เศรษฐกิจสมัยอยุธยาตอนปลาย

เศรษฐกิจไทยสมัยอยุธยา          

  อาณาจักรอยุธยาเป็นอาณาจักรไทยที่คนไทยทุกคนมีความภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ่และความเจริญรุ่งเรืองที่สร้างสมมายาวนานถึง  417  ปี วัฒนธรรมด้านต่าง ๆ มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง โดยเฉพาะทางด้านศิลปวัฒนธรรมแขนงต่าง ๆ  อันเกิดจากการผสมผสานระหว่างศิลปวัฒนธรรมดั้งเดิมของอยุธยาเอง กับศิลปวัฒนธรรมที่รับมาจากดินแดนอื่น ๆ  ทั้งจีน  อินเดีย  เขมร  และชาติตะวันตก  มาประยุกต์รวมกันเข้าจนกลายเป็นแบบอย่างศิลปวัฒนธรรมสมัยอยุธยาที่มีความงดงาม  เป็นแบบเฉพาะ  และได้เป็นมรดกส่วนหนึ่งที่ถ่ายทอดสืบต่อมายังอาณาจักรรุ่นหลัง ๆ    
           ลักษณะศิลปวัฒนธรรมไทยสมัยอยุธยามีดังนี้

       ศิลปกรรม  ประกอบด้วย  
               1.  สถาปัตยกรรม  ศิลปะการก่อสร้าง 
               2.  ประติมากรรม  ศิลปะการสร้างพระพุทะรูป 
               3.  จิตรกรรม  ศิลปะการวาดภาพ เขียนภาพ
               4.  ประณีตศิลป์  ศิลปะที่ใช้ความละเอียด เรียบร้อย สวยงาม
               5.  นาฏศิลป์   ศิลปะการแสดง

 1. สถาปัตยกรรม 
       นับตั้งแต่สมัยพระรามาธิบดีที่  1 (อู่ทอง) ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี  จนถึงแผ่นดินพระบรมไตรโลกนาถ  สถาปัตยกรรมนิยมสร้างแบบศิลปะลพบุรี หรืออู่ทอง  เช่น  พระปรางค์ที่วัดพุทไธศวรรย์  วัดพระราม  วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ  วัดราชบูรณะ
      ต่อมาภายหลังเมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเสด็จขึ้นไปเสวยราช ณ เมืองพิษณุโลก ได้รับแบบอย่างสถาปัตยกรรมศิลปะสุโขทัยเข้ามาด้วย โดยมักสร้างพระสถูปอันเป็นหลักของพระอาราม  เป็นเจดีย์แบบทรงลังกา มากกว่าการสร้างพระปรางค์อย่างตอนแรก  เช่น เจดีย์ใหญ่  3  องค์ ในวัดพระศรีสรรเพชญ  พระเจดีย์ใหญ่วัดชัยมงคล         ในสมัยพระเจ้าปราสาททองทรงปราบได้กัมพูชามาขึ้นกับกรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง จึงเกิดนิยมถ่ายแบบอย่างพระปรางค์และสถาปัตยกรรมของขอมมาสร้างในอยุธยา เช่น พระปรางค์ใหญ่ที่วัดไชยวัฒนาราม   และนิยมสร้างพระเจดีย์เหลี่ยมหรือเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองขึ้นด้วย  องค์ที่งดงามมาก เช่น ที่วัดชุมพลนิกายาราม                 ในสมัยพระนารายณ์มหาราชมีชาวฝรั่งเศสเข้ามารับราชการในกรุงศรีอยุธยาจึงมีการสร้างตำหนักและอาคาร 2 ชั้นที่ก่อด้วยอิฐ ซึ่งมีความมั่นคงและถาวรมากขึ้น  ต่างจากเดิมที่เคยใช้อิฐหรือศิลาเฉพาะการสร้างศาสนสถานเท่านั้น       ในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศจนถึงเสียกรุงศรีอยุธยา  พ.ศ.2310  การสร้างเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองยังเป็นที่นิยมกัน เช่น เจดีย์วัดภูเขาทอง  
        โบสถ์วิหารสมัยอยุธยาตอนปลายมักทำฐานและหลังคาเป็นเส้นอ่อนโค้ง  มักใช้เสากลมก่ออิฐสอปูน  ตรงหัวเสาจะมีบัวทำเป็นบัวตูม
 
 2. ประติมากรรม  
         สมัยอยุธยานิยมสร้างพระพุทธรูปแบบศิลปะอู่ทอง ซึ่งแพร่หลายอยู่ในบริเวณแถบนี้ก่อนที่จะมีการสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี  ความนิยมนี้สืบต่อมาจนถึงสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ  ลักษณะของพระพุทธรูปแบบอู่ทอง คือ จะมีไรพระศกและชายจีวรปลายตัดเป็นเส้นตรงต่อมาภายหลังเมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้เสด็จไปเสวยราชย์ที่พิษณุโลก ทำให้ศิลปะแบบสุโขทัยแพร่หลายเข้ามายังอยุธยามากกว่าแต่ก่อน  จึงเกิดมีประติมากรรมที่มีลักษณะเป็นแบบอยุธยาอย่างแท้จริง แต่รุ่นแรกยังมีลักษณะของแบบอู่ทองปนอยู่บ้าง ส่วนมากไม่งามเท่าแบบสุโขทัย
       ในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองและสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  นิยมสลักพระพุทธรูปด้วยศิลา เชื่อกันว่าในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองไทยปราบเขมรได้จึงนิยมใช้หิน(ศิลา)สลักพระพุทธรูปตามอย่างเขมรอยู่ระยะหนึ่ง ลักษณะเฉพาะคือมักมีพระเนตรและพระโอษฐ์เป็นขอบสองชั้น หรือมีพระมัสสุบาง ๆ อยู่เหนือพระโอษฐ์  พระพุทธรูปทรงเครื่อง นิยมสร้างกันมากในตอนปลายสมัยอยุธยา มี 2 แบบ คือ แบบทรงเครื่องใหญ่ และแบบทรงเครื่องน้อย เป็นลักษณะแบบอยุธยาอย่างแท้จริง
  3.  จิตรกรรม 
             จิตรกรรมในสมัยอยุธยาส่วนใหญ่จะเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนา  ในระยะแรกได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะแบบลพบุรี  สุโขทัย  และลังการวมอยู่ด้วย  โดยจะมีบางภาพที่มีลักษณะแข็งและหนัก  ใช้สีดำ  ขาว  และแดง  มีการปิดทองบนภาพบ้างเล็กน้อย  เช่น  ภาพเขียนบนผนังในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ  ซึ้งสร้างขึ้นสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่  2 (เจ้าสามพระยา)   แต่ระยะหลังจิตรกรรมในสมัยอยุธยามักเป็นภาพวาดเกี่ยวกับเรื่องไตรภูมิ  ซึ่งมีภาพพุทธประวัติประกอบ
                ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเชษฐาธิราชจนสิ้นสุดสมัยอยุธยาจิตรกรรมอยุธยาแสดงให้เห็นถึงลักษณะของจิตรกรรมไทยบริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์  สีที่วาดนิยมใช้หลายสี  นิยมปิดทองลงบนรูปและลวดลาย  แต่การเขียนภาพต้นไม้  ภูเขา  และน้ำ แสดงให้เห็นอิทธิพลของศิลปะจีนอยู่บ้าง           
 4.  ประณีตศิลป์   
           ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่
1 (อู่ทอง)  ถึงสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ  งานประณีตศิลป์แบบอยุธยาที่พบ ได้แก่  เครื่องไม้  เช่น  ประตูจำหลัก  ธรรมาสน์    ตู้หนังสือพระไตรปิฎก  หีบใส่หนังสือสวดและหนังสือเทศน์   เครื่องไม้เหล่านี้มักทำฐานหรือหลังคาเป็นแบบอ่อนโค้ง
               นอกจากนี้วัตถุที่ขุดพบในพระเจดีย์หรือพระปรางค์ต่าง ๆ  อาจจัดรวมอยู่ในประณีตศิลป์ได้  เช่น  วัตถุที่ขุดพบที่พระปรางค์วัดราชบูรณะ
  
  5.  นาฏศิลป นับตั้งแต่สมัยพระรามาธิบดีที่ 1 (อู่ทอง) จนถึงสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม   การแสดงแต่เดิมคงจะเป็นการละเล่นพื้นบ้าน ส่วนใหญ่เป็นการฟ้อนรำในพิธีกรรมต่าง ๆ ทั้งพระราชพิธีและพิธีของชาวบ้าน โดยศิลปะการแสดงเริ่มมีแบบแผนขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ซึ่งได้รับแบบอย่างมาจากละครหลวงของเขมร โดยโปรดเกล้า ฯ ให้มี การเล่นดึกดำบรรพ์  ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากเขมร ภายหลังได้พัฒนามาเป็นนาฎศิลป์ไทยประเภทหนึ่งที่เรียกว่า โขน         ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นต้นมา ศิลปะการแสดงที่สำคัญของไทย คือ โขน ละคร และระบำ ซึ่งใช้ผู้ชายเป็นผู้แสดง และมีการฟ้อนรำที่ผู้หญิงแสดงเป็นหมู่  
                ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระองค์โปรดการเล่นละครมาก จึงได้มีการส่งเสริมการละครจนเจริญรุ่งเรืองสืบต่อมา  สมัยนี้จะมีละคร  2 ประเภท คือ ละครใน ใช้ตัวละครเป็นหญิงทั้งหมด  และละครนอกใช้ตัวละครเป็นผู้ชายทั้งหมด

Laughing ขอบคุณที่ให้ขอมูลที่เป็นประโยชน์คะขอบพระคุณคะ

รูปภาพของ silavacharee

Kiss

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ใหญ่ใจดี
 

 ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ 
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ 
ไม่ถูกปิดเสียก่อน

ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 
มีผลบังคับใช้แล้ว 
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

 

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 311 คน กำลังออนไลน์