สังคมไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
ในปีพุทธศักราช 2475 ในช่วงที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ขึ้นครองราชย์นั้น สังคมไทยได้ก้าวสู่ความเป็นอารยะตามแบบตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเจริญที่ปรากฏอยู่ในรูปของวัตถุไม่ว่าจะเป็นถนนหนทาง รถไฟ ไฟฟ้า ประปา เขื่อนชลประทาน โรงพยาบาล ระบบการสื่อสารคมนาคม ที่ทำการรัฐบาล ห้างร้าน และตึกรามบ้านช่อง ตลอดจนเครื่องใช้อันทันสมัย อันมีเจ้านายและชนชั้นสูงเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ส่วนชาวบ้านสามัญชนเป็นผู้ตาม นอกจากนั้นยังมีการเปลี่ยนแปลงในขนบธรรมเนียมบางอย่างเพื่อให้สอดคล้องกับการปกครองระบบใหม่ ทั้งนี้เพราะรัฐบาลต้องติดต่อกับชาติอื่น ๆ ทั่วโลก จึงต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมไทยให้เป็นสากลและสอดคล้องกับความเป็นไปของโลก แต่ให้คงเอกลักษณ์ของความเป็นไทยไว้ที่เด่นชัดในสมัยนั้นก็คือเรื่องการแต่งกายในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ( พ.ศ. 2481-2487 ) ได้มีบัญญัติเรียกว่า รัฐนิยม ซึ่งเป็นการปลุกระดมอย่างรุนแรง ซึ่งแสดงนโยบายของประเทศว่าต้องการให้ประชาชนคนไทยรักหวงแหนและภูมิใจในความเป็นไทย เช่น ให้ข้าราชการแต่งเครื่องแบบตามที่กำหนด ห้ามสวมกางเกงแพร ให้ทักทายกันด้วยคำว่า สวัสดี เป็นหลักเพราะถือว่าเป็นคำที่ดี ไพเราะ และมีความหมายอันเป็นมงคล
การปกครองระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของไทย ได้ดำรงอยู่จนถึง ปีพุทธศักราช 2475 จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงมาสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตย กล่าวคือ ในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 มีข้าราชการทหารและพลเรือนกลุ่มหนึ่ง ได้แก่การปฏิวัติขึ้น โดยทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาสู่ระบบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
กรมไปรษณีย์โทรเลขได้เปิดบริการโทรคมนาคมชนิดใหม่หลายบริการ เช่น บริการรับโฆษณาประกาศการค้าขายการทำมาหากินในเชิงการค้า อุตสาหกรรมและวิชาชีพโดยทางวิทยุกระจายเสียง, บริการวิทยุโทรศัพท์ประชุม (Coference Conversation) ระหว่างไทย-เยอรมัน ในปี พ.ศ. 2477, บริการวิทยุโทรศัพท์กับประเทศญี่ปุ่น, บริการรับฝากวิทยุถึงและจากสถานีวิทยุเรือ, บริการโทรเลขด่วนพิเศษของโทรเลขรัฐบาล,บริการโทรเลขข่าวน้ำฝนของกรมอุตุนิยมวิทยาและบริการโทรพิมพ์สายตรง (Leased Telegraph Circuit Service) เป็นต้น
นอกจากนี้ยังได้มีการปรับปรุงระบบและมาตรฐานในการให้บริการ โดยมีการนำเอาเครื่องมืออุปกรณ์และเทคโนโลยีการสื่อสาร สมัยใหม่มาใช้อย่างกว้างขวาง เช่น จัดตั้งสถานีวิทยุการบินขึ้นที่จังหวัดนครราชสีมา อุดรธานีและ สุราษฎร์ธานี และจัดตั้งสถานีวิทยุการบินที่เกาะสมุย เป็นแห่งสุดท้าย ในปี พ.ศ. 2481 สั่งซื้อเครื่องชุมสายโทรศัพท์ต่อเอง (ระบบ Step by Step) จากประเทศอังกฤษ, เปลี่ยนแปลงวิธีการของวิทยุโทรศัพท์จากระบบสี่เส้น (Four-Wire System) มาเป็นระบบสองเส้น ( Two - Wire System )และในปี พ.ศ. 2478 ได้มีการนำเครื่องพรางเสียง(Secrecy Device) มาใช้รักษาความลับในการพูดโทรศัพท์
ในปีพ.ศ.2488รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้มีคำสั่งให้กรมไปรษณีย์โทรเลขเตรียมเครื่องส่งวิทยุกระจายเสียงไว้สำรองยามสงครามในกรณีที่เครื่องส่งวิทยุกระจายเสียง ของกรมโฆษณาการขัดข้องหรือถูกทำลายที่ตึกกรมไปรษณีย์โทรเลขเก่าหน้าวัดเลียบโดยทดลองส่งกระจายเสียง เป็นครั้งคราว ซึ่งเรียกชื่อสถานีว่า 1 ปณ.
ในปี พ.ศ. 2496มีเหตุการณ์ที่สำคัญยิ่งในวงการโทรคมนาคม ที่ควรจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ คือ นายสมาน บุญยรัตพันธ์ นายช่างกรม ไปรษณีย์โทรเลขคิดค้นเครื่องโทรพิมพ์ภาษาไทยสำเร็จ โดยติดตั้งกลไกระบบ Spacing Control Machanism โดยได้ดัดแปลงมาจากเครื่องโทรพิมพ์ อักษรโรมันและอักษรญี่ปุ่นโดยใช้ระบบ 6 ยูนิตและต่อมาในปีพ.ศ. 2497 ยังได้ประดิษฐ์เครื่องโทรพิมพ์แบบเดิมให้ทำงานได้ทั้งสองภาษา คือ อักษร ไทยและอักษรโรมันในเครื่องเดียวกัน ซึ่งเรียกว่า"เครื่องโทรพิมพ์ไทยแบบ S.P." ซึ่งในปีถัดมากรมไปรษณีย์โทรเลขได้รับรองเครื่องโทรพิมพ์ไทยแบบ S.P.นี้ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าลิขสิทธิ์ได้ตกไปเป็นของญี่ปุ่นดังนั้นต่อมากรมไปรษณีย์-โทรเลขจึงต้องสั่งสร้างเครื่องโทรพิมพ์ไทยแบบ S.P. จากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาใช้งานส่งโทรเลขโดยใช้สายโทรเลขแบบสายโถง (Open Wire Line) และทำงานผ่านสถานีทวนสัญญาณ(Repeater)ในระยะ 200-300 กม. ซึ่งต่อมาได้ขยายการรับ-ส่งโทรเลข โดยใช้เครื่องโทรพิมพ์ออกไปทั่วประเทศ
ในด้านการปรับปรุงส่วนราชการ และการตรากฎหมายใหม่ด้านการไปรษณีย์และโทรคมนาคมออกมาใช้บังคับแล้ว ช่วงระยะเวลาตั้งแต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาจนกระทั่งก่อนเริ่มดำเนินการตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติเป็นช่วงที่กรมไปรษณีย์โทรเลขมีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดระยะหนึ่ง กล่าวคือในด้าน กฎหมาย เช่น ได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายตลอดจนตรากฎหมายด้านการสื่อสารขึ้นมาใช้หลายฉบับ เช่น ตราพระราชบัญญัติไปรษณีย์ พ.ศ. 2477 ขึ้นใช้แทนพระราชกำหนดไปรษณีย์ร.ศ.116 ตราพระราชบัญญัติโทรเลขและโทรศัพท์ พ.ศ. 2477 ขึ้นใช้แทนกฎหมายโทรเลข จ.ศ.1246 ตราพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 ขึ้นใช้แทนพระราชบัญญัติวิทยุสื่อสาร พ.ศ. 2478 และมีการตราพระราชบัญญัติวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ. 2498 ออกมาใช้บังคับด้วย เป็นต้น
นอกจากนี้กรมไปรษณีย์โทรเลขยังได้ดำเนินการปรับปรุงส่วนราชการเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพการอีกหลายครั้ง เช่น ยกฐานะแผนกคลังออมสิน กองบัญชีขึ้นเป็นกองคลังออมสินและธนาณัติ ต่อมาได้แยกงานธนาณัติออกจากกองคลังออมสินไปสังกัดกองบัญชีตามเดิมและยุบเลิกกองไปรษณีย์โทรเลขภาค 1-5 มาขึ้นอยู่กับกองสื่อสาร ยกฐานะแผนกทะเบียนวิทยุและกระจายเสียงในกองช่างวิทยุขึ้นเป็นกองทะเบียนวิทยุ และกระจายเสียง ต่อมาในปี พ.ศ. 2488 กรมไปรษณีย์โทรเลข ได้ถูกโอนจากกระทรวงเศรษฐการไปสังกัดกระทรวงคมนาคมและได้รวมงานกองช่างโทรเลข และกองช่างโทรศัพท์เข้าเป็นกองเดียวกันเรียกว่า กองช่างโทรเลขและโทรศัพท์ เมื่อ พ.ศ. 2485
ในช่วงระยะเวลานี้ได้มีการแยกงานที่สำคัญๆ ออกไปจัดตั้งเป็นหน่วยอิสระหลายหน่วย และหลายครั้งด้วยกัน คือ
ได้มีการโอนงานวิทยุกระจายเสียงในประเทศ ของกองทะเบียน วิทยุและกระจายเสียงกรมไปรษณีย์โทรเลขไปขึ้นอยู่กับสำนักงานโฆษณาการ(ต่อมาคือกรมโฆษณาการ, หรือกรมประชาสัมพันธ์ในปัจจุบัน) เมื่อ วันที่ 1 เมษายน 2482
ได้มีการตราพระราชบัญญัติธนาคารออมสิน พ.ศ. 2489 ขึ้นใช้บังคับทำให้มีการโอนกิจการของกองคลังออมสินไปจัดตั้งเป็นธนาคาร ออมสินและเริ่มดำเนินการในเดือนมกราคม 2490
ได้โอนกิจการวิทยุการบินพลเรือน ซึ่งกรมไปรษณีย์โทรเลขได้ตั้งขึ้น และดำเนินการมาตลอดไป ให้กรมการขนส่งดำเนินการในปี พ.ศ. 2489 และต่อมากิจการวิทยุการบินพลเรือนได้แยกออกไปจัดตั้งเป็นบริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (2491)
ได้มีการตราพระราชบัญญัติองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2497 ขึ้นมีผลให้มีการโอนกิจการโทรศัพท์ในประเทศไปให้องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย โดยได้โอนงานโทรศัพท์ในเขตจังหวัดพระนครและธนบุรีไปก่อน สำหรับงานโทรศัพท์ส่วนภูมิภาค ยังคงอยู่ในความรับผิดชอบของกองช่างโทรเลขอยู่ ต่อมาในปีพ.ศ. 2504ได้โอนไปอยู่ในความรับผิดชอบขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยทั้งหมด
- ล็อกอิน เพื่อแสดงความคิดเห็น