินโดจีน ตลอดแหลมมลายู เป็นความเชื่อของศาสตราจารย์ นายแพทย์สุด แสงวิเชียร และศาสตราจารย์ ชิน อยู่ดี โดยการขุดพบหลักฐานทางโบราณคดี เครื่องปั้นดินเผา เครื่องใช้เครื่องประดับ และโครงกระดูกมนุษย์ที่สองฝั่งแม่น้ำแควน้อย และแควใหญ่ จังหวัดกาญจนบุรี และที่ตำบลบ้านเชียง อำเภอ หนองหาน จังหวัด อุดรธานี          หลักฐานต่าง ๆ เหล่านี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป ยังต้องศึกษาค้นคว้าหาหลักฐานสืบต่อไปอีก

อ้างอิงจาก http://www.sksrt.ac.th/webschool/studnetwork/songkom/B21.htm

การตั้งถิ่นฐานของชนชาติไทย
      มีความเข้าใจมาช้านานแล้วว่าในบริเวณที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน เคยมีชื่อเรียกว่า "สุวรรณภูมิ" ตามความเข้าใจของชาวอินเดียที่เดินทางเข้ามาติดต่อค้า
ขายแถบนี้ แต่ปัญหาที่มักเป็นคำถามอยู่เสมอในการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยก็คือ ดินแดนสุวรรณภูมิเป็นของชนชาติใด ชนชาติไทยมาจากไหนมาจากตอนใต้ของจีน หรือมีพัฒนาการมาจากดินแดนในประเทศไทยในปัจจุบัน ปัญหาเหล่านี้มักจะเป็นข้อสงสัยในประวัติศาสตร์ไทยอยู่ตลอดเวลา
      ในการศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์นั้น ในปัจจุบันนักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีได้แบ่งช่วงสมัยของประวัติศาสตร์ออกอย่างกว้าง ๆ เป็น 2 สมัย ลายลักษณ์อักษรเป็นสำคัญ คือ สมัยก่อนประวัติศาสตร์คือช่วงระยะเวลาตั้งแต่มนุษย์ถือกำเนิดขึ้นมาและดำรงชีพโดยยึดถือหลักฐานที่เป็นตามธรรมชาติเช่นเดียวกับ สัตว์โลกอื่นๆต่อมามนุษย์บางกลุ่มสามารถปรับชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นโดยการนำเอาทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ไฟ น้ำ หิน โลหะ ไม้ เป็นต้น มาใช้ประโยชน์ สร้างสมความเจริญและถ่ายทอดสู่คนรุ่นหลัง จนสามารถพัฒนาเป็นสังคมเมือง การเรียนรู้เรื่องราวในยุคนี้ได้จากหลักฐานทางโบราณคดี เช่น โครงกระดูก เครื่องมือเครื่องใช้ และภาพศิลปะถ้ำต่าง ๆ สมัยประวัติศาสตร์ หมายถึง สมัยที่มีการประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้บันทึกบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ทำให้การศึกษาประวัติศาสตร ์ในช่วงยุคสมัยนี้ชัดเจนมากขึ้นโดยอาศัยหลักฐานทางโบราณคดีสนับสนุน ช่วงสมัยนี้สามารถแบ่งย่อยได้ เช่น การตั้งเมืองหลวง การเปลี่ยนราชวงศ์ เป็นต้น

หลักฐานที่ใช้ในการศึกษาเรื่องราวของชนชาติไทย
      การศึกษาเกี่ยวกับความเป็นมาของชนชาติไทยนั้น เราศึกษาได้จาก...
- หลักฐานที่เป็นลายลักษณอักษรเป็น ห์ลักฐานที่ปรากฏเป็นตัวอักษรบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับคนไทยในสมัยโบราณไว้ อาจจะปรากฏอยู่ตามฐานเจดีย์ กำแพงโบสถ ผนังถ้ำ แผ่นไม้ ใบลาน สมุดข่อย เช่น จารึกสุโขทัย จารึกมอญ เป็นต้น
- หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น โครงกระดูกมนุษย์ พระพุทธรูป ร่องรอย

การตั้งถิ่นฐานของชุมชนเป็นต้น นอกจากนี้การศึกษาประวัติศาสตร์อาจแบ่งหลักฐานได้อีก 2 ประเภท ดังนี้

- หลักฐานชั้นต้นหรือปฐมภูมิ หมายถึง บันทึกหรือคำบอกเล่าของผู้พบเห็นเหตุการณ์หรือผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ หรือผู้ร่วมสมัยกับเหตุการณ์ เช่น
บันทึก จดหมายเหตุ เป็นต้น
- หลักฐานชั้นรองหรือทุติยภูมิ หมายถึง ผลงานการค้นคว้าที่เขียนขึ้นหรือเรียบเรียงขึ้นภายหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นแล้ว โดยอาศัยหลักฐานชั้นต้นและเพิ่มเติมด้วย
ความคิดเห็น คำวินิจฉัย ตลอดจนเหตุผลอื่น ๆ ประกอบ เช่น พงศาวดาร ตำนาน คำให้การ เป็นต้น
      สำหรับการศึกษาเรื่องราวของชนชาติไทยนั้น นอกจากจะใช้หลักฐานต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว ยังจะต้องอาศัยหลักฐาน การวิเคราะห์ ประเมินคุณค่า การตีความ จากนักวิชาการในหลายสาขาวิชาด้วยกัน เช่น นักมานุษยวิทยา นักโบราณคดี นักภาษาศาสตร์ นักภูมิศาสตร์ นักสังคมวิทยา นักวิทยาศาสตร์ เป็นต้นเพื่อให้ข้อมูล ตรงกับความเป็นจริงให้มากที่สุด

แนวความคิดเกี่ยวกับคนไทยมาจากไหน
      การศึกษาเกี่ยวกับที่มาของชนชาติไทยยังคงเป็นประเด็นถกเถียงกันอยู่และหาข้อยุติแน่นอนไม่ได้ แต่ข้อสันนิษฐานหรือแนวคิดต่าง ๆ ที่มีหลักฐานน่าเชื่อถือมีผล ให้การศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชนชาติไทยมีความชัดเจนมากขึ้น สรุปได้เป็น 5 แนวทาง ดังนี้
     1. แนวคิดที่เชื่อว่าชนชาติไทยอยู่บริเวณเอเชียกลาง
     แนวคิดนี้เกิดขึ้นหลัง พ.ศ. 2450 เป็นต้นมา โดยนักประวัติศาสตร์ในช่วงนั้นต่างมีความเชื่อกันว่าแหล่งกำเนิดอารยธรรมของโลกมีจุดกำเนิดอยู่ทางแถบ เอเชียกลางใกล้ทะเลแคสเปียน ก่อนที่กระจายไปยังทิศทางต่าง ๆ ดร.วิลเลียม คลิฟตัน ดอดหมอสอนศาสนาชาวอเมริกันได้นำความเชื่อนี้ไปกล่าวไว้ในงานเขียน เกี่ยวกับชนชาติไทยของเขาว่าพวกมุงซึ่งเชื่อกันว่าเป็นบรรพบุรุษของคนไทยได้อพยพโยกย้ายถิ่นฐานมาจากถิ่นกำเนิดของตนในเอเชียกลางมายังชายแดนด้าน ตะวันตกของจีน
      ขุนวิจิตรมาตรา ( สง่า กาญจนาคพันธ์ ) ได้แสดงความคิดเห็นไว้ในหนังสือหลักไท ( พ.ศ. 2471 ) เชื่อว่าแหล่งกำเนิดของชนชาติไทยอยู่บริเวณเทือกเขา ิอัลไตของเอเชียกลาง ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของพวกมองโกลด้วยกัน ภายหลังจึงได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานแถบบริเวณลุ่มแม่น้ำเหลือง และแม่น้ำแยงซีต่อมาเมื่อถูกรุกราน จึงค่อย ๆ อพยพลงมาสู่สุวรรณภูมิต่อมาภายหลัง เมื่อมีการศึกษาทางด้านโบราณคดีและด้านภูมิศาสตร์ ทำให้แนว ความคิดนี้ไม่ได้รับการยอมรับอีกต่อไปเพราะทาง แถบบริเวณเทือกเขาอัลไตของเอเชียกลางนั้นเป็นเขตแห้งแล้ง อากาศมีความหนาวเย็น และถ้าอพยพโยกย้ายลงมาก็ต้องผ่านทะเลทรายที่กว้างใหญ่และทุรกันดารมาก จึงไม่เหมาะสำหรับจะเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์
      2. แนวคิดที่เชื่อว่าชนชาติไทยอยู่บริเวณมณฑลเสฉวน
      เทเรียน เดอ ลา คูเปอรี ศาสตราจารย์ชาวฝรั่งเศส เจ้าของแนวความคิดที่เชื่อว่าความเป็น มาของคนไทยอยู่บริเวณมณฑลเสฉวนของจีนได้แสดงความ เห็นไว้ว่า คนเชื้อชาติไทยตั้งถิ่นฐานเป็นอาณาจักรอยู่ในดินแดนจีนมาก่อน เมื่อประมาณ 2,208 ปีก่อนคริสตกาล ชนชาติ " ไท"ได้ถูกระบุไว้ในรายงานสำรวจ ภูมิประเทศจีนในสมัยพระเจ้ายู้ จีนเรียกชนชาติไทยว่า "มุง" หรือ "ต้ามุง" ถิ่นที่อยู่ของคนไทยซึ่งปรากฏในจดหมายเหตุจีนนี้อยู่ในเขตที่เป็นมณฑลเสฉวนปัจจุบัน      สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเสนอความเห็นไว้ว่า คนไทยน่าจะอยู่แถบดินแดนทิเบตต่อกับจีน ( มณฑลเสฉวนปัจจุบัน ) ราว พ.ศ. 500 ถูกจีนรุกรานจึงอพยพมาอยู่ที่ยูนนานทางตอนใต้ของจีน แล้วกระจายไปตั้งถิ่นฐานบริเวณเงี้ยว ฉาน สิบสองจุไท ล้านนา ล้านช้าง
     หลวงวิจิตรวาทการ ได้กล่าวถึงถิ่นกำเนิดของคนไทยไว้ว่า คนไทยมีถิ่นกำเนิดอยู่ในดินแดนซึ่งเป็นมณฑลเสฉวน ฮูเป อันฮุย และเกียงซีตอนกลางของ ประเทศจีนปัจจุบัน ก่อนที่จีนจะอพยพเข้ามา แล้วค่อย ๆ อพยพสู่มณฑลยูนนาน และแหลมอินโดจีนต่อมาภายหลังเมื่อมีการศึกษาค้นคว้าทางด้านมานุษยวิทยาและ ภาษาศาสตร์รวมทั้งการตรวจสอบหลักฐานจดหมายเหตุของจีนเป็นจำนวนมาก ปรากฏว่าสมมติฐานดังกล่าวไม่น่าจะเป็นไปได้ทำให้แนวความคิดที่ว่าคนไทยมี ีถิ่นฐานเดิมอยู่บริเวณมณฑลเสฉวนของจีน ไม่ได้รับการยอมรับอีกต่อไป

     3. แนวคิดที่เชื่อว่าชนชาติไทยอยู่บริเวณทางใต้ของจีน และทางตอนเหนือของภาคพื้น  เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดจนบริเวณรัฐอัสสัมของอินเดีย
     อาร์ซิบอล อาร์ โคลฮูน นักสำรวจชาวอังกฤษ ได้เขียนรายงานการสำรวจที่ปรากฏอยู่ ในหนังสือชื่อ ไครเซ ซึ่งตีพิมพ์ในประเทศอังกฤษเมื่อ พ.ศ. 2428 ได้พบคนเชื้อชาติไทยในบริเวณภาคใต้ของจีนตั้งแต่กวางตุ้งไปจนถึงมัณฑะเลย์ในพม่า วูลแฟรม อีเบอร์ฮาด นักสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา ชาวเยอรมันได้กล่าวว่า เผ่าไทยอยู่บริเวณมณฑลกวางตุ้ง ต่อมาชนเผ่าไทยได้อพยพเข้าสู่ยูนานและดินแดนในอ่าวตังเกี๋ย และได้มาสร้างอาณาจักรเทียนหรือแถน ที่ยูนนานซึ่งตรงกับสมัย ราชวงศ์ฮั่นของจีน เมื่อถึงสมัยราชวงศ์ถังเผ่าไทยก็สถาปนาอาณาจักรน่านเจ้าขึ้นที่ยูนนาน
     วิลเลียม เจ. เก็ตนีย์ นักภาษาศาสตร์ชาวอเมริกันผู้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับภาษาไทยในเวียดนามตอนเหนือ ลาว และจีนตอนใต้ ได้เสนอความเห็นไว้เมื่อ
พ.ศ. 2508 ว่า ถิ่นกำเนิดของภาษาไทยมิได้อยู่ทางมณฑลยูนนาน แต่อยู่ที่มณฑลทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีนแถวเส้นเขตแดนระหว่างมณฑลกวางสีของจีนกับ เมืองเดียนเบียนฟูของเวียดนามตอนเหนือ
     เฟรเดอริค โมต ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์จีนได้ให้ทัศนะไว้นบทความที่เขียนขึ้นใน พ.ศ. 2507 ว่า หลักฐานประวัติศาสตร์จีนแม้จะไม่ระบุไว้อย่างชัดเจน เกี่ยวกับกำเนิดของชนชาติไทยว่าอยู่บริเวณใด แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของจีนใด ๆ ที่จะคัดค้านสมมติฐานที่ว่าถิ่นกำเนิดของชนชาติไทย อยู่ในบริเวณตอนใต้ของจีนและบริเวณต่อเนื่องกับเขตแดนของเวียดนาม
     เจมส์ อาร์ แชมเบอร์เลน นักภาษาศาสตร์ กล่าวว่า "ถิ่นกำเนิดเริ่มแรกของชนชาติไทยนั้นน่าจะอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลเหนือปากแม่น้ำแยงซีตอนล่างเพราะเป็น วิถีชีวิตของกลุ่มคนที่พูดภาษาไทยที่เพราะปลูกข้าวนาลุ่มมาแต่แรก ข้อมูลเกี่ยวกับคำศัพท์ของกล้าข้าว ประเภทต่าง ๆในภาษาไทยสะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มคนที่พูดภาษา ไทยอาจเป็นคนกลุ่มแรกที่รู้จักเพาะปลูกข้าวนาลุ่ม
     พอล เบเนดิกต์์ นักภาษาศาสตร์และมนุษยวิทยาชาวอเมริกันได้เสนอว่า ถิ่นกำเนิดของกลุ่มคนที่พูดภาษาไทยนั้นอยู่บริเวณทางตอนใต้ของจีน
      ศาสตราจารย์ขจร สุขพานิช กล่าวว่าคนไทยมีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนใต้ของจีนแถบมณฑลกวางตุ้ง กวางสี ต่อมาประมาณ 1,000 ปีก่อนคริสตกาล ชนเผ่าไทยจึงได้อพยพมาทางตะวันตก ตั้งแต่มณฑลเสฉวน เมืองเชียงตู ลงล่างเรื่อยมาจนเข้าเขตยูนนาน และลงมาทางใต้ผ่านสิบสองจุไทลงสู่ประเทศลาว
     จิตร ภูมิศักดิ์ เสนอทัศนะไว้ว่า คนเผ่าไทยอาศัยอยู่กระจัดกระจายในบริเวณทางตอนใต้ของจีน และบริเวณภาคเหนือของไทย ลาว เขมร พม่า และรัฐอัสสัมของอินเดีย แนวความเชื่อนี้เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง เนื่องจากมีหลักฐานในสาขาวิชาการต่าง ๆ ทั้งทางด้านภาษาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ โบราณคดี มานุษยวิทยา และอื่น ๆ มาสนับสนุนเป็นจำนวนมาก
    4. แนวความคิดที่เชื่อว่าชนชาติไทยตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณพื้นที่ที่เป็นประเทศไทยใน ปัจจุบัน
     คอริช เวลส์ เป็นนักวิชาการตะวันตกคนแรกที่เสนอสมมติฐานว่า ถิ่นเดิมของชนชาติไทย อยู่บริเวณประเทศไทยปัจจุบัน โดยอาศัยหลักฐานจากกะโหลกศรีษะ ที่ขุดได้จากตำบลพงตึก จังหวัดกาญจนบุรีที่มีอายุราวต้นคริสต์ศตวรรษ ซึ่งเวลส์เห็นว่ามีลักษณะใกล้เคียงกับกระโหลกศรีษะของคนไทยปัจจุบัน นายแพทย์สุด แสงวิเชียร ได้ทำการศึกษาโครงกระดูกมนุษย์ยุคหินใหม่ 37 โครง ซึ่งพบบริเวณสองฝั่งแม่น้ำแควน้อยและแควใหญ่ จังหวัดกาญจนบุรี พบว่าโครงกระดูกของ มนุษย์หินใหม่เหมือนกับโครงกระดูกของคนไทยปัจจุบันเกือบทุกอย่าง จึงสรุปว่าดินแดนไทยเมื่อครั้งอดีตน่าจะเป็นที่อยู่อาศัยของบรรพบุรุษของคนไทยปัจจุบัน มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์แล้ว
     ศาสตราจารย์ชิน อยู่ดี ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโบราณคดี ได้เสนอว่า มีร่องรอยของผู้คนอาศัยอยู่ตั้งแต่ยุคหินเก่าเรื่อยมาจนกระทั่งยุคหินกลาง หินใหม่ ยุคโลหะ และเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์ โดยแต่ละยุคได้มีการสืบเนื่องทางวัฒนธรรมสืบต่อมาจนถึงปัจจุบันด้วย แนวความคิดนี้มีนักวิชาการหลายท่านพยายามนำหลักฐานทาง ด้านโบราณคดีและเอกสารมาพิสูจน์ให้เห็นจริงว่าคนไทยน่าจะอยู่บริเวณนี้มาก่อน โดยไม่ได้อพยพมาจากดินแดนอื่นที่อยู่ห่างไกลออกไป ซึ่งแนวความคิดนี้ในปัจจุบัน ยังไม่ถือว่าเป็นข้อยุติ
     5. แนวความคิดที่เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของชนชาติไทยอยู่บริเวณคาบสมุทรอินโดจีนหรือ คาบสมุทรมลายูบริเวณหมู่เกาะชวา
     นายแพทย์สมศักดิ์ พันธุ์สมบุญ ได้ทำวิจัยทางด้านพันธุศาสตร์เกี่ยวกับหมู่เลือดลักษณะของ จำนวนยีน พบว่าหมู่เลือดของคนไทยคล้ายคลึงกับชาวเกาะชวา ที่อยู่ทางใต้มากกว่าคนจีนซึ่งอยู่ทางเหนือ รวมทั้งลักษณะและจำนวนของยีนระหว่างคนไทยกับคนจีนก็ไม่เหมือนกันด้วย
     ดร.ถาวร วัชราภัย ได้ทำวิจัยกลุ่มเลือดที่ทันสมัย สรุปได้ว่าไทยดำและผู้ไทยมีลักษณะเลือดใกล้เคียงกับชาวจีน แต่ไม่ใกล้เคียงกับชาวมาเลย์ แต่ชาวมาเลย์มี ลักษณะเลือดใกล้เคียงกับชาวเขมร ขากรรไกรและฟันก็ได้ผลเช่นเดียวกัน ศาสตราจารย์ นายแพทย์ประเวศ วะสี ได้ทำผลงานการวิจัยเรื่องฮีโมโกลบิน อี พบว่า ฮีโมโกลบิน อี มีมากในผู้คนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ ไทย ลาว เขมร พม่า มอญ และอื่น ๆ คนจีนเกือบไม่มีอยู่เลย แต่ปัจจุบันนี้ได้เลิกใช้ฮีโมโกลบิน อี เป็นเครื่องพิสูจน์ว่ากลุ่มใดมีบรรพบุรุษร่วมกับกลุ่มใด เพราะมีการพิสูจน์ได้ว่าดินแดนที่มีฮีโมโกลบิน อี มาก คือดินแดนที่มีไข้มาลาเรียมาก แนวความคิดนี้ปัจจุบัน ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใดและยังไม่เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางนัก

 อ้างอิงจากhttp://www.chaiwbi.com/0drem/web_children/2547/475102/03-1.html

รูปภาพของ silavacharee

Kiss

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ใหญ่ใจดี
 

 ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ 
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ 
ไม่ถูกปิดเสียก่อน

ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 
มีผลบังคับใช้แล้ว 
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

 

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 324 คน กำลังออนไลน์