ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในสมัยรัชกาลที่ 4 ตอนความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนสมัยใหม่
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในสมัยรัชกาลที่ 4 ตอนความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนสมัยใหม่
หลังจากที่ไทยได้ยกเลิก “การส่งบรรณาการเพื่อการค้า” กับจีนในสมัยรัชกาลที่ 4 แห่งรัตนโกสินทร์ พ.ศ. 2396 การติดต่ออย่างเป็นทางการระหว่างไทยกับจีนก็ได้ยุติลง แต่การค้าขายและการติดต่อในระดับประชาชนยังคงดำเนินต่อ มีคนจีนอพยพมาประกอบอาชีพในประเทศไทยมากขึ้น ทั้งนี้เพราะในประเทศจีนเอง จักรพรรดิแมนจูของราชวงศ์ชิงอ่อนแอ ทำสงครามแพ้อังกฤษและฝรั่งเศสและมหาอำนาจตะวันตกอื่น ๆ อีกทั้งต้องปราบปรามกบฏภายในหลายครั้ง เกิดสภาพข้าวยากหมากแพงในจีนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคใต้ ชาวจีนจึงหาทางอพยพไปหางานนอกประเทศ อีกทั้งการคมนาคมขนส่งระหว่างประเทศไทยกับเมืองท่าของจีนตอนใต้ได้พัฒนาขึ้น มีเรือกลไฟของบริษัท Bangkok Passenger Steamer Company แล่นรับส่งผู้โดยสารเป็นประจำระหว่างเมืองซัวเถาและเมืองท่าอื่น ๆ ทางตอนใต้ของจีนกับกรุงเทพตั้งแต่ พ.ศ. 2429 ทำให้คนจีนอพยพมาอยู่เมืองไทยมากขึ้น
ชุมชนจีนโพ้นทะเลในสยามหรือประเทศไทยนั้นมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ทั้งนี้เพราะชาวจีนได้อพยพหลบหนีความแร้นแค้น ตลอดจนความอดอยากหิวโหยและภยันตรายต่าง ๆ จากอำเภอชานโถว (ซัวเถา) เฉาโจว (แต้จิ๋ว) โผ่วเล้ง และเท่งไฮ้ในมณฑลกว่างตง มาแสวงหาความสงบสันติและความอุดมสมบูรณ์ของลุ่มน้ำเจ้าพระยาในประเทศไทย ด้วยเสื่อผืนเดียวและหมอนหนึ่งใบ ชาวจีนอพยพเหล่านี้ละทิ้งครอบครัวรวมทั้งภรรยาและบุตรมาแสวงหาโชคและชีวิต ที่ดีกว่า หลายคนประสบความสำเร็จจากความอุตสาหพยายามและอดทน จากแรงงานขนข้าวสารมาเป็นหัวหน้าคนงานและเจ้าของโรงสีในบั้นปลาย หรือจากพ่อค้าหาบเร่มาขายของในร้านชำเล็ก ๆ และกลายมาเป็นเจ้าของห้างที่นำสินค้าจากต่างประเทศ บางคนแต่งงานกับผู้หญิงไทย แต่ก็รับภรรยาและลูก ๆ จากหมู่บ้านในจีนให้มาอยู่ด้วยกันในครอบครัวที่กรุงเทพฯ ชาวจีนอพยพเหล่านี้มักได้รับการอุปถัมภ์จากคนจีนอพยพรุ่นก่อน ๆ ที่มีสกุลเดียวกัน หรือมาจากหมู่บ้านอำเภอเดียวกันในจีน ความอุปถัมภ์ช่วยเหลือทั้งในด้านการงานและการเงิน ทำให้ชาวจีนอพยพสามารถหลุดพ้นจากความยากจนและสร้างฐานะได้ในเวลาไม่นาน หลายคนส่งเงินกลับไปช่วยเหลือญาติพี่น้องในประเทศจีน และติดตามข่าวสารทั้งทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองจีน
ความอ่อนแอของราชวงศ์ชิงภายใต้จักรพรรดิชาวแมนจูและความอัปยศจากความพ่ายแพ้ ในสงครามกับจักรวรรดินิยมตะวันตก ทำให้ชาวจีนโพ้นทะเลในที่ต่าง ๆ เห็นว่าต้องเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในจีน ดร. ซุนยัตเซน เป็น ผู้เรียกร้องให้โค่นล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชภายใต้ราชาวงศ์ชิง และสถาปนาสาธารณรัฐจีนที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ดร. ซุนยัตเซนได้เดินทางมายังชุมชนจีนโพ้นทะเลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และยุโรป เพื่อเผยแพร่ความคิด แสวงหาการสนับสนุน ดร. ซุนยัตเซน ได้เดินทางมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศไทย 4 ครั้ง
ประมาณเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2446 ในปลายสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ดร. ซุนยัตเซนได้เดินทางจากเวียดนามมาถึงกรุงเทพฯ นับเป็นการเดินทางมายังประเทศไทยครั้งแรก ดร. ซุนยัตเซน ได้พบผู้นำจีนโพ้นทะเลในประเทศไทย เช่น เซียวฝอเฉิง และเฉินยี่หรู เพื่อแลกเปลี่ยนทัศนะและเผยแพร่แนวคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองใน จีน ต่อมาในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2446 ดร.ซุนยัตเซน ได้ออกเดินทางจากกรุงเทพฯไปญี่ปุ่น
อีกสองปีต่อมาในวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2448 ดร.ซุนยัตเซน ได้ก่อตั้งสมาคมปฏิวัติ “ถงหมิงฮุ่ย” ที่ประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ เพื่อเป็นฐานในการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในจีน โดยประกาศหลักการ “ไตรประชา” คือ ประชาชาติ (หมิงจู่) ประชาสิทธิ (หมินฉวน) และประชาชีพ (หมินเซิง) และได้เดินทางไปจัดตั้ง “ถงหมิงฮุ่ย” ในชุมชนจีนโพ้นทะเลในเวียดนามและที่อื่น ๆ ต่อมาราวต้นปี พ.ศ. 2449 ดร. ซุนยัตเซน ได้เดินทางมายังประเทศไทยเป็นครั้งที่ 2 และพำนักกับ “หลินเหวินอิง” ชาวจีนโพ้นทะเลในไทย เพื่อพบปะกับผู้นำชาวจีนโพ้นทะเลในไทย รวมทั้งนายเซียวฝอเฉิง (เซียวฮุดเสง สีบุญเรือง) ขอความสนับสนุนต่อการปฏิวัติต่อการเปลี่ยนแปลงในจีน และได้ก่อตั้ง “ถงหมิงฮุ่ย” สาขาสยามด้วย โดยมี เซียวฝอเฉิง (เซียว ฮุดเสง สีบุญเรือง) เป็นหัวหน้าสาขา
ราวต้นปี พ.ศ. 2451 ดร. ซุนยัตเซน ได้เดินทางมายังประเทศไทยเป็นครั้งที่ 3 เพื่อรวบรวมเงินสนับสนุนเพื่อไปทำการปฏิวัติ และออกเดินทางต่อไปยังเวียดนาม สิงคโปร์ ปีนัง ต่อมาในวันที่ 20 พฤศจิกายน ดร. ซุนยัตเซน ได้เดินทางจากสิงคโปร์เข้ามายังประเทศไทยเป็นครั้งที่ 4 และได้รับการต้อนรับจากสมาชิกถงหมินฮุ่ยอย่างอบอุ่น ดร. ซุนยัตเซน ได้แสดงปาฐกถาเพื่อแสวงหาการสนับสนุนในซอยแห่งหนึ่งย่านเยาวราชข้าง ๆ โรงภาพยนตร์ศรีราชวงศ์ ในเวลาต่อมา คนจีนโพ้นทะเลในไทยขนานนามซอยดังกล่าวว่า “ซอยปาฐกถา” หลังจากพำนักในไทยนาน 24 วัน ดร. ซุนยัตเซน ได้ออกจากประเทศไทยเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2451
ชาวจีนโพ้นทะเลในประเทศไทยได้รวบรวมเงินบริจาคส่งไปให้ ดร. ซุนยัตเซน เพื่อทำการปฏิวัติเป็นจำนวนเงินหลายพันหลายหมื่นหยวน กระแสชาตินิยมในหมู่ชาวจีนโพ้นทะเลได้ทวีความเข้มข้น ทางการของไทยค่อนข้างกังวลต่อบทบาททางการเมืองของจีนโพ้นทะเล จึงพยายามกดดันและจำกัดบทบาทของ ดร. ซุนยัตเซน ต่อมาใน พ.ศ. 2452 รัฐบาลราชวงศ์แมนจูของจีนได้ออกกฎหมายสัญชาติฉบับแรกขึ้นเพื่อให้ชาวจีนถือ สัญชาติตามสายเลือด โดยไม่คำนึงถึงสถานที่เกิดหรือสัญชาติอื่น นโยบายดังกล่าวได้ทำให้ชาวจีนโพ้นทะเลมีความรู้สึกชาตินิยมมากขึ้นและพยายาม รักษาเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่มของตนเอง โดยการแยกตัวออกมาอยู่เฉพาะกลุ่ม อีกทั้งตั้งสมาคมการค้าและโรงเรียนสอนภาษาจีน ตลอดจนหนังสือพิมพ์ภาษาจีนขึ้นในไทย
ความรู้สึกชาตินิยอมที่รุนแรงได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนไทยกับคนจีนใน ประเทศไทยเริ่มตึงเครียด คนไทยไม่พอใจและต่อต้านการที่คนจีนติดธงก๊กหมินตั่ง หรือติดรูป ดร. ซุนยัตเซน ไว้ตามบ้านเรือนและร้านค้า เพราะไม่ปรารถนาให้คนชาติอื่นรวมทั้งคนจีนแสดงว่ามีอิทธิพลเหนือดินแดนไทย เมื่อคนจีนพากันนัดหยุดงานและธุรกิจการค้าในปลายรัชกาลที่ 5 ระหว่างวันที่ 1 – 3 มิถุนายน 2453 เพื่อประท้วงการที่รัฐบาลออกกฎหมายเพิ่มค่าภาษีรัชชูปการคนต่างด้าว ก็ยิ่งทำให้ความตึงเครียดในความรู้สึกระหว่างคนไทยและคนจีนทวียิ่งขึ้น
ในปี พ.ศ. 2454 หรือ ค.ศ. 1911 ได้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในจีน นั่นคือ การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ภายใต้ราชวงศ์ ชิงของแมนจู มาเป็นการปกครองในระบอบสาธารณรัฐ ซึ่งนำโดย ดร. ซุนยัตเซน และต่อมาได้กลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกของ “จีนใหม่” หรือ สาธารณรัฐจีน แนวคิดชาตินิยมตามหลักการ “ไตรประชา” (ซานหมินจู่อี้) ของ ดร. ซุนยัตเซน ได้แพร่หลายเข้ามาสู่ชาวจีนโพ้นทะเลในดินแดนต่าง ๆ รวมทั้งประเทศไทย ก๊กหมินตั่งได้รับการจัดตั้งขึ้นมาแทนถงหมินฮุ่ย และเผยแพร่ความคิดประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐในหมู่ชาวจีนโพ้นทะเลในประเทศไทย หลังการสิ้นพระชนม์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหา กษัตริย์องค์ที่ 6 แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์ทรงเป็นนักชาตินิยมและทรงตระหนักว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทยส่วนใหญ่อยู่ในมือของคนจีน อีกทั้งคนจีนยังเพิ่มการเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งอาจไม่เป็นผลดีต่อไทยได้ พระองค์จึงพยายามปลุกความรักชาติภาคภูมิในชาติและความเป็นไทยในพระราชนิพนธ์ ต่าง ๆ ของพระองค์ เช่น เรื่องเมืองไทยจงตื่นเถิด พวกยิวแห่งบูรพาทิศและโคลนติดล้อ
นอกจากนั้นพระองค์ยังได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ ที่ค่อนข้างเข้มงวดต่อคนจีน เช่น ตราพระราชบัญญัติแปลงชาติ ร.ศ. 130 (พ.ศ. 2454) พระราชบัญญัติเนรเทศ ร.ศ. 131 (พ.ศ. 2455) ซึ่งให้อำนาจแก่รัฐบาลในการเนรเทศคนต่างด้าวที่เป็นภัยต่อบ้านเมือง และพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2456 เป็นต้นต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์ใน พ.ศ. 2458 ความตึงเครียดระหว่างคนไทยและคนจีนก็ลดลง อีกทั้งพระองค์ทรงมีพระประสงค์ให้มีการผสมกลมกลืนระหว่างคนไทยและจีนตาม ธรรมชาติมากกว่าการบีบบังคับด้วยกฎหมาย การแต่งงานระหว่างคนไทยและคนจีนจึงมีมากขึ้น มีการผสมกลมกลืนมากขึ้น ซึ่งช่วยลดความตึงเครียดระหว่างกัน คนไทยเชื้อสายจีนในรุ่นที่ 2 และ 3 เริ่มมีจำนวนมากกว่าจีนโพ้นทะเลที่อพยพมาจากประเทศจีน
เมื่อประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขใน พ.ศ. 2475 รัฐบาลสาธารณรัฐจีนที่นานกิงได้พยายามติดต่อเพื่อสถาปนาความสัมพันธ์ทางการ ทูต ได้มีการเจรจาหลายครั้งแต่ไม่อาจตกลงกันได้ ด้วยไทยเกรงว่ารัฐบาลจีนอาจแทรกแซงกิจการภายในของไทย โดยอาศัยชาวจีนโพ้นทะเลในไทยซึ่งมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจอยู่ค่อนข้างมากในขณะ นั้น ดังนั้น ไทยกับสาธารณรัฐจีนจึงมิได้มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกัน จนกระทั่งจีนถูกญี่ปุ่นรุกรานใน พ.ศ. 2480
ความขัดแย้งภายในแผ่นดินใหญ่จีนก็ส่งผลกระทบต่อชาวจีนโพ้นทะเลในประเทศไทย การต่อสู้แย่งชิงอำนาจทางการเมืองระหว่างจีนก๊กหมินตั่ง (จีนชาตินิยม หรือ จีนคณะชาติ) ซึ่งตั้งรัฐบาลที่นานกิง โดยมีเจียงไคเชคเป็นประธานาธิบดี กับจีนกุงฉานตั่ง หรือพรรคคอมมิวนิสต์จีนภายใต้การนำของเหมาเจ๋อตง มีการแข่งขันกันขยายอิทธิพลในหมู่ชาวจีนโพ้นทะเล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงเรียนที่สอนภาษาจีน รัฐบาลไทยได้ติดตามการเปลี่ยนแปลงในชุมชนจีนโพ้นทะเลในประเทศไทยอย่างใกล้ ชิด ต่อมาเมื่อจีนถูกญี่ปุ่นรุกราน ใน พ.ศ. 2480 จีนโพ้นทะเลในไทยได้มีบทบาทสำคัญในการต่อต้านญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อญี่ปุ่นยึดครองประเทศไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตั้งแต่ พ.ศ. 2484 จนถึง พ.ศ. 2488 ในขณะเดียวกัน “ขบวนการเสรีไทย” ซึ่งเป็นขบวนการใต้ดินภายใต้การนำของนายปรีดี พนมยงค์ ก็ต่อต้านการยึดครองของญี่ปุ่น
สร้างโดย นายเจนณรงค์ หงษ์ศรี เลขที่34 ชั้นม.6/1 โรงเรียนศีลาจารพิพัฒน์
ที่มา http://www.thaizhong.org/thaizhong/index.php/relathaichina-m/167-special...
ดีใจจังที่เพื่อนทำให้แล้วผ่าน แบ่งคะแนนให้
เกษวรางค์ ด้วยถ้าจะดีนะจ๊ะ