กรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายยังคงมีลักษณะการปกครองตามแบบสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแต่เนื่องจากว่าในสมัยของพระเทพราชาทหารมีอำนาจมากจึงหวั่นเกรงว่าจะเกิดกบฏแย่งชิงราชสมบัติจึงมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปบางส่วนดังนี้
ลักษณะการปกครอง
ฝ่ายสมุหกลาโหม
-ให้เปลี่ยนมาควบคุมผู้บังคับบัญชาทหารและพลเรือนในแถบหัวเมืองฝ่ายใต้แทนการควบคุมทหารทั้งประเทศ
ฝ่ายสมุหนายก
-ให้เปลี่ยนมาควบคุมผู้บังคับบัญชาทั้งทางทหารและพลเรือนในแถบหัวเมืองฝ่ายเหนือ แทนการควบคุมเกี่ยวกับทางราชการทั้งหมด
ในเมื่อยามเกิดศึกสงครามในหัวเมืองฝ่ายใด ผู้บังคับบัญชาการหัวเมืองฝ่ายนั้นต้องเป็นแม่ทัพใหญ่ ดำเนินการต่อสู้ โดยเป็นผู้บังคับบัญชากองทัพเตรียมทหารและเสบียงอาหารเพื่อพร้อมจะต่อสู้เพื่อความเป็นปึกแผ่นที่มั่นคงของแผ่นดินต่อไป
ลักษณะการปกครองสมัยพระรามาธิบดีที่ ๒ ถึงสิ้นกรุงศรีอยุธยา
การปกครองของเมืองหลวง
ยังคงใช้ระบบการปกครองในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ แต่มีการเปลี่ยนแปลงบ้างก็เฉพาะหัวเมืองต่างๆ เช่น ในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ได้ทรงสร้างหัวเมืองชั้นในขึ้นอีกหลายเมือง ได้แก่ นนทบุรี นครชัยศรี ฉะเชิงเทรา สาครบุรี และสระบุรี ทำให้อาณาเขตราชธานีขยายกว้างออกไปอีก ส่วนหัวเมืองประเทศราชนั้นไม่แน่นอน ถ้าสมัยใดพระมหากษัตริย์มีอำนาจก็จะมีเมืองขึ้นหลายเมือง ส่วน
การปกครองท้องถิ่นก็ยังคงใช้แบบเดียวกับในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
คุณสมบัติและลักษณะความเหมาะสมของทหารไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
1. เมื่ออายุได้ 18 ปี ต้องขึ้นทะเบียนเป็นไพร่สม และเมื่ออายุครบ 20 ปี จึงจะรับราชการเป็นไพร่หลวง และอยู่ในราชการจนอายุครบ 60 ปี จึงจะถูกปลดจากราชการ
2. ชายฉกรรจ์ทุกคนต้องมีสังกัดอยู่ในกรมใดกรมหนึ่ง ลูกหลานผู้สืบสกุลต้องอยู่ในสังกัดเดียวกัน ถ้าจะย้ายสังกัดต้องขออนุญาตก่อน
3. ในเวลาที่บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ไพร่หลวงจะต้องเข้าประจำการปีละ 6 เดือน เรียกว่า "เข้าเวร" และจะต้องหาเสบียงของตนเองมาด้วย การเข้าเวรนี้จะเข้าเวร 1 เดือน แล้วออกเวรไปทำมาหากิน 1 เดือนแล้วจึงกลับมาเข้าเวรใหม่ สลับกันจนครบกำหนด
4. หัวเมืองชั้นนอก ที่อยู่ห่างไกลในยามปกติ ไม่ต้องการคนเข้ารับราชการมากเหมือนในราชธานี จึงใช้วิธีเกณฑ์ส่วนแทนการเข้าเวร โดยการนำของที่ทางราชการต้องการ เช่น ดินประสิว แร่ดีบุก มาให้กับทางราชการแทนการเข้าเวร เป็นต้น
บุคคลที่มีชื่อเสียงในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
1. นายขนมต้มหรือบิดามวยไทย
2. พระยาพิชัยดาบหัก
เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้กรุงศรีอยุธยาตอนปลายต้องหมดอำนาจลง
พระเจ้ามังระขึ้นครองราชย์แล้ว ได้เสด็จยกทัพไปตีหัวเมืองต่าง ๆ ได้แก่ ตะนาวศรี มะริด และเชียงใหม่ แล้วจึงยกทัพเข้ามาตีไทย
ใน พ.ศ. 2307 พม่ายกทัพเข้ามาสองทาง คือ
1. ทางเมืองเชียงใหม่ เนเมียวสีหบดีเป็นแม่ทัพ
2. ทางด่านเจดีย์สามองค์ มังมหานรธาเป็นแม่ทัพ ตีเมืองกาญจนบุรี เมืองสุพรรณบุรี เข้ากรุงศรีอยุธยา การรับทัพของไทยนั้นคาดการผิดไม่คิดว่าพม่าจะเข้าถึงกรุง เพียงแต่จะปล้นสะดมริบทรัพย์เชลย การต่อสู้ของไทยอ่อนแอมาก พม่าจึงเดินทัพเข้ามาได้ พวกที่ต่อสู้อย่างเข้มแข็ง คือ ชาวบ้านบางระจัน ต่อสู้ตีพม่าแตกไปได้บ้าง เนื่องจากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากในกรุงเลย ค่ายบางระจันจึงต้องแตก
พ.ศ. 2309 พม่าสามารถเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยา ตั้งค่ายอยู่ที่บ้านโพธิ์สามต้น เข้าล้อมกรุงอยู่ตลอดฤดูฝนจนถึงฤดูแล้ง กองทัพไทยที่ส่งไปสู้รบแพ้กลับมา การป้องกันพระนครศรีอยุธยาอ่อนแอลง พม่าล้อมอยู่นานทำให้พลเมืองอดหยาก พระเจ้าเอกทัศขอเลิกรบ พม่าไม่ยอมเพราะมีความประสงค์จะตีให้แตกและริบเอาทรัพย์สมบัติกวาดต้อนผู้คนไป พม่าล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่ 1 ปี กับ 2 เดือน กรุงศรีอยุธยาก็เสียแก่พม่าเป็นครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2310
ศิลปวรรณกรรมที่มีชื่อเสียงและเด่นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
ด้านสถาปัตยกรรม - เจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองสร้างในสมัยพระเจ้าปราสาททอง
ด้านประติมากรรม - นิยมสร้างพระพุทธรูปโดยเอาศิลาทรายแดงมาแกสลัก
ด้านจิตรกรรม - ได้รับอิทธิพลมาจากจีน
ด้านวรรณกรรม - รุ่งเรืองมากที่สุดในสมัยของพระนารายณ์มหาราช
ด้านประเพณี - มีการรับประเพณีจากขอม เช่น พิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา เป็นต้น
|
|
ชื่อบุคคลสำคัญกรุณาช่วยอธิบายหน่อยว่าสำคัญอย่างไร และไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ทำงานชิ้นนี้ และนำข้องมูลมาจากไหนเพราะขาดแหล่งอ้างอิง และให้คะแนนไม่ถูก