• user warning: Duplicate entry '536306482' for key 'PRIMARY' query: INSERT INTO accesslog (title, path, url, hostname, uid, sid, timer, timestamp) values('บริการบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ', 'node/36904', '', '3.129.216.102', 0, 'b1c4262375b283cbc9c584db2cdc460f', 164, 1729464212) in /home/tgv/htdocs/modules/statistics/statistics.module on line 63.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:a0c2c0d7c6b35f3289a85c3445741711' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p>\n<b><span style=\"font-family: MS Sans Serif\">ความเป็นมาของเครือข่าย</span></b>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: medium; font-family: MS Sans Serif\">       </span><span style=\"font-family: MS Sans Serif\"> หากย้อนไปเมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้ว คอมพิวเตอร์เครื่องแรกกำเนิดขึ้นที่มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ต่อมาคอมพิวเตอร์ก็มีบทบาทสร้างสรรค์สังคมมนุษย์เข้ามาช่วยเหลืองานต่าง ๆ ของมนุษย์มากมาย</span> <span style=\"font-family: MS Sans Serif\">จินตนาการการสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์มีมานานแล้ว โดยเฉพาะในนิยายวิทยาศาสตร์ ผู้เขียนนิยายวิทยาศาสตร์หลายท่านได้สร้างจินตนาการให้เห็นระบบสื่อสารที่ทรงพลัง โดยมีคอมพิวเตอร์ช่วยเป็นสื่อในการรับส่ง</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-family: MS Sans Serif\">ข้อมูลระหว่างกัน</span>                                              <img border=\"0\" width=\"200\" src=\"/files/u10083/wan_0.jpg\" height=\"226\" /><br />\n<span style=\"font-family: MS Sans Serif\">        </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-family: MS Sans Serif\">จุดเริ่มต้นของเครือข่ายคอมพิวเตอร์เริ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1962 Licklider แห่งมหาวิทยาลัย MIT ได้บันทึกแนวคิดเกี่ยวกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ชื่อ Galactic Network โดยแสดงจินตนาการให้เห็นหลักการของเครือข่ายทางวิชาการ พร้อมทั้งประโยชน์ที่จะใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ในการพูดคุย สื่อสาร อภิปราย ส่งข่าวระหว่างกัน และเชื่อมโยงกันทั่วโลก</span> <span style=\"font-family: MS Sans Serif\">ต่อมา Licklider ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าทีมงานวิจัยตามความต้องการของกระทรวงกลาโหม</span> <span style=\"font-family: MS Sans Serif\">ประเทศสหรัฐอเมริกัน ในโครงการที่ชื่อ DARPA ร่วมกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทางด้านคอมพิวเตอร์และเครือข่ายอีกหลายคน</span>\n</p>\n<p>\n                                                                                  \n</p>\n<p>\n<br />\n<b><span style=\"font-family: MS Sans Serif\">PACKET SWITCHING EMERGED</span><span style=\"font-size: xx-small; font-family: MS Sans Serif\"></span></b></p>\n<p><span style=\"font-family: MS Sans Serif\">ความคิดในช่วงแรกของการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์อาศัยหลักการพื้นฐานทางด้านการสวิตชิ่งของระบบโทรศัพท์ การเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ให้เชื่อมต่อกันในวงจรระหว่างจุดไปจุด จึงเรียกว่า &quot;การสวิตช์วงจร&quot; (Circuit Switching) จุดอ่อนของการสวิตช์วงจรที่เชื่อมระหว่างสองจุด ทำให้ใช้ข้อมูล ข่าวสารในเครือข่ายไม่เต็มประสิทธิภาพ และมีข้อยุ่งยากหากต้องการสื่อสารกันเป็นจำนวนมาก Leonard Kleinrock แห่งมหาวิทยาลัย MIT ได้เสนอแนวคิดในการสร้างเครือข่ายให้มีการรับส่ง ข้อมูลเป็นแพ็กเก็ต  (Packet)  โดยได้เสนอบทความในวารสารตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 1961 ต่อมาได้พิมพ์เป็นเล่มในปี ค.ศ. 1964 และเป็นหลักการที่ได้รับการยอมรับและนำมาใช้ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์จนถึงปัจจุบัน การสื่อสารบนเครือข่ายแบบแพ็กเก็ต (Packet) เป็นวิธีการที่ให้ผู้ส่งข่าวสารแบ่งแยกข่าวสารเป็นชิ้นเล็ก ๆ บรรจุเป็นกลุ่มข้อมูล โดยมีการกำหนดแอดเดรสปลายทางที่จะส่งข่าวสาร หลังจากนั้นระบบจะนำแพ็กเก็ต นั้นไปส่งยังหลายทาง ในปี ค.ศ. 1965 มีการทดลองการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขึ้นเป็นครั้งแรกระหว่างมหาวิทยาลัย MIT กับมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ผ่านทางสายโทรศัพท์และใช้หลักการแพ็กเก็ต ความคิดทางด้านการรับส่งข้อมูลเป็นชิ้นเล็ก ๆ แบบแพ็กเก็ตได้รับการยอมรับ จนในที่สุดมีการพัฒนาจากแนวความคิดนี้ไปหลายแนวทาง จนได้วิธีการรับส่งบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์หลากหลายรูปแบบ ซึ่งเป็นจุดกำเนิดเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบต่าง ๆ เช่น 25, TCP/IP, Frame Relay etc. เมื่อมีการพัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อเชื่อมโยงถึงกัน ก็เกิดแนวคิดในการสร้างมาตรฐานที่จะทำให้ระบบการเชื่อมโยงมีลักษณะเปิดมากขึ้น กล่าวคือ การนำผลิตภัณฑ์หลากหลายยี่ห้อมาเชื่อมต่อกันได้ จึงมีวิธีการแบ่งระดับการสื่อสารออกมาเป็นชั้น (Layer) แต่ละขั้นจะมีการวางมาตรฐานกลางเพื่อให้การเชื่อมเครือข่ายที่แตกต่างกันสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ </span>\n</p>\n<p>\n<b><span style=\"font-size: medium; font-family: MS Sans Serif\"></span><span lang=\"TH\"><span style=\"font-size: medium; font-family: MS Sans Serif\">เครือข่ายคอมพิวเตอร์คืออะไร</span></span></b>\n</p>\n<p style=\"text-indent: 36pt\" class=\"MsoNormal\">\n<span style=\"font-family: Microsoft Sans Serif\"><span style=\"layout-grid-mode: line; color: #000000\" lang=\"TH\">เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) คือระบบที่มีคอมพิวเตอร์อย่างน้อยสองเครื่องเชื่อมต่อกันโดยใช้สื่อกลาง และสามารถสื่อสารข้อมูลกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและได้และใช้ทรัพยากรที่อยู่ในเครือข่ายร่วมกันได้ และทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นจำนวนมาก เช่น เวบ  อีเมล  FTP</span></span><span style=\"layout-grid-mode: line; color: #000000; font-family: Microsoft Sans Serif\" lang=\"TH\"><br />\n</span><span style=\"font-size: 16pt; layout-grid-mode: line; color: #000000; font-family: AngsanaUPC\" lang=\"TH\"><br />\n</span><span style=\"color: #000000; font-family: MS Sans Serif\"><b>ประโยชน์ของระบบเครือข่าย</b><br />\n</span><span style=\"font-family: MS Sans Serif\"><span lang=\"en-us\">        </span>1. การใช้ Hardware ร่วมกัน<br />\n<span lang=\"en-us\">        </span>2. การใช้ Software ร่วมกัน<br />\n<span lang=\"en-us\">        </span>3. การต่อเชื่อมกับระบบอื่น<br />\n<span lang=\"en-us\">        </span>4. การใช้ระบบ Multiuser </span>\n</p>\n<dl>\n<dd><span style=\"font-family: MS Sans Serif\">1. การใช้ Hardware ร่วมกัน ดังที่ได้กล่าวไว้ในตอนต้นว่า ระบบ Network จะช่วยให้เราสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในเรื่อง Hardware ลงไปได้ ทั้งนี้เนื่องจากเราสามารถนำ Hardware บางประเภทมาใช้งานร่วมกันได้ ได้แก่<br />\n<span lang=\"en-us\">        </span><img width=\"11\" src=\"/bullet.gif\" height=\"11\" />Share Diskspace เป็นการใช้งานร่วมกันของเนื้อที่ที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ซึ่งรวม Harddisk และ CD ROMS (Compac-Disk Read-Only Memory) ซึ่งเราจะใช้ Harddisk หรือ CD ROMS จาก PC ที่เราเรียกว่า &quot;File Server นี้จะเป็นเครื่องที่ใช้ในการเก็บข้อมูล (Data) ของ User และ Software ของระบบทั้งหมด รวมทั้งควบคุมการทำงานของระบบ Network ด้วย </span></dd>\n<dd><span style=\"font-family: MS Sans Serif\">สืบเนื่องจากการใช้ Harddisk หรือ CD ROMS จาก File Serveร่วมกันทุกคน จึงทำให้ไม่จำเป็นที่จะต้องมี Harddisk ที่เครื่อง PC แต่ละเคริอง รวมทั้งไม่ต้องมี Floppy Disk Drive ใดๆอีกต่อไป เราจะเรียกเครื่อง PC ประเภทนี้ว่า &quot;Diskless Workstation&quot; หรือ &quot;Dump Terminal<br />\n<span lang=\"en-us\">        </span><img width=\"11\" src=\"/bullet.gif\" height=\"11\" /> Share Printer ในที่นี้เราจะขอกล่าวถึง Printer หรือเครื่องพิมพ์ก่อน ซึ่งเครื่องพิมพ์จะเป็นอุ)กรณ์ต่อพ่วง (Peripherals) ที่ใช้งานมากที่สุด โดยเฉพาะในปัจจุบันมี Printer ราคาสูงเกิดขึ้นมากมายโดยเฉพาะ Laser Printer และเครื่องพิมพ์สี (Color Printer) ซึ่งมีราคาแพง และจำเป็นต้องนำมาใช้งานร่วมกันเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด<br />\nนอกจากนั้นกรณีที่เรานำเครื่องพิมพ์มาใช้งานในระบบ Network มาก กว่า 1 เครื่อง เช่น Dot Matrix, Laser Printer, Color Printer, Ink Jet ฯลฯ เป็นต้น ในการส่งงานไปพิมพ์นั้น เราสามารถเลือกได้ว่าต้องการใช้งานเครื่องพิมพ์ชนิใดใช้งานได้ด้วย ซึ่งการทำงานง่ายและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น<br />\n<span style=\"font-size: medium\"><span lang=\"en-us\">        </span><img width=\"11\" src=\"/bullet.gif\" height=\"11\" /> Share Communication Devices</span></span><span style=\"font-size: medium; font-family: MS Sans Serif\"> หมายถึง การนำอุปกรณ์สื่อสารของระบบคอมพิวเตอร์มาใช้งานร่วมกัน เช่น &quot;Modem&quot; ซึ่งใช้ในการเปลี่ยนถ่ายข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ด้วยกันโดยอาศัยสายโทรศัพท์ นอกจาก Modem แล้วอุปกรณ์อีกอย่างหนึ่งที่สามารถนำมาใช้งานร่วมกันได้คือ &quot;FAX&quot; โดยเราสามารถพิมพ์ข้อมูลที่ &quot;Workstation&quot; ของเรา และส่งข้อมูลผ่านระบบ Network ไปที่เครื่อง FAX ได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องพิมพ์ลงกระดาษ แล้วเดินไปส่ง FAX ที่เครื่อง FAX อีกต่อไป </span></dd>\n<dt>  \n<div align=\"left\" style=\"width: 11px; height: 3px\">\n</div>\n<div align=\"left\">\n<b><span style=\"font-family: MS Sans Serif\"><span lang=\"en-us\">      </span>2. </span></b><span style=\"font-family: MS Sans Serif\">การใช้ Software ร่วมกัน Software ที่ใช้งานบนระบบ Network แบ่งออกเป็น Sofeware Packages และ Data ดังนั้นเราสามารถนำ Software ทั้ง 2 แบบ มาใช้งานร่วมกันได้<br />\n            <span lang=\"en-us\">    </span><img width=\"11\" src=\"/bullet.gif\" height=\"11\" />Share Software Packages ในปัจจุบันสิ่งที่เป็นปัญหาอยู่ก็คือ เรื่องของลิขสิทธิ์ทาง Software ถ้าเรายังคงมี PC แต่ละเครื่องใช้งานแยกกันอยู่ เราจำเป็นต้องซื้อ Software ที่ถูกต้องตามกฏหมายมาใช้งาน กล่าวคือ 1 ชุดต่อ 1 เครื่อง รวมทั้งยังต้องคอยระวังในเรื่องของการ Copy Software มาใช้งานเองของผู้ใช้แต่ละคนด้วย การนำระบบ &quot;Network&quot; มาใช้งานจะช่วยลดปัญหาของการทำผิดกฏหมายทางด้านลิขสิทธิ์ได้<br />\n            นอกจากนั้น Software ที่ใช้งานบนระบบ Network จะมีความคล่องตัวกว่า Software บน PC โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการซ่อมบำรุง ปรับปรุง Software ให้ถูกต้อง เช่น รุ่นที่ Upgrade มาใหม่ เราจะสามารถติดตั้งและ Upgrade Software ทั้ง 10 เครื่อง ซึ่งเสียเวลามาก<br />\n            นอกจากนั้นในกรณีที่เราใช้ Workstation ประเภท &quot;Diskless Workstation&quot; User จะไม่มีสิทธิ์ในการใช้งานแผ่น Disk เล่ย ทำให้เราสามารถขจัดปัญหาของ &quot;Virus&quot; ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ได้ รวมทั้งการตรวจสอบ Virus ก็ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบที่ PC แต่ละเครื่อง แต่ตรวจสอบที่ Flie Server เพียงเครื่องเดียว ทำให้ประหยัดเวลา และเกิดการทำงานที่คล่องแคล่วตัวมากยิ่งขึ้น </span>\n</div>\n</dt>\n<dd><span style=\"font-family: MS Sans Serif\"><span lang=\"en-us\">    </span>สำหรับเรื่องของ License หรือลิขสิทธิ์นั้น Software ที่จะนำมาใช้ในงานบนระบบ Network จะต้องเป็น Softwareรุ่น</span> </dd>\n<dt><span style=\"font-family: MS Sans Serif\">ของเน็ตเวอร์เท่านั้นซึ่งในปัจจุบันมี License Software สำหรับระบบ Network 2 แบบ คือ</span> </dt>\n<dd>\n<div align=\"left\">\n<span style=\"font-family: MS Sans Serif\"><span lang=\"en-us\">        </span>1.  สำหรับเรื่องของ License หรือลิขสิทธิ์นั้น Software ที่จะนำมาใช้ในงานบนระบบ Network จะต้องเป็น</span>\n</div>\n<div align=\"left\">\n<span style=\"font-family: MS Sans Serif\">Software รุ่น Network      </span>\n</div>\n</dd>\n<dd>\n<div align=\"left\">\n<span style=\"font-family: MS Sans Serif\"><span lang=\"en-us\">        </span>2.  Per User License หมายถึง Software ที่จะต้องระบุจำนวน User ลงไปเลยว่าต้องการใช้เท่าใด แต่การทำงานจริง ๆ<span lang=\"en-us\"> </span>แล้วจะใช้กี่คนพร้อมกันก็ได้ </span>\n</div>\n</dd>\n</dl>\n<p>\n<span style=\"font-family: MS Sans Serif\"><span lang=\"en-us\">        </span>Share Date ปัญหาที่เกิดขึ้นแน่นอน สำหรับการใช้งาน PC แยกกันคือ ในกรณีที่เราต้องการข้อมูลของ PC อีกเครื่องหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าข้อมูลนั้นมีขนาดใหญ่ หรือต้องการใช้งานข้อมูลร่วมกันบ่อย ๆ จะทำให้เสียเวลาในการ Copy ข้อมูลมาก ถ้าเรานำระบบ &quot;Network&quot; มาใช้งานข้อมูลของ User แต่ละคนจุถูกเก็บไว้ในที่เดียวกันคือ Harddisk ของ File Server ดังนั้น User แต่ละคนสามารถเรียกใช้ข้อมูลซึ่งกันและกันได้ทันที แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการกำหนดสิทธิในการเรียกใช้ข้อมูลของแต่ละ User ซึ่งเราสามารถกำหนดได้ว่า User คนใดสามารถใช้งานข้อมูลใดได้ถึงระดับใดบ้าง เนื้อหาในส่วนนี้จะได้กล่าวในลำดับต่อไป<br />\nจากประโยชน์ของการใช้ Software ร่วมกันนี้ ข้อมูลจะถูกเก็บอยู่ที่ File Server ข้อมูลจึงถูกต้อง ทันสมัย และรวดเร็ว (เรียกว่า เป็นการควบคุมข้อมูลที่จุดศูนย์กลาง) โดยแต่ละ Workstation สามารถใช้ข้อมูลของ Workstation อื่น ได้ทันที (ถ้ามีสิทธิ์) โดยไม่ต้องรีรอ จึงทำให้การทำงานสะดวกขึ้น (Flexible) นอกจากนั้น ยังลดขั้นตอนในการปฏิบัติงาน และลดเวลาในการทำงาน คือแทนที่จะต้องเสียเวลาในการรอข้อมูลซึ่งกันและกัน เพื่อที่จะทำงานขั้นต่อไป ก็ทำให้ต้องเสียเวลาและลดความผิดพลาดที่เกิดจากข้อมูลไม่ถูกต้องทันสมัย เช่น เมื่อมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าทำให้ฝ่ายขาย ขานสินค้นตามราคาใหม่ได้ทันที โดยไม่ต้องรอการแจ้งเปลี่ยนแปลงราคาจากส่วนควบคุมการตั้งราคา เป็นต้น<br />\n<b><span lang=\"en-us\">        </span>3. การต่อเชื่อมกับระบบอื่น</b><br />\nในระบบงานของ PC เมื่อต้องการนำ PC มาเชื่อมต่อกับระบบอื่น เช่น Mainframe หรือ Mini Computer จะต้องมีอุปกรณ์เชื่อมต่อพิเศษ เพื่อให้ PC นั้นสามารถทำงานร่วมกับระบบอื่นได้ เราเรียกขบวนการนี้ว่า &quot;Terminal Emulation&quot; ปัญหาก็คือ PC 1 เครื่องจะต้องมีอุปกรณ์พิเศษต่อเชื่อม 1 ชุด ซึ่งปกติจะมีราคาสูงมาก เมื่อทำงานที่มากขึ้น การต่อเชื่อมกับ PC เพียง 1 ชุด อาจไม่เพียงพอในการใช้งาน อาจจำเป็นต้องต่อมากยิ่งขึ้น ทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากตามไปด้วย<br />\nแต่ถ้าเรามีระบบ &quot;Network&quot; อยู่แล้ว เราสามารถนำ PC และอุปกรณ์ต่อเชื่อมสำหรับระบบอื่นเพียง 1 ชุดมาใช้งาน หลัก จาก นั้น Workstation เครื่องที่ไม่มี<br />\nอุปกรณ์ต่อเชื่อมนี้ก็สามารถเชื่อมต่อกับระบบอื่นได้ด้วย เสมือนมีอุปกรณ์เชื่อมต่อติดตั้งที่เครื่องของตนเอง ลักษณะเช่นนี้เราเรียกว่า &quot;Gateway&quot;<br />\n<b><span lang=\"en-us\">        </span>4.การใช้ระบบ Multlusers</b><span style=\"font-size: x-small\"><br />\n</span>การใช้ระบบ Multlusers หมายถึง ระบบที่ User สามารถใช้โปรแกรมหรือข้อมูลเดียวกันได้ครั้งละหลาย ๆ คน ซึ่ง &quot;Network&quot; นั้นสามารถใช้งานระบบนี้ได้เป็นอย่างดี ทำให้ในปัจจุบัน ผู้ใช้งานในระบบ Multlusers หรือ Minicomputers ได้หันมาเล็งเห็นถึงความสำคัญของระบบ Network และเริ่มใช้งานระบบนี้มากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเห็นได้ชัดเจนของการทำงานในระบบ Multlusers ได้แก่</span></p>\n<p><span lang=\"en-us\">                </span><img width=\"12\" src=\"/bullet.gif\" height=\"11\" />E-Mall (Electronic Mail) ซึ่ง User แต่ละคนสามารถส่งและรับข้อมูลหรือข่าวสารซึ่งกันและกันได้ โดยผ่านทาง Workstation ของตนเอง มีโปรแกรมที่ใช้งานแบบ E-Mall ได้มากมายเช่น WorkPerfect Office, CC-Mail, ฯลฯ เป็นต้น<br />\n<span lang=\"en-us\">                </span><img width=\"12\" src=\"/bullet.gif\" height=\"11\" />Schedule หรือ Group Calendar เป็นโปรแกรมที่รวบรวมปฏิทินรายวันของ User แต่ละคนมารวมกันเป็นตาราง (Schedule) ของทั้งระบบ ทำให้ผู้จัดการระบบสามารถทราบนัดหมายต่าง ๆ ของ User แต่ละคนได้ และวางแผนการทำงานได้สะดวกยิ่งขึ้น เช่น WordPerfect Office<br />\n<span lang=\"en-us\">                </span><img width=\"11\" src=\"/bullet.gif\" height=\"11\" />Database สามารถใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลเดียวกันได้พร้อม ๆ กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน File ได้ถูกพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น จนมี File Server เฉพาะสำหรับงาน Database เรียกว่า Database Server ซึ่งเป็น Server ชนิดพิเศษที่มีความเร็วสูงในการเรียกใช้และปรับปรุงข้อมูลในDatabase มีผู้กล่าวว่า ประสิทธิภาพในการทำงานของ Database Server นี้ใกล้เคียงหรืออาจจะดีกว่าแบบ Minicomputer เสียอีก\n</p>\n<!--pagebreak--><!--pagebreak--><p>\n<b><span style=\"font-size: medium; font-family: MS Sans Serif\">ประเภทของเครือข่าย</span></b>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<b><span style=\"font-size: medium; font-family: MS Sans Serif\">เครือข่าย<span lang=\"th\">ท้องถิ่น</span>  (Local Area Network : LAN)</span></b>\n</p>\n<p><span style=\"font-family: MS Sans Serif\" lang=\"en-us\"><span style=\"font-size: medium\">                </span></span><span style=\"font-size: medium; font-family: MS Sans Serif\"><span lang=\"TH\">เครือข่ายเฉพาะบริเวณ  </span></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><span style=\"font-size: medium; font-family: MS Sans Serif\">(Local  Area  Network  :  LAN)<span lang=\"TH\">  หมายถึง  เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่เป็นของกลุ่มผู้ใช้กลุ่มเล็กๆ  กลุ่มหนึ่ง  ปกติจะเป็นเครือข่ายที่มีขอบเขตอยู่ภายในอาคารเดียวกัน  หรือกลุ่มอาคารที่อยู่ติดกัน  มีระยะไม่เกิน  </span>2-3<span lang=\"TH\">  กิโลเมตร  เหมาะสำหรับการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล  หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กของพนักงานในองค์กรเข้าด้วยกันโดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ  การใช้อุปกรณ์ส่วนกลางร่วมกัน  การใช้โปรแกรมและข้อมูลร่วมกัน  และการรับ</span>-<span lang=\"TH\">ส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างกัน  เครือข่าย  </span>LAN  <span lang=\"TH\">มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากระบบอื่นๆ  </span>3  <span lang=\"TH\">ประการ  คือ  ขนาด</span>,  <span lang=\"TH\">เทคโนโลยีที่ใช้ในการรับ</span>-<span lang=\"TH\">ส่งข้อมูล  และรูปแบบการจัดโครงสร้างของระบบ</span></span></span><span style=\"color: #000099; font-family: MS Sans Serif\"><o:p></o:p></span><span style=\"font-weight: normal\"><o:p></o:p></span><span style=\"font-family: MS Sans Serif\"><span lang=\"TH\"><span style=\"font-size: medium\">   <br />\n</span></span><span lang=\"en-us\"><span style=\"font-size: medium\">            </span></span><span style=\"font-size: medium\">ingle  building  LAN  <span lang=\"TH\">   </span><span style=\"font-weight: normal\" lang=\"TH\">เป็นการเชื่อมต่อแบบใดก็ได้  แต่สามารถสื่อสารถึงกันได้ใน  1  วงจรเท่านั้น  ดังแสดงในรูป</span></span><span style=\"font-weight: normal\" lang=\"en-us\"><o:p><span style=\"font-size: medium\">   </span></o:p></span><span style=\"font-size: medium\">Multiple  building  LAN    <span lang=\"TH\">เป็นการเชื่อมต่อหลายอาคาร  หลายชั้นโดยใช้การเชื่อมต่อหลายแบบ แต่สามารถเชื่อมต่อถึงกันได้โดย  </span>Backbone    </span></span></p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"font-size: medium; font-family: MS Sans Serif\">                                                                             </span></p>\n<div style=\"text-align: center\">\n<img border=\"0\" width=\"350\" src=\"/files/u10083/gateway.jpg\" height=\"178\" />\n</div>\n<p>\n</p>\n<p><center></center></p>\n<p>\n<br />\n \n</p>\n<p></p>\n<p align=\"left\">\n<b><span style=\"font-size: medium; font-family: MS Sans Serif\">เครือข่ายเมือง (Metropolitan Area Network : MAN)</span></b>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"font-size: medium; font-family: MS Sans Serif\">           </span><span style=\"font-family: MS Sans Serif\"><span lang=\"TH\"><span style=\"font-size: medium\">เครือข่ายในเขตเมือง  </span></span><span style=\"font-size: medium\">(Metropolitan  Area  Network :  MAN)<span lang=\"TH\">  มีลักษณะคล้ายกับระบบเครือข่าย  </span>LAN  <span lang=\"TH\">เพียงแต่มีขนาดใหญ่กว่าเท่านั้น  ระบบนี้อาจจะเชื่อมต่อการสื่อสารของสาขาหลายๆ  แห่งที่อยู่ภายในเขตเมืองเดียวกัน  หรืออาจครอบคลุมหลายเขตเมืองที่อยู่ใกล้กัน  โดยระบบนี้มีขีดความสามารถในการให้บริการทั้งการรับ</span>-<span lang=\"TH\">ส่งข้อมูลและโทรศัพท์ไปพร้อมกันได้  ในปัจจุบันยังครอบคลุมไปถึงระบบโทรทัศน์ทางสาย  </span>(Cable  television)  <span lang=\"TH\">ด้วย  ระบบนี้จะมีสายเคเบิลเพียงหนึ่งหรือสองเส้น  โดยไม่มีอุปกรณ์สลับช่องสื่อสาร  </span>(Switching  element)  </span><span lang=\"TH\"><span style=\"font-size: medium\">ทำหน้าที่คอยกักเก็บสัญญาณไว้ภายในหรือปล่อยสัญญาณออกไปสู่ระบบอื่น</span></span></span>\n</p>\n<p><center></center></p>\n<p>\n<span style=\"font-size: medium; font-family: MS Sans Serif\"></span>\n</p>\n<p></p>\n<p align=\"left\">\n<b><span style=\"font-size: medium; font-family: MS Sans Serif\">เครือข่ายบริเวณกว้าง ( Wide Area Network : WAN)</span></b>\n</p>\n<p><center><span style=\"font-size: medium; font-family: MS Sans Serif\">            <span lang=\"TH\">เครือข่ายวงกว้าง  </span></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><span style=\"font-size: medium; font-family: MS Sans Serif\">(Wide  Area  Network  :  WAN)<span lang=\"TH\">  ระบบเครือข่ายแบบนี้เป็นการขยายเขตการเชื่อมต่อครอบคลุมไปเป็นพื้นที่ระดับภูมิภาค  ระบบนี้ประกอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์หลักเรียกว่า  โฮสต์คอมพิวเตอร์  </span>(Host  Computer)  <span lang=\"TH\">ทำหน้าที่คอยให้บริการแก่ผู้ใช้ทั้งหมดที่เป็นสมาชิกในกลุ่มตนเอง  โดยโฮสต์คอมพิวเตอร์จะเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายย่อย     ซึ่งมีหน้าที่ให้บริการรับ</span>-<span lang=\"TH\">ส่งข้อมูลระหว่างโฮสต์ต่างๆ  หลักการ</span>                <span lang=\"TH\">ระบบเครือข่ายย่อยในเครือข่าย  </span>WAN  <span lang=\"TH\">ประกอบด้วยอุปกรณ์สองอย่าง  คือ  สายสื่อสาร  </span>(Transmission  line)  <span lang=\"TH\">และอุปกรณ์สลับช่องสื่อสาร  </span>(Switching  elements)</span></span><o:p></o:p> <center><center></center></center></center></p>\n<p>\n<span style=\"font-size: medium; font-family: MS Sans Serif\"></span>\n</p>\n<p></p>\n<p>\n<b><span style=\"font-size: medium; font-family: MS Sans Serif\">โครงสร้างการเชื่อมต่อแบบ <span lang=\"en-us\">LAN</span></span></b>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: medium; font-family: MS Sans Serif\"><b>เครือข่ายแบบบัส (Bus Network)</b>  เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ด้วยสายเคเบิ้ลยาวต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ โดยจะมีคอนเน็กเตอร์เป็นตัวเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ เข้ากับสายเคเบิ้ลในการส่งข้อมูลจะมีคอมพิวเตอร์เพียงตัวเดียวเท่านั้น ที่สามารถส่งข้อมูลได้ในช่วง เวลาหนึ่งๆ การจัดส่งข้อมูลวิธีนี้จะต้องกำหนดวิธีการที่จะไม่ให้ทุกสถานีส่งข้อมูลพร้อมกัน เพราะจะทำ ให้ข้อมูลชนกัน วิธีการที่ใช้อาจแบ่งเวลาหรือให้แต่ละสถานีใช้ความถี่สัญญาณที่แตกต่างกัน การเซตอัป เครื่องเครือข่ายแบบบัสนี้ ทำได้ไม่ยากเพราะคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์แต่ละชนิด ถูกเชื่อมต่อด้วยสาย เคเบิ้ลเพียงเส้นเดียวโดยส่วนใหญ่เครือข่ายแบบบัส  มักจะใช้ในเครือข่ายขนาดเล็ก ซึ่งอยู่ในองค์กรที่มี <br />\nคอมพิวเตอร์ใช้ไม่มากนัก </span>\n</p>\n<p><center></center></p>\n<p>\n<span style=\"font-size: medium; font-family: MS Sans Serif\"></span>\n</p>\n<p></p>\n<p>\n<span style=\"font-size: medium; font-family: MS Sans Serif\"></span></p>\n<p>\n</p>\n<!--pagebreak--><!--pagebreak--><p>\n<span style=\"font-size: medium; font-family: MS Sans Serif\"><b>เครือข่ายแบบดาว (Star Network)</b>เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ เข้ากับอุปกรณ์ ที่เป็น จุดศูนย์กลางของเครือข่าย โดยการนำสถานีต่าง ๆ มาต่อร่วมกันกับหน่วย สลับสายกลาง การติดต่อสื่อสารระหว่างสถานีจะกระทำได้ด้วยการ ติดต่อผ่านทางวงจรของหน่วนสลับสายกลาง การทำงานของหน่วยสลับสายกลางจึงเป็นศูนย์กลางของการติดต่อ วงจรเชื่อมโยงระหว่างสถานี ต่าง ๆ ที่ต้องการติดต่อกัน </span>\n</p>\n<p><center></center></p>\n<p>\n<span style=\"font-size: medium; font-family: MS Sans Serif\"></span>\n</p>\n<p></p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"font-size: medium; font-family: MS Sans Serif\"><b>เครือข่ายแบบวงแหวน (Ring Network)</b>เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อ คอมพิวเตอร์ด้วยสายเคเบิลยาวเส้นเดียวในลักษณะวงแหวน  การรับส่งข้อมูลในเครือข่ายวงแหวน จะใช้ทิศทางเดียวเท่านั้น เมื่อคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งส่งข้อมูลมันก็จะส่งไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องถัดไป ถ้าข้อมูลที่รับมาไม่ตรง ตามที่คอมพิวเตอร์เครื่องต้นทางระบุ ก็จะส่งผ่านไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องถัดไปซึ่งจะเป็นขั้นตอน อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงคอมพิวเตอร์ปลายทางที่ถูกระบุตามที่อยู่จากเครื่องต้นทาง </span>\n</p>\n<p><center></center></p>\n<p>\n<span style=\"font-size: medium; font-family: MS Sans Serif\"><br />\n </span>\n</p>\n<p></p>\n<p>\n<span style=\"font-size: medium; font-family: MS Sans Serif\"><b>เครือข่ายแบบต้นไม้ (Tree Network)</b>  เป็นเครือข่ายที่มีผสมผสานโครงสร้างเครือข่าย แบบต่าง ๆ เข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่  การจัดส่งข้อมูลสามารถส่งไปถึงได้ทุกสถานี การสื่อสารข้อมูลจะผ่านตัวกลางไปยังสถานีอื่น ๆ ได้ทั้งหมด เพราะทุกสถานีจะอยู่บนทางเชื่อม <br />\nรับส่งข้อมูลเดียวกัน </span>\n</p>\n<p><center></center></p>\n<p>\n<span style=\"font-size: medium; font-family: MS Sans Serif\"></span>\n</p>\n<p></p>\n<p class=\"MsoNormal\">\n<span style=\"font-size: medium; color: #0000ff; font-family: MS Sans Serif\"><span style=\"font-weight: 700; layout-grid-mode: line\" lang=\"TH\">อุปกรณ์เครือข่าย</span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<b><span style=\"font-family: Ms Sans Serif\"><span lang=\"th\">        </span>เซอร์เวอร์ (Server)</span></b>\n</p>\n<p align=\"left\">\n                                                         <img border=\"0\" width=\"250\" src=\"/files/u10083/hub.jpg\" height=\"138\" />\n</p>\n<p align=\"center\">\n&nbsp;\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"font-family: Ms Sans Serif\"><b><span lang=\"th\">        </span>เซอร์เวอร์ </b>หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เครืองแม่ข่าย เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์หลักในเครือข่าย</span> <span style=\"font-family: Ms Sans Serif\">ที่ทำหน้าที่จัดเก็บและให้บริการไฟล์ข้อมูลและทรัพยากรอื่นๆ กับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ใน</span> <span style=\"font-family: Ms Sans Serif\">เครือข่าย โดยปกติคอมพิวเตอร์ที่นำมาใช้เป็นเซอร์เวอร์มักจะเป็นเครื่องที่มีสมรรถนะสูง และ</span> <br />\n<span style=\"font-family: Ms Sans Serif\">มีฮาร์ดดิกส์ความจำสูงกว่าคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ในเครือข่าย                            .</span>\n</p>\n<p><center></center></p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"font-family: Ms Sans Serif\"><b><span lang=\"th\">        </span>ไคลเอนต์ </b>(Client) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เครื่องลูกข่าย เป็นคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายที่ร้องขอ</span> <span style=\"font-family: Ms Sans Serif\">บริการและเข้าถึงไฟล์ข้อมูลที่จัดเก็บในเซอร์เวอร์ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ไคลเอนต์ เป็นคอมพิวเตอร์</span> <span style=\"font-family: Ms Sans Serif\">ของผู้ใช้แต่ละคนในระบบเครือข่ายนั่นเอง                                                      .</span>\n</p>\n<p></p>\n<p class=\"MsoNormal\">\n&nbsp;\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\">\n<b><span style=\"layout-grid-mode: line; color: #000000; font-family: MS Sans Serif\" lang=\"TH\">        ฮับ  (HUB)</span></b>\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\">\n&nbsp;\n</p>\n<p style=\"text-indent: 36pt\" class=\"MsoNormal\">\n<span style=\"layout-grid-mode: line; color: #000000; font-family: MS Sans Serif\" lang=\"TH\"><b>ฮับ  (HUB) หรือ เรียก รีพีทเตอร์ (Repeater)</b> คืออุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อกลุ่มคอมพิวเตอร์ ฮับ มีหน้าที่รับส่งเฟรมข้อมูลทุกเฟรมที่ได้รับจากพอร์ตใดพอร์ตหนึ่ง ไปยังพอร์ตที่เหลือ คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อเข้ากับฮับจะแชร์แบนด์วิธหรืออัตราข้อมูลของเครือข่าย เพราะฉะนั้นถ้ามีคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อมากจะทำให้อัตราการส่งข้อมูลลดลง</span>\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\">\n<b><span style=\"layout-grid-mode: line; color: #000000; font-family: MS Sans Serif\" lang=\"TH\">        สวิตซ์  (Switch)</span></b>\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\">\n&nbsp;\n</p>\n<p style=\"text-indent: 36pt\" class=\"MsoNormal\">\n<span style=\"layout-grid-mode: line; color: #000000; font-family: MS Sans Serif\" lang=\"TH\">คืออุปกรณ์เครือข่ายที่ทำหน้าที่ในเรเยอร์ที่ 2 และทำหน้าที่ส่งข้อมูลที่ได้รับมาจากพอร์ตหนึ่งไปยังพอร์ตเฉพาะที่เป็นปลายทางเท่านั้น และทำให้คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับพอร์ตที่เหลือส่งข้อมูลถึงกันในเวลาเดียวกัน ดังนั้น อัตราการรับส่งข้อมูลหรือแบนด์วิธจึงไม่ขึ้นอยู่กับคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันนิยมเชื่อมต่อแบบนี้มากกว่าฮับเพราะลดปัญหาการชนการของข้อมูล</span>\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\">\n<b><span style=\"layout-grid-mode: line; color: #000000; font-family: MS Sans Serif\" lang=\"TH\">        เราเตอร์ (Router)</span></b>\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\">\n&nbsp;\n</p>\n<p style=\"text-indent: 36pt\" class=\"MsoNormal\">\n<span style=\"layout-grid-mode: line; color: #000000; font-family: MS Sans Serif\" lang=\"TH\">เป็นอุปรณ์ที่ทำหน้าที่ในเลเยอร์ที่ 3 เราท์เตอร์จะอ่านที่อยู่ (Address) ของสถานีปลายทางที่ส่วนหัว (Header) ข้อแพ็กเก็ตข้อมูล เพื่อที่จะกำหนดและส่งแพ็กเก็ตต่อไป เราท์เตอร์จะมีตัวจัดเส้นทางในแพ็กเก็ต เรียกว่า เราติ้งเทเบิ์ล (Routing Table) หรือตารางจัดเส้นทางนอกจากนี้ยังส่งข้อมูลไปยังเครือาข่ายที่ให้โปรโตคอลต่างกันได้ เช่น  IP (Internet Protocol)  ,  IPX  (Internet Package Exchange) และ  AppleTalk  นอกจากนี้ยังเชื่อมต่อกับเครือข่ายอื่นได้ เช่น เครือข่ายอินเตอร์เน็ต</span></p>\n<p><span style=\"font-family: Ms Sans Serif\"><b>    <span lang=\"th\">    </span>บริดจ์  </b></span><b>Bridge </b>\n</p>\n<p><center></center></p>\n<p>\n<img border=\"0\" width=\"333\" src=\"/files/u10083/star.gif\" height=\"287\" /> \n</p>\n<p></p>\n<p align=\"left\">\n&nbsp;\n</p>\n<p align=\"left\">\n&nbsp;\n</p>\n<p align=\"left\">\n<br />\n<span style=\"font-family: Ms Sans Serif\"><b><span lang=\"th\">        </span>บริดจ์</b> เป็นอุปกรณ์ที่มักจะใช้ในการเชื่อมต่อวงแลน  (LAN Segments)   เข้าด้วยกัน</span> <span style=\"font-family: Ms Sans Serif\">ทำให้สามารถขยายขอบเขตของ LAN ออกไปได้เรื่อยๆ โดยที่ประสิทธิภาพรวมของระบบ</span> <span style=\"font-family: Ms Sans Serif\">ไม่ลดลงมากนัก เนื่องจากการติดต่อของเครื่องที่อยู่ในเซกเมนต์เดียวกันจะไม่ถูกส่งผ่าน</span> <span style=\"font-family: Ms Sans Serif\">ไปรบกวนการจราจรของเซกเมนต์อื่น และเนื่องจากบริดจ์เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานอยู่ในระดับ</span> <span style=\"font-family: Ms Sans Serif\">Data Link Layer    จึงทำให้สามารถใช้ในการเชื่อมต่อเครือข่ายที่แตกต่างกันในระดับ</span> <span style=\"font-family: Ms Sans Serif\">Physical และ Data Link ได้ เช่น ระหว่าง Eternet กับ Token Ring เป็นต้น        .</span>\n</p>\n<p><center></center></p>\n<p>\n<br />\nBridge\n</p>\n<p></p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"font-family: Ms Sans Serif\"><b><span lang=\"th\">        </span>บริดจ์  </b>มักจะถูกใช้ในการเชื่อมเครือข่ายย่อย ๆ ในองค์กรเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายใหญ่</span> <span style=\"font-family: Ms Sans Serif\">เพียงเครือข่ายเดียว เพื่อให้เครือข่ายย่อยๆ เหล่านั้นสามารถติดต่อกับเครือข่ายย่อยอื่นๆ ได้</span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<b><span style=\"font-family: Ms Sans Serif\"><span lang=\"th\">        </span>เกตเวย์ (Gateway)</span></b>\n</p>\n<p align=\"left\">\n&nbsp;\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"font-family: Ms Sans Serif\"><b><span lang=\"th\">        </span>เกตเวย์<span lang=\"en-us\">  </span></b>เป็นอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่เชื่อมต่อเครือข่ายต่างประเภทเข้าด้วยกัน เช่น</span> <span style=\"font-family: Ms Sans Serif\">การใช้เกตเวย์ในการเชื่อมต่อเครือข่าย ที่เป็นคอมพิวเตอร์ประเภทพีซี   (PC)</span> <span style=\"font-family: Ms Sans Serif\">เข้ากับคอมพิวเตอร์ประเภทแมคอินทอช (MAC) เป็นต้น    </span>\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\">\n<b><span style=\"font-family: MS Sans Serif\"><span lang=\"TH\">        โปรโตคอล </span>(Protocol)</span></b>\n</p>\n<p style=\"text-indent: 36pt\" class=\"MsoNormal\">\n<span style=\"layout-grid-mode: line; color: #000000; font-family: MS Sans Serif\" lang=\"TH\">เป็นมาตรฐานในการสื่อสารข้อมูลของคอมพิวเตอร์ หรือภาษาที่ใช้ในการสื่อสารของคอมพิวเตอร์ และต้องเป็นภาษาเดียวกัน ปัจจุบันที่นิยมใช้ คือ TCP/IP (Transmission Control Protocol/internet Protocol) เป็น โปรโตคอลที่ใหญ่ที่สุดให้ระบบเครือข่ายของโลก นอกจากนี้ยังมี  IPX/SPX (Internet Packet Exchange/Sequenced Packet Exchange) ของบริษัทโนเวลล์ <br />\n</span><span style=\"layout-grid-mode: line; color: #000000; font-family: MS Sans Serif\" lang=\"en-us\">        </span><span class=\"space\"><span style=\"font-family: MS Sans Serif\" class=\"smalltext\"><b>TCP/IP</b> <span lang=\"en-us\">(Transmission Control Protocol/internet Protocol)</span><br />\n       หลายเทคโนโลยีที่เราท่านใช้อยู่ทั่วไปมีจุดกำเนิดจากเทคโนโลยีการสงคราม IP เน็ตเวิร์กก็เป็นหนึ่งในนั้น เมื่อครั้งสงครามเย็นระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต กระทรวงกลาโหมภายใต้รัฐบาลกลางสหรัฐฯ จ้างมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทำวิจัยเพื่อสร้างเครือข่ายที่ทนต่อความล้มเหลว (ด้วยระเบิดนิวเคลียร์) สิ่งที่ได้คือโพรโตคอล TCP/IP เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ใช้โพรโตคอลนี้เรียกสั้น ๆ ว่า TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol) คือชุดของโพรโตคอลที่รวมกันเป็นกลุ่มให้ใช้งานเช่น Internet Protocol (IP) , Address Resolution Protocol (ARP), Internet Control Message Protocol (ICMP), User Datagram Protocol (UDP) ฯลฯ แต่โพรโตคอลที่มีบทบาทสำคัญคือ Internet Protocal (IP) โดยมีหลักการทำงานคือ แบ่งเนื้อข้อมูลที่ต้องการส่งเป็นชิ้นเล็ก ๆ เรียกว่าแพ็กเก็ตส่งแพ็กเก็ตไปยังเส้นทางที่เหมาะสมเป็นทอดจนกว่าจะถึงปลายทาง แต่ละแพ็กเก็ตอาจใช้เส้นทางคนละทิศขึ้นกับการพิจารณาของเราเตอร์ในช่วงต่าง ๆ หากเกิดข้อผิดพลาด ณ ช่วงการส่งใด เราเตอร์ที่รับผิดชอบการส่งช่วงนั้นจะจัดส่งแพ็กเก็ตชิ้นนั้นใหม่โดยอัตโนมัติ เมื่อถึงจุดหมายระบบปลายทางจะรวบรวมแพ็กเก็ตกลับให้เป็นเนื้อข้อมูลดังเดิม ซึ่งถ้าจะว่ากันตามทฤษฏีแล้ว TCP/IP นั้นจะประกอบด้วยส่วนสำคัญอยู่ 2 ส่วนด้วยกันก็คือ TCP หรือ Transmission Control Protocol และอีกส่วนก็คือ IP หรือ Internet Protocol นั่นเอง การแบ่งลักษณะในการทำงานก็จะแบ่งเป็น TCP มีหน้าที่ในการตรวจสอบการรับส่งข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ผู้รับ และเครื่องคอมพิวเตอร์ผู้ส่ง ให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนหรือว่าหากมีการสูญหายของข้อมูลก็จะมีการแจ้งให้ต้นทางที่ส่งข้อมูลมารับทราบแล้วให้ทำการส่งข้อมูลมาให้ใหม่<br />\n       <b>ลักษณะการทำงาน</b><br />\n       ลักษณะการทำงานของ IP นั้น จะทำหน้าที่ในการเลือกเส้นทางที่จะใช้ในการรับส่งข้อมูลในระบบเครือข่าย และทำการตรวจสอบที่อยู่ของผู้รับโดยการใช้ข้อมูลขนาด 4 Byte เป็นตัวกำหนดแอดเดรสหรือที่เราเรียกกันว่า IP Address ซึ่งโพรโตคอล TCP จะทำงานอยู่ในชั้น Transport Layer ตัวแพ็กเก็ต TCP จะประกอบด้วย ส่วนหัว (Header) และส่วนข้อมูล (Data) และโพรโตคอล IP จะทำงานอยู่ในชั้น Network Layer ตัวแพ็กเก็ต IP ประกอบด้วย 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ ส่วนหัว (IP Header) จะประกอบด้วย IP แอดเดรสของเครื่องต้นทางและปลายทาง และส่วนข้อมูล (IP Data) จะเป็นที่เก็บโพรโตคอล TCP เนื่องจากโพรโตคอล TCP/IP จะถูก Encapsulate ให้มาอยู่ในส่วนของแพ็กเก็ต IP<br />\n       <b>จุดเด่นของโพรโตคอล TCP/IP คือ</b><br />\n       1. สามารถนำส่งข้อมูลไปถึงจุดหมายได้แม้เส้นทางบางที่เสียหาย : เป็นจุดประสงค์หลักที่ช่วยให้ทนต่อความล้มเหลว โดยหากระหว่างการสื่อสารข้อมูลและมีเส้นทางใดเสียหายหรือล้มเหลว IP เน็ตเวิร์กจะปรับใช้เส้นทางอื่นที่ทดแทนได้เพื่อนำส่งข้อมูลให้ไปถึงปลายทางอย่างอัตโนมัติ ผู้ส่งและผู้รับข้อมูลไม่จำเป็นต้องรับรู้หรือปรับตัวแต่ประการใด<br />\n       2. ไม่ขึ้นกับแพลตฟอร์มใด ๆ : ไม่ว่าเครือข่ายนั้นเป็นเครือข่ายท้องถิ่นหรือเครื่อข่ายระหว่างภูมิภาค เป็นไฟล์/พรินต์เซิร์ฟเวอร์หรือไคลเอ็นต์/เซิร์ฟเวอร์ เป็นระบบปฏิบัติการใด เน็ตเวิร์กอินเทอร์เฟซเป็นแบบใดก็ตาม ในมุมมองของโพรโตคอล TCP/IP ก็คือ IP เน็ตเวิร์ก<br />\n       <b>จุดอ่อนของ IP มี 2 ประเด็นคือ</b><br />\n       <b>1. รับส่งโดยไม่มีการรักษาความปลอดภัยเนื้อข้อมูล :</b> การรับส่งข้อมูลด้วย IP แพ็กเก็ตไม่มีทั้งการเข้ารหัสข้อมูลและป้องกันการปลอมแปลงใด ๆ การไม่เข้ารหัสข้อมูลอาจทำให้ผู้ไม่ประสงค์ดีระหว่างเส้นทางที่ IP แพ็กเก็ตผ่านดักลอบดูเนื้อข้อมูลอย่างง่ายดาย แม้ว่าเราอาจสามารถบังคับเส้นทางของ IP แพ็กเก็ตได้ก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าระหว่างทางมีการดักลอบดูหรือไม่<br />\n       ในเรื่องปัญหาการปลอมแปลงแบ่งออกเป็นสองกรณีคือ การปลอมแปลงหรือดัดแปลงเนื้อข้อมูล และการปลอมแปลงส่วนหัวของ IP แพ็กเก็ต ทั้งสองกรณีให้ผลเหมือนกันคือผู้รับได้ข้อมูลที่ผิดจากความเป็นจริง ทว่าจุดประสงค์ต่างกัน หากเป็นกรณีแรกนั้น ผู้ไม่หวังดีต้องการหลอกหรือกลั่นแกล้งให้ได้ข้อมูลผิด ๆ หากเป็นกรณีหลัง ผู้ไม่หวังดีต้องการแอบอ้างว่าข้อมูลนั้นมากจากแหล่งที่ผู้รับไว้ใจหรือแหล่งอื่นที่กลายเป็เหยื่อของการแอบอ้างโดยไม่รู้ตัว<br />\n       <b>2. รับส่งโดยไม่คำนึงถึงคุณภาพการให้บริการ :</b> การรับส่งต่อ IP แพ็กเก็ตระหว่างเครือข่ายย่อยไปเป็นทอดนั้นใช้หลักการใครมาก่อนได้ก่อน ฉะนั้นจึงคาดเดาไม่ได้ว่าข้อมูลที่นำส่งไปจะไปถึงปลายทางเมื่อใด แม้ว่า IP เน็ตเวิร์กใช้หลักการเลือกเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดในขณะนั้นก็ตาม หากแต่ความเหมาะสมนั้นผู้ส่งและผู้รับไม่อาจคาดการณ์หรือมีส่วนร่วมตัดสินใจได้เลยว่าจะช้าเร็วหรือมีโอกาสที่ข้อมูลผิดพลาดมากน้อยเพียงไร<br />\n       เมื่อมีปัญหาย่อมมีทางแก้ไข สำหรับเรื่องการรับส่งโดยไม่มีการรักษาความปลอดภัยเนื้อข้อมูลนั้น องค์กรกลางของอินเทอร์เน็ตได้ออกมาตรฐานที่ช่วยแก้ไขปัญหานี้คือ IPSec โดยมีทั้งการเข้าและถอดรหัสเนื้อข้อมูลในระดับ IP แพ็กเก็ตการตรวจสอบความถูกต้องเนื้อข้อมูลและการพิสูจน์ตนของ IP แพ็กเก็ตเพื่อป้องกันการปลอมแปลง<br />\n       ส่วนเรื่องการรับส่งโดยไม่คำนึงถึงคุณภาพการให้บริการ ตามจริงแล้วมาตรฐานแต่ต้นของ IP เน็ตเวิร์กมีการจัดลำดับความสำคัญของ IP แพ็กเก็ต โดยเป็นแฟล็ก Type of Service สองกลุ่ม กลุ่มแรกเป็นเลขลำดับความสำคัญยิ่งมีค่ามากยิ่งสำคัญมาก (ใช้แนวคิดไพรออริตี้คิว) กลุ่มที่สองเป็นประเภทของงานที่ใช้ IP แพ็กเก็ตนั้นมีสามประเภทคือ งานที่มีความล่าช้าสูง งานที่ต้องการทรูพุตสูงและงานที่ต้องการความน่าเชื่อถือสูง แต่กลับไม่มีใครใส่ใจแฟล็กลำดับความสำคัญเพื่อพิจารณาส่งต่อ IP แพ็กเก็ต หาทางแก้ไขมีสองแนวทางคือให้เป็นหน้าที่ของระดับดาต้าลิงก์ (ระดับล่างของระดับเน็ตเวิร์ก) หรือส่งเสริมให้การส่งต่อ IP แพ็กเก็ตพิจารณาแฟล็กลำดับความสำคัญดังกล่าว<br />\n       เหตุที่อินเทอร์เน็ตใช้รูปแบบของโพรโตคอล IP ก็เพราะว่า ณ เวลาที่มีการออกแบบนั้น ระบบเครือข่ายยังมีความเร็วต่ำ และมีสัญญาณรบกวนมาก อีกทั้งการใช้งานในขณะนั้นก็มีเพียงอีเมล์ FTP, Usenet News และการใช้งานออนไลน์แบบเช่น Telnet ซึ่ง ล้วนแล้วแต่อยู่ในรูปแบบของตัวษรเท่านั้น (Text Mode) ดังนั้นเพียงเท่านี้ ก็เพียงพอกับการทำงาน ต่อมาเมื่อินเทอร์เน็ตได้ขยายการเชื่อมโยงออกไปทั่วโลก ข้อจำกัดที่สำคัญที่เกิดขึ้นจากการออกแบบในยุคเริ่มต้น ก็ก่อปัญหาขึ้น<br />\n       เมื่อมีการออกแบบและสร้างไฮเปอร์เท็กซ์ (HTML) ขึ้น ทำให้มีเครือข่าย WWW ที่มีการประยุกต์รูปภาพ เสียง และวีดีโอ บนเครือข่าย ทำให้การใช้งานบนระบบต้องการความเร็วและแบนด์วิดธ์มีความต้องการเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงความต้องการในเรื่องคุณภาพ หรือ Qos (Quality of Service) ซึ่งหากต้องการส่งข้อมูลด้านเสียง หรือ ภาพ สำหรับโทรทัศน์วิทยุ หรือ โทรศัพท์แล้ว ก็ต้องการส่งข้อมูลด้านเสียงหรือภาพ สำหรับโทรทัศน์ วิทยุ หรือโทรศัพท์แล้ว ก็ต้องการคุณภาพ ความคมชัด และชัดเจนในระดับที่ยอมรับได้ ไม่ติดขัด มีการนำเอาเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมาประยกตุ์ใช้งานต่าง ๆ อีกมากมาย ตั้งแต่ระบบ Online ระบบ E-Commerce ระบบการศึกษาเช่น Vitual ClassRoom หรืองานสอนทางไกล การทำ Video Conference หรือ การประชุมทางไกล ซึ่งการประยุกต์เหล่านี้ ล้วนต้องการความเร็วในการรองรับ และ Qos ที่สูงมาก ๆ โดยเฉพาะในเรื่องความเร็วที่จะต้องเพิ่มจาก 10 เป็น 100 เป็น 1,000 ระดับกิกะบิต</span></span>\n</p>\n<p style=\"text-indent: 36pt\" class=\"MsoNormal\">\n<span class=\"space\"><span style=\"font-family: MS Sans Serif\" class=\"smalltext\">                                                                                   </span></span></p>\n<div style=\"text-align: center\">\n<img border=\"0\" width=\"316\" src=\"/files/u10083/tree.gif\" height=\"377\" />\n</div>\n<p>\n       <b>บริการและการประยุกต์</b><br />\n       บริการและโพรโตคอลใสนระดับการใช้งานหรือแอพพลิตเคชันสำหรับ IP เน็ตเวิร์กแบ่งออกเป็น 2ประเภท คือ มุ่งเน้นความถูกต้อง และมุ่งเน้นความทันเวลา บริการและโพรโตคอลที่มุ่งเน้นความถูกต้อง เช่น FTP NFS SMTP TELNET เป็นต้น บริการและโพรโตคอลที่มุ่งเน้นความทันเวลา เช่น VoIP มัลติมีเดียสตรีมมิง เป็นต้น จะเห็นได้ว่าบริการและโพรโตคอลส่วนใหญ่ข้างต้นมุ่งเน้นความถูกต้องในการสื่อสารข้อมูลเป็นหลัก เกิดความล่าช้าขึ้นข้างก็ไม่เป็นไร แต่หากข้อมูลผิดแม้บิตเดียวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ต้องรับส่งข้อมูลชิ้นนั้นใหม่ทั้งหมด<br />\n       ส่วนลักษณะการสื่อสารข้อมูลเสียงและภาพเคลื่อนไหวต้องให้ความสำคัญต่อเวลา การบริการและโพรโตคอลจึงเน้นความทันต่อเวลาเป็นหลัก ตัวอย่างเช่น การรับส่งข้อมูลเสียงด้วย VoIP นั้นยอมให้มีความผิดพลาดในข้อมูลที่รับส่งได้ระดับหนึ่ง (ส่งและรับไปทั้งที่ผิด ไม่ต้องส่งใหม่) แต่ต้องมีการกำหนด Qos (Quality of Service) ในเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนของการใช้งานได้ (Availabitity) ที่ทฤษฏีกล่าวไว้ว่าต้องลดเวลาดาวน์ไทม์ต่าง ๆ ให้เป็นศูนย์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่สามารถปฏิบัตได้ นอกจากนี้ยังต้องควบคุมให้ระยะเวลาในการสื่อสารนั้นน้อยที่สุดและคงที่ มิฉะนั้นเสียงสนทนาอาจเกิดการกระตุก ส่งผลต่อความพึงพอใจในการใช้งานของผู้ใช้<br />\n       <b>IP ต้องใช้ IP เน็ตเวิร์กจริงหรือไม่</b><br />\n       นอกจากแนวความคิดในการนำ IP เน็ตเวิร์กมาผูกติดกับการใช้เป็น VoLP ยังมีแนวความคิดในการนำ IP ไปใช้บนเทคโนโลยีเครือข่ายอื่น ๆ เช่น ทำเป็น VoLP over Frame Relay, IP VPN over Frame Relay, VolP over ATM เป็นต้น ซึ่งเป็นการนำ IP แอดเดรสที่มีอยู่เดิมไปใช้บนเทคโนโลยีเครือข่ายในการส่งข้อมูลที่เป็นทั้งรูปแบบเสียง และข้อมูลบนเน็ตเวิร์กมากกว่าโมเด็มที่มีอยู่ในปัจจุบันมากหลายเท่าตัว<br />\n       ไม่ว่าเราจะพูดเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น Frame Relay, IP หรือ ATM ก็ใช้เทคโนโลยีในการส่งข้อมูลออกไปเป็นแพ็กเก็ต แตกต่างที่ Frame Relay ส่งข้อมูลแบบ Fast Packet หรือ FastFrame ส่วน ATM จะเป็นแบบ Fast Cell ดังนั้น จึงมีการนำความคผิดนี้ไปผสานกับเทคโนโลยีของ IP ที่มีการส่งข้อมูลเป็นแฟรมหรือแพ็กเก็ตออกไปยังเครือข่าย แนวความคิดนี้จึงทำให้เทคโนโลยีเครือข่าย Frame Relay และ ATM ผสานกับ IP ได้อย่างลงตัว ทำให้การส่งข้อมูลแบบ IP ไปบนเครือข่ายดังกล่าวมีความปลอดภัย น่าเชื่อถือมากขึ้น จึงทำให้การส่งข้อมูลภายในเน็ตเวิร์กรวดเร็วขึ้น<br />\n       การส่งข้อมูลแพ็กเก็ตจะมีคุณสมบัติที่ดีกว่าการส่งในรูปแบบของเซอร์กิตสวิตซ์ เพราะจะมีเสถียรภาพมากกว่า มีความผิดพลาดในการส่งข้อมูลที่น้อยกว่าเมื่อเกิดความผิดพลาดก็สามารถส่งข้อมูลในช่วงที่มีความผิดพลาดไปใหม่ได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องส่งไปใหม่ทั้งหมด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เทคโนโลยี ATM จึงเป็นที่นิยมกัน<br />\n       อีกทั้งเทคโนโลยีการส่งข้อมูลนั้น บางครั้งอาจจะส่งผลถึงข้อมูลที่มีการส่งอีกด้วย โดยเฉพาะ เสียงที่ถือว่าเป็นข้อมูลที่ค่อนข้างอ่อนไหวต่อการส่งข้อมูลเป็นอย่างมาก เพราะต้องส่งข้อมูลที่เป็นแบบเรียลไทม์ ปัญหาของการส่งข้อมูลด้วยเสียง เป็นปัญหาสำหรับในเครือข่ายแบ็กโบนต่าง ๆ ด้วยเทคโนโลยีการส่งแบบแพ็กเก็ตจึงถูกนำมาแก้ไขปัญหาเหล่านี้<br />\n       เช่นเดียวกัน IP ก็ได้ถูกพัฒนาไปใช้กับเทคโนโลยี Frame Relay ที่ถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่มีความยึดหยุ่นในการใช้งานแบนด์วิดธ์ เพราะฉะนั้นเทคโนโลยี Frame Relay จึงสามารถกำหนดให้ส่งข้อมูลที่มีลักษณะอ่อนไหวอย่างเช่นเสียงให้ส่งในลำดับแรก ๆ ได้<br />\n       อย่างที่ทราบกันดีว่า จุดอ่อนของ IP จะอยู่ที่ Qos ที่ไม่สามารถควบคุมการส่งข้อมูลไปยังปลายทาง ซึ่งต้องมีการจัดคิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่ง IP ยังไม่สามารถทำได้ดีเท่าที่ควร แต่เมื่อมีการนำ IP ไปใช้ผสานกับเทคโนโลยีเครือข่าย ATM และ Frame Relay ทำให้สามารถกำหนดช่องสื่อสารเฉพาะสำหรับการประยุกต์บางอย่าง และสามารถกำหนดขนาดของแบนด์วิดธ์ให้ใช้งานได้ตามที่ผู้ใช้ต้องการส่งข้อมูล<br />\n       เครือข่าย IP ตอนนี้อาจจะอยู่ในช่วงที่มีผู้สนใจมากมาย เพราะมีหลายหน่วยงานที่เริ่มประยุกต์เข้ากับงานธุรกิจของตนเอง อาจจะเนื่องจากมีราคาและค่าใช้จ่ายที่ไม่แพงจนเกินไปนัก แต่ถ้างานกลุ่มธุรกิจนั้นต้องการความปลอดภัยต้องการคุณภาพของการใช้งานของสัญญาณ เทคโนโลยีเครือข่ายอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีเครือข่ายในรูปแบบ ATM หรือ Frame Relay น่าจะเป็นรูปแบบที่ลงตัวกับคำตอบของคุณที่จะนำไปใช้กับกลุ่มเครือข่ายของธุรกิจของคุณได้ดีมากกว่า<br />\n \n</p>\n<!--pagebreak--><!--pagebreak--><p>\n<b class=\"ccna1\"><span lang=\"th\">        </span>IPX/SPX </b>\n</p>\n<p>\n     <span class=\"ccna1\"><span lang=\"th\">    </span>เป็น Protocol ของบริษัท Novell ซึ่งพัฒนาขึ้นมาใช้กับ Net ware มีพื้นฐานมาจาก Protocol XNS (Xerox Network Services) ของบริษัท Xerox Protocol IPX (Internetwork Packet Exchange) จะเป็น Protocol ที่ทำงานอยู่ใน Network Layer ใช้จัดการการแลกเปลี่ยน packet ภายใน Network ทั้งในส่วนของการหาปลายทางและการจัดส่ง packet ส่วน SPX (Sequenced Packet Exchange) จะเป็น Protocol ที่ทำงานอยู่ใน Transport Layer โดยมีหน้าที่ในการจัดการให้ข้อมูลส่งไปถึงจุดหมายได้อย่างแน่นอน</span>\n</p>\n<p>\n<b class=\"ccna1\"><span lang=\"th\">        </span>NetBOIS และ NetBEUI</b>\n</p>\n<p>\n     <span class=\"ccna1\"><span lang=\"th\">    </span>Protocol NetBIOS (Network Basic Input/Output System) พัฒนาร่วมกันโดย IBM และ Microsoft มีการใช้งานอยู่ในเครือข่ายหลายๆ ชนิด อย่างไรก็ดี NetBIOS เป็นProtocol ที่ ทำงานอยู่ในระดับ Session Layer เท่านั้น จึงไม่ได้เป็น Protocol สำหรับเครือข่ายโดยสมบูรณ์ Microsoft จึงได้พัฒนา Protocol NetBEUI (NetBIOS Extended User Interface) ซึ่งเป็นส่วนขยายเพิ่มเติมของ NetBIOS ที่ทำงานอยู่ใน Network Layer และ Transport Layer จะพบการใช้งานได้ใน Windows for Workgroups และ Windows NT </span>\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\">\n<span style=\"font-family: MS Sans Serif\"><span lang=\"TH\"><b>      ระบบปฏิบัติการเครือข่าย<br />\n</b><br />\n</span></span><span style=\"layout-grid-mode: line; color: #000000; font-family: MS Sans Serif\" lang=\"en-us\">        </span><span style=\"layout-grid-mode: line; color: #000000; font-family: MS Sans Serif\" lang=\"TH\">ระบบปฏิบัติการ หรือ  OS  (Operating System) ทำหน้าที่จัดการเกี่ยวกับการเข้าใช้ทรัพยากรต่าง ๆ  ของโปรแกรมที่รัดบนคอมพิวเตอร์ เช่น หน่วยความจำ ฮาร์ดดิสก์ จอภาพ คียืบอร์ด เมาส์   ถ้าไม่มีระบบนี้  คอมพิวเตอร์ จะไม่สามารถรันโปรแกรมได้ ระบบปฏิบัติการเครือข่าย หรือ NOS ( Network  Operation System)  ทำหน้าที่จัดการเกี่ยวกับการสื่อสารผ่านเครือข่าย และใช้ทรัพยากรที่มีในเครือข่าย</span>\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\">\n        สรุป\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\">\n&nbsp;\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\">\nความเป็นมาของเครือข่าย\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\">\n        หากย้อนไปเมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้ว คอมพิวเตอร์เครื่องแรกกำเนิดขึ้นที่มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ต่อมาคอมพิวเตอร์ก็มีบทบาทสร้างสรรค์สังคมมนุษย์เข้ามาช่วยเหลืองานต่าง ๆ ของมนุษย์มากมาย จินตนาการการสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์มีมานานแล้ว โดยเฉพาะในนิยายวิทยาศาสตร์ ผู้เขียนนิยายวิทยาศาสตร์หลายท่านได้สร้างจินตนาการให้เห็นระบบสื่อสารที่ทรงพลัง โดยมีคอมพิวเตอร์ช่วยเป็นสื่อในการรับส่งข้อมูลระหว่างกัน <br />\n        จุดเริ่มต้นของเครือข่ายคอมพิวเตอร์เริ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1962 Licklider แห่งมหาวิทยาลัย MIT ได้บันทึกแนวคิดเกี่ยวกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ชื่อ Galactic Network โดยแสดงจินตนาการให้เห็นหลักการของเครือข่ายทางวิชาการ พร้อมทั้งประโยชน์ที่จะใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ในการพูดคุย สื่อสาร อภิปราย ส่งข่าวระหว่างกัน และเชื่อมโยงกันทั่วโลก ต่อมา Licklider ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าทีมงานวิจัยตามความต้องการของกระทรวงกลาโหม ประเทศสหรัฐอเมริกัน ในโครงการที่ชื่อ DARPA ร่วมกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทางด้านคอมพิวเตอร์และเครือข่ายอีกหลายคน\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\">\n&nbsp;\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\">\nเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) คือระบบที่มีคอมพิวเตอร์อย่างน้อยสองเครื่องเชื่อมต่อกันโดยใช้สื่อกลาง และสามารถสื่อสารข้อมูลกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและได้และใช้ทรัพยากรที่อยู่ในเครือข่ายร่วมกันได้ และทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นจำนวนมาก เช่น เวบ  อีเมล  FTP\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\">\n<br />\nประเภทของเครือข่าย\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\">\nเครือข่ายท้องถิ่น  (Local Area Network : LAN)\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\">\nเครือข่ายเมือง (Metropolitan Area Network : MAN)\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\">\nเครือข่ายบริเวณกว้าง ( Wide Area Network : WAN)\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\">\n<br />\nโครงสร้างการเชื่อมต่อแบบ LAN\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\">\nเครือข่ายแบบบัส (Bus Network)\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\">\nเครือข่ายแบบดาว (Star Network)\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\">\nเครือข่ายแบบวงแหวน (Ring Network)\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\">\nเครือข่ายแบบต้นไม้ (Tree Network)\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\">\n<span style=\"layout-grid-mode: line; color: #000000; font-family: MS Sans Serif\" lang=\"TH\">อ้างอิงจาก  <a href=\"http://www.ds.ru.ac.th/Comp/W_Chai41101_41102/Network.htm\">http://www.ds.ru.ac.th/Comp/W_Chai41101_41102/Network.htm</a><br />\n </span>\n</p>\n', created = 1729464222, expire = 1729550622, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:a0c2c0d7c6b35f3289a85c3445741711' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:86b4bdfd2d2a78f075d5a386a6b8988a' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p>\n<b><span style=\"font-family: MS Sans Serif\">ความเป็นมาของเครือข่าย</span></b>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: medium; font-family: MS Sans Serif\">       </span><span style=\"font-family: MS Sans Serif\"> หากย้อนไปเมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้ว คอมพิวเตอร์เครื่องแรกกำเนิดขึ้นที่มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ต่อมาคอมพิวเตอร์ก็มีบทบาทสร้างสรรค์สังคมมนุษย์เข้ามาช่วยเหลืองานต่าง ๆ ของมนุษย์มากมาย</span> <span style=\"font-family: MS Sans Serif\">จินตนาการการสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์มีมานานแล้ว โดยเฉพาะในนิยายวิทยาศาสตร์ ผู้เขียนนิยายวิทยาศาสตร์หลายท่านได้สร้างจินตนาการให้เห็นระบบสื่อสารที่ทรงพลัง โดยมีคอมพิวเตอร์ช่วยเป็นสื่อในการรับส่ง</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-family: MS Sans Serif\">ข้อมูลระหว่างกัน</span>                                              <img border=\"0\" width=\"200\" src=\"/files/u10083/wan_0.jpg\" height=\"226\" /><br />\n<span style=\"font-family: MS Sans Serif\">        </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-family: MS Sans Serif\">จุดเริ่มต้นของเครือข่ายคอมพิวเตอร์เริ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1962 Licklider แห่งมหาวิทยาลัย MIT ได้บันทึกแนวคิดเกี่ยวกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ชื่อ Galactic Network โดยแสดงจินตนาการให้เห็นหลักการของเครือข่ายทางวิชาการ พร้อมทั้งประโยชน์ที่จะใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ในการพูดคุย สื่อสาร อภิปราย ส่งข่าวระหว่างกัน และเชื่อมโยงกันทั่วโลก</span> <span style=\"font-family: MS Sans Serif\">ต่อมา Licklider ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าทีมงานวิจัยตามความต้องการของกระทรวงกลาโหม</span> <span style=\"font-family: MS Sans Serif\">ประเทศสหรัฐอเมริกัน ในโครงการที่ชื่อ DARPA ร่วมกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทางด้านคอมพิวเตอร์และเครือข่ายอีกหลายคน</span>\n</p>\n<p>\n                                                                                  \n</p>\n<p>\n<br />\n<b><span style=\"font-family: MS Sans Serif\">PACKET SWITCHING EMERGED</span><span style=\"font-size: xx-small; font-family: MS Sans Serif\"></span></b></p>\n<p><span style=\"font-family: MS Sans Serif\">ความคิดในช่วงแรกของการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์อาศัยหลักการพื้นฐานทางด้านการสวิตชิ่งของระบบโทรศัพท์ การเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ให้เชื่อมต่อกันในวงจรระหว่างจุดไปจุด จึงเรียกว่า &quot;การสวิตช์วงจร&quot; (Circuit Switching) จุดอ่อนของการสวิตช์วงจรที่เชื่อมระหว่างสองจุด ทำให้ใช้ข้อมูล ข่าวสารในเครือข่ายไม่เต็มประสิทธิภาพ และมีข้อยุ่งยากหากต้องการสื่อสารกันเป็นจำนวนมาก Leonard Kleinrock แห่งมหาวิทยาลัย MIT ได้เสนอแนวคิดในการสร้างเครือข่ายให้มีการรับส่ง ข้อมูลเป็นแพ็กเก็ต  (Packet)  โดยได้เสนอบทความในวารสารตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 1961 ต่อมาได้พิมพ์เป็นเล่มในปี ค.ศ. 1964 และเป็นหลักการที่ได้รับการยอมรับและนำมาใช้ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์จนถึงปัจจุบัน การสื่อสารบนเครือข่ายแบบแพ็กเก็ต (Packet) เป็นวิธีการที่ให้ผู้ส่งข่าวสารแบ่งแยกข่าวสารเป็นชิ้นเล็ก ๆ บรรจุเป็นกลุ่มข้อมูล โดยมีการกำหนดแอดเดรสปลายทางที่จะส่งข่าวสาร หลังจากนั้นระบบจะนำแพ็กเก็ต นั้นไปส่งยังหลายทาง ในปี ค.ศ. 1965 มีการทดลองการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขึ้นเป็นครั้งแรกระหว่างมหาวิทยาลัย MIT กับมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ผ่านทางสายโทรศัพท์และใช้หลักการแพ็กเก็ต ความคิดทางด้านการรับส่งข้อมูลเป็นชิ้นเล็ก ๆ แบบแพ็กเก็ตได้รับการยอมรับ จนในที่สุดมีการพัฒนาจากแนวความคิดนี้ไปหลายแนวทาง จนได้วิธีการรับส่งบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์หลากหลายรูปแบบ ซึ่งเป็นจุดกำเนิดเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบต่าง ๆ เช่น 25, TCP/IP, Frame Relay etc. เมื่อมีการพัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อเชื่อมโยงถึงกัน ก็เกิดแนวคิดในการสร้างมาตรฐานที่จะทำให้ระบบการเชื่อมโยงมีลักษณะเปิดมากขึ้น กล่าวคือ การนำผลิตภัณฑ์หลากหลายยี่ห้อมาเชื่อมต่อกันได้ จึงมีวิธีการแบ่งระดับการสื่อสารออกมาเป็นชั้น (Layer) แต่ละขั้นจะมีการวางมาตรฐานกลางเพื่อให้การเชื่อมเครือข่ายที่แตกต่างกันสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ </span>\n</p>\n<p>\n<b><span style=\"font-size: medium; font-family: MS Sans Serif\"></span><span lang=\"TH\"><span style=\"font-size: medium; font-family: MS Sans Serif\">เครือข่ายคอมพิวเตอร์คืออะไร</span></span></b>\n</p>\n<p style=\"text-indent: 36pt\" class=\"MsoNormal\">\n<span style=\"font-family: Microsoft Sans Serif\"><span style=\"layout-grid-mode: line; color: #000000\" lang=\"TH\">เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) คือระบบที่มีคอมพิวเตอร์อย่างน้อยสองเครื่องเชื่อมต่อกันโดยใช้สื่อกลาง และสามารถสื่อสารข้อมูลกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและได้และใช้ทรัพยากรที่อยู่ในเครือข่ายร่วมกันได้ และทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นจำนวนมาก เช่น เวบ  อีเมล  FTP</span></span><span style=\"layout-grid-mode: line; color: #000000; font-family: Microsoft Sans Serif\" lang=\"TH\"><br />\n</span><span style=\"font-size: 16pt; layout-grid-mode: line; color: #000000; font-family: AngsanaUPC\" lang=\"TH\"><br />\n</span><span style=\"color: #000000; font-family: MS Sans Serif\"><b>ประโยชน์ของระบบเครือข่าย</b><br />\n</span><span style=\"font-family: MS Sans Serif\"><span lang=\"en-us\">        </span>1. การใช้ Hardware ร่วมกัน<br />\n<span lang=\"en-us\">        </span>2. การใช้ Software ร่วมกัน<br />\n<span lang=\"en-us\">        </span>3. การต่อเชื่อมกับระบบอื่น<br />\n<span lang=\"en-us\">        </span>4. การใช้ระบบ Multiuser </span>\n</p>\n<dl>\n<dd><span style=\"font-family: MS Sans Serif\">1. การใช้ Hardware ร่วมกัน ดังที่ได้กล่าวไว้ในตอนต้นว่า ระบบ Network จะช่วยให้เราสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในเรื่อง Hardware ลงไปได้ ทั้งนี้เนื่องจากเราสามารถนำ Hardware บางประเภทมาใช้งานร่วมกันได้ ได้แก่<br />\n<span lang=\"en-us\">        </span><img width=\"11\" src=\"/bullet.gif\" height=\"11\" />Share Diskspace เป็นการใช้งานร่วมกันของเนื้อที่ที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ซึ่งรวม Harddisk และ CD ROMS (Compac-Disk Read-Only Memory) ซึ่งเราจะใช้ Harddisk หรือ CD ROMS จาก PC ที่เราเรียกว่า &quot;File Server นี้จะเป็นเครื่องที่ใช้ในการเก็บข้อมูล (Data) ของ User และ Software ของระบบทั้งหมด รวมทั้งควบคุมการทำงานของระบบ Network ด้วย </span></dd>\n<dd><span style=\"font-family: MS Sans Serif\">สืบเนื่องจากการใช้ Harddisk หรือ CD ROMS จาก File Serveร่วมกันทุกคน จึงทำให้ไม่จำเป็นที่จะต้องมี Harddisk ที่เครื่อง PC แต่ละเคริอง รวมทั้งไม่ต้องมี Floppy Disk Drive ใดๆอีกต่อไป เราจะเรียกเครื่อง PC ประเภทนี้ว่า &quot;Diskless Workstation&quot; หรือ &quot;Dump Terminal<br />\n<span lang=\"en-us\">        </span><img width=\"11\" src=\"/bullet.gif\" height=\"11\" /> Share Printer ในที่นี้เราจะขอกล่าวถึง Printer หรือเครื่องพิมพ์ก่อน ซึ่งเครื่องพิมพ์จะเป็นอุ)กรณ์ต่อพ่วง (Peripherals) ที่ใช้งานมากที่สุด โดยเฉพาะในปัจจุบันมี Printer ราคาสูงเกิดขึ้นมากมายโดยเฉพาะ Laser Printer และเครื่องพิมพ์สี (Color Printer) ซึ่งมีราคาแพง และจำเป็นต้องนำมาใช้งานร่วมกันเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด<br />\nนอกจากนั้นกรณีที่เรานำเครื่องพิมพ์มาใช้งานในระบบ Network มาก กว่า 1 เครื่อง เช่น Dot Matrix, Laser Printer, Color Printer, Ink Jet ฯลฯ เป็นต้น ในการส่งงานไปพิมพ์นั้น เราสามารถเลือกได้ว่าต้องการใช้งานเครื่องพิมพ์ชนิใดใช้งานได้ด้วย ซึ่งการทำงานง่ายและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น<br />\n<span style=\"font-size: medium\"><span lang=\"en-us\">        </span><img width=\"11\" src=\"/bullet.gif\" height=\"11\" /> Share Communication Devices</span></span><span style=\"font-size: medium; font-family: MS Sans Serif\"> หมายถึง การนำอุปกรณ์สื่อสารของระบบคอมพิวเตอร์มาใช้งานร่วมกัน เช่น &quot;Modem&quot; ซึ่งใช้ในการเปลี่ยนถ่ายข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ด้วยกันโดยอาศัยสายโทรศัพท์ นอกจาก Modem แล้วอุปกรณ์อีกอย่างหนึ่งที่สามารถนำมาใช้งานร่วมกันได้คือ &quot;FAX&quot; โดยเราสามารถพิมพ์ข้อมูลที่ &quot;Workstation&quot; ของเรา และส่งข้อมูลผ่านระบบ Network ไปที่เครื่อง FAX ได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องพิมพ์ลงกระดาษ แล้วเดินไปส่ง FAX ที่เครื่อง FAX อีกต่อไป </span></dd>\n<dt>  \n<div align=\"left\" style=\"width: 11px; height: 3px\">\n</div>\n<div align=\"left\">\n<b><span style=\"font-family: MS Sans Serif\"><span lang=\"en-us\">      </span>2. </span></b><span style=\"font-family: MS Sans Serif\">การใช้ Software ร่วมกัน Software ที่ใช้งานบนระบบ Network แบ่งออกเป็น Sofeware Packages และ Data ดังนั้นเราสามารถนำ Software ทั้ง 2 แบบ มาใช้งานร่วมกันได้<br />\n            <span lang=\"en-us\">    </span><img width=\"11\" src=\"/bullet.gif\" height=\"11\" />Share Software Packages ในปัจจุบันสิ่งที่เป็นปัญหาอยู่ก็คือ เรื่องของลิขสิทธิ์ทาง Software ถ้าเรายังคงมี PC แต่ละเครื่องใช้งานแยกกันอยู่ เราจำเป็นต้องซื้อ Software ที่ถูกต้องตามกฏหมายมาใช้งาน กล่าวคือ 1 ชุดต่อ 1 เครื่อง รวมทั้งยังต้องคอยระวังในเรื่องของการ Copy Software มาใช้งานเองของผู้ใช้แต่ละคนด้วย การนำระบบ &quot;Network&quot; มาใช้งานจะช่วยลดปัญหาของการทำผิดกฏหมายทางด้านลิขสิทธิ์ได้<br />\n            นอกจากนั้น Software ที่ใช้งานบนระบบ Network จะมีความคล่องตัวกว่า Software บน PC โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการซ่อมบำรุง ปรับปรุง Software ให้ถูกต้อง เช่น รุ่นที่ Upgrade มาใหม่ เราจะสามารถติดตั้งและ Upgrade Software ทั้ง 10 เครื่อง ซึ่งเสียเวลามาก<br />\n            นอกจากนั้นในกรณีที่เราใช้ Workstation ประเภท &quot;Diskless Workstation&quot; User จะไม่มีสิทธิ์ในการใช้งานแผ่น Disk เล่ย ทำให้เราสามารถขจัดปัญหาของ &quot;Virus&quot; ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ได้ รวมทั้งการตรวจสอบ Virus ก็ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบที่ PC แต่ละเครื่อง แต่ตรวจสอบที่ Flie Server เพียงเครื่องเดียว ทำให้ประหยัดเวลา และเกิดการทำงานที่คล่องแคล่วตัวมากยิ่งขึ้น </span>\n</div>\n</dt>\n<dd><span style=\"font-family: MS Sans Serif\"><span lang=\"en-us\">    </span>สำหรับเรื่องของ License หรือลิขสิทธิ์นั้น Software ที่จะนำมาใช้ในงานบนระบบ Network จะต้องเป็น Softwareรุ่น</span> </dd>\n<dt><span style=\"font-family: MS Sans Serif\">ของเน็ตเวอร์เท่านั้นซึ่งในปัจจุบันมี License Software สำหรับระบบ Network 2 แบบ คือ</span> </dt>\n<dd>\n<div align=\"left\">\n<span style=\"font-family: MS Sans Serif\"><span lang=\"en-us\">        </span>1.  สำหรับเรื่องของ License หรือลิขสิทธิ์นั้น Software ที่จะนำมาใช้ในงานบนระบบ Network จะต้องเป็น</span>\n</div>\n<div align=\"left\">\n<span style=\"font-family: MS Sans Serif\">Software รุ่น Network      </span>\n</div>\n</dd>\n<dd>\n<div align=\"left\">\n<span style=\"font-family: MS Sans Serif\"><span lang=\"en-us\">        </span>2.  Per User License หมายถึง Software ที่จะต้องระบุจำนวน User ลงไปเลยว่าต้องการใช้เท่าใด แต่การทำงานจริง ๆ<span lang=\"en-us\"> </span>แล้วจะใช้กี่คนพร้อมกันก็ได้ </span>\n</div>\n</dd>\n</dl>\n<p>\n<span style=\"font-family: MS Sans Serif\"><span lang=\"en-us\">        </span>Share Date ปัญหาที่เกิดขึ้นแน่นอน สำหรับการใช้งาน PC แยกกันคือ ในกรณีที่เราต้องการข้อมูลของ PC อีกเครื่องหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าข้อมูลนั้นมีขนาดใหญ่ หรือต้องการใช้งานข้อมูลร่วมกันบ่อย ๆ จะทำให้เสียเวลาในการ Copy ข้อมูลมาก ถ้าเรานำระบบ &quot;Network&quot; มาใช้งานข้อมูลของ User แต่ละคนจุถูกเก็บไว้ในที่เดียวกันคือ Harddisk ของ File Server ดังนั้น User แต่ละคนสามารถเรียกใช้ข้อมูลซึ่งกันและกันได้ทันที แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการกำหนดสิทธิในการเรียกใช้ข้อมูลของแต่ละ User ซึ่งเราสามารถกำหนดได้ว่า User คนใดสามารถใช้งานข้อมูลใดได้ถึงระดับใดบ้าง เนื้อหาในส่วนนี้จะได้กล่าวในลำดับต่อไป<br />\nจากประโยชน์ของการใช้ Software ร่วมกันนี้ ข้อมูลจะถูกเก็บอยู่ที่ File Server ข้อมูลจึงถูกต้อง ทันสมัย และรวดเร็ว (เรียกว่า เป็นการควบคุมข้อมูลที่จุดศูนย์กลาง) โดยแต่ละ Workstation สามารถใช้ข้อมูลของ Workstation อื่น ได้ทันที (ถ้ามีสิทธิ์) โดยไม่ต้องรีรอ จึงทำให้การทำงานสะดวกขึ้น (Flexible) นอกจากนั้น ยังลดขั้นตอนในการปฏิบัติงาน และลดเวลาในการทำงาน คือแทนที่จะต้องเสียเวลาในการรอข้อมูลซึ่งกันและกัน เพื่อที่จะทำงานขั้นต่อไป ก็ทำให้ต้องเสียเวลาและลดความผิดพลาดที่เกิดจากข้อมูลไม่ถูกต้องทันสมัย เช่น เมื่อมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าทำให้ฝ่ายขาย ขานสินค้นตามราคาใหม่ได้ทันที โดยไม่ต้องรอการแจ้งเปลี่ยนแปลงราคาจากส่วนควบคุมการตั้งราคา เป็นต้น<br />\n<b><span lang=\"en-us\">        </span>3. การต่อเชื่อมกับระบบอื่น</b><br />\nในระบบงานของ PC เมื่อต้องการนำ PC มาเชื่อมต่อกับระบบอื่น เช่น Mainframe หรือ Mini Computer จะต้องมีอุปกรณ์เชื่อมต่อพิเศษ เพื่อให้ PC นั้นสามารถทำงานร่วมกับระบบอื่นได้ เราเรียกขบวนการนี้ว่า &quot;Terminal Emulation&quot; ปัญหาก็คือ PC 1 เครื่องจะต้องมีอุปกรณ์พิเศษต่อเชื่อม 1 ชุด ซึ่งปกติจะมีราคาสูงมาก เมื่อทำงานที่มากขึ้น การต่อเชื่อมกับ PC เพียง 1 ชุด อาจไม่เพียงพอในการใช้งาน อาจจำเป็นต้องต่อมากยิ่งขึ้น ทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากตามไปด้วย<br />\nแต่ถ้าเรามีระบบ &quot;Network&quot; อยู่แล้ว เราสามารถนำ PC และอุปกรณ์ต่อเชื่อมสำหรับระบบอื่นเพียง 1 ชุดมาใช้งาน หลัก จาก นั้น Workstation เครื่องที่ไม่มี<br />\nอุปกรณ์ต่อเชื่อมนี้ก็สามารถเชื่อมต่อกับระบบอื่นได้ด้วย เสมือนมีอุปกรณ์เชื่อมต่อติดตั้งที่เครื่องของตนเอง ลักษณะเช่นนี้เราเรียกว่า &quot;Gateway&quot;<br />\n<b><span lang=\"en-us\">        </span>4.การใช้ระบบ Multlusers</b><span style=\"font-size: x-small\"><br />\n</span>การใช้ระบบ Multlusers หมายถึง ระบบที่ User สามารถใช้โปรแกรมหรือข้อมูลเดียวกันได้ครั้งละหลาย ๆ คน ซึ่ง &quot;Network&quot; นั้นสามารถใช้งานระบบนี้ได้เป็นอย่างดี ทำให้ในปัจจุบัน ผู้ใช้งานในระบบ Multlusers หรือ Minicomputers ได้หันมาเล็งเห็นถึงความสำคัญของระบบ Network และเริ่มใช้งานระบบนี้มากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเห็นได้ชัดเจนของการทำงานในระบบ Multlusers ได้แก่</span></p>\n<p><span lang=\"en-us\">                </span><img width=\"12\" src=\"/bullet.gif\" height=\"11\" />E-Mall (Electronic Mail) ซึ่ง User แต่ละคนสามารถส่งและรับข้อมูลหรือข่าวสารซึ่งกันและกันได้ โดยผ่านทาง Workstation ของตนเอง มีโปรแกรมที่ใช้งานแบบ E-Mall ได้มากมายเช่น WorkPerfect Office, CC-Mail, ฯลฯ เป็นต้น<br />\n<span lang=\"en-us\">                </span><img width=\"12\" src=\"/bullet.gif\" height=\"11\" />Schedule หรือ Group Calendar เป็นโปรแกรมที่รวบรวมปฏิทินรายวันของ User แต่ละคนมารวมกันเป็นตาราง (Schedule) ของทั้งระบบ ทำให้ผู้จัดการระบบสามารถทราบนัดหมายต่าง ๆ ของ User แต่ละคนได้ และวางแผนการทำงานได้สะดวกยิ่งขึ้น เช่น WordPerfect Office<br />\n<span lang=\"en-us\">                </span><img width=\"11\" src=\"/bullet.gif\" height=\"11\" />Database สามารถใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลเดียวกันได้พร้อม ๆ กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน File ได้ถูกพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น จนมี File Server เฉพาะสำหรับงาน Database เรียกว่า Database Server ซึ่งเป็น Server ชนิดพิเศษที่มีความเร็วสูงในการเรียกใช้และปรับปรุงข้อมูลในDatabase มีผู้กล่าวว่า ประสิทธิภาพในการทำงานของ Database Server นี้ใกล้เคียงหรืออาจจะดีกว่าแบบ Minicomputer เสียอีก\n</p>\n', created = 1729464222, expire = 1729550622, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:86b4bdfd2d2a78f075d5a386a6b8988a' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.

ความหมาย และความเป็นมาของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

รูปภาพของ dsp5996

ความเป็นมาของเครือข่าย

        หากย้อนไปเมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้ว คอมพิวเตอร์เครื่องแรกกำเนิดขึ้นที่มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ต่อมาคอมพิวเตอร์ก็มีบทบาทสร้างสรรค์สังคมมนุษย์เข้ามาช่วยเหลืองานต่าง ๆ ของมนุษย์มากมาย จินตนาการการสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์มีมานานแล้ว โดยเฉพาะในนิยายวิทยาศาสตร์ ผู้เขียนนิยายวิทยาศาสตร์หลายท่านได้สร้างจินตนาการให้เห็นระบบสื่อสารที่ทรงพลัง โดยมีคอมพิวเตอร์ช่วยเป็นสื่อในการรับส่ง

ข้อมูลระหว่างกัน                                              
       

จุดเริ่มต้นของเครือข่ายคอมพิวเตอร์เริ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1962 Licklider แห่งมหาวิทยาลัย MIT ได้บันทึกแนวคิดเกี่ยวกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ชื่อ Galactic Network โดยแสดงจินตนาการให้เห็นหลักการของเครือข่ายทางวิชาการ พร้อมทั้งประโยชน์ที่จะใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ในการพูดคุย สื่อสาร อภิปราย ส่งข่าวระหว่างกัน และเชื่อมโยงกันทั่วโลก ต่อมา Licklider ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าทีมงานวิจัยตามความต้องการของกระทรวงกลาโหม ประเทศสหรัฐอเมริกัน ในโครงการที่ชื่อ DARPA ร่วมกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทางด้านคอมพิวเตอร์และเครือข่ายอีกหลายคน

                                                                                  


PACKET SWITCHING EMERGED

ความคิดในช่วงแรกของการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์อาศัยหลักการพื้นฐานทางด้านการสวิตชิ่งของระบบโทรศัพท์ การเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ให้เชื่อมต่อกันในวงจรระหว่างจุดไปจุด จึงเรียกว่า "การสวิตช์วงจร" (Circuit Switching) จุดอ่อนของการสวิตช์วงจรที่เชื่อมระหว่างสองจุด ทำให้ใช้ข้อมูล ข่าวสารในเครือข่ายไม่เต็มประสิทธิภาพ และมีข้อยุ่งยากหากต้องการสื่อสารกันเป็นจำนวนมาก Leonard Kleinrock แห่งมหาวิทยาลัย MIT ได้เสนอแนวคิดในการสร้างเครือข่ายให้มีการรับส่ง ข้อมูลเป็นแพ็กเก็ต  (Packet)  โดยได้เสนอบทความในวารสารตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 1961 ต่อมาได้พิมพ์เป็นเล่มในปี ค.ศ. 1964 และเป็นหลักการที่ได้รับการยอมรับและนำมาใช้ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์จนถึงปัจจุบัน การสื่อสารบนเครือข่ายแบบแพ็กเก็ต (Packet) เป็นวิธีการที่ให้ผู้ส่งข่าวสารแบ่งแยกข่าวสารเป็นชิ้นเล็ก ๆ บรรจุเป็นกลุ่มข้อมูล โดยมีการกำหนดแอดเดรสปลายทางที่จะส่งข่าวสาร หลังจากนั้นระบบจะนำแพ็กเก็ต นั้นไปส่งยังหลายทาง ในปี ค.ศ. 1965 มีการทดลองการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขึ้นเป็นครั้งแรกระหว่างมหาวิทยาลัย MIT กับมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ผ่านทางสายโทรศัพท์และใช้หลักการแพ็กเก็ต ความคิดทางด้านการรับส่งข้อมูลเป็นชิ้นเล็ก ๆ แบบแพ็กเก็ตได้รับการยอมรับ จนในที่สุดมีการพัฒนาจากแนวความคิดนี้ไปหลายแนวทาง จนได้วิธีการรับส่งบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์หลากหลายรูปแบบ ซึ่งเป็นจุดกำเนิดเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบต่าง ๆ เช่น 25, TCP/IP, Frame Relay etc. เมื่อมีการพัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อเชื่อมโยงถึงกัน ก็เกิดแนวคิดในการสร้างมาตรฐานที่จะทำให้ระบบการเชื่อมโยงมีลักษณะเปิดมากขึ้น กล่าวคือ การนำผลิตภัณฑ์หลากหลายยี่ห้อมาเชื่อมต่อกันได้ จึงมีวิธีการแบ่งระดับการสื่อสารออกมาเป็นชั้น (Layer) แต่ละขั้นจะมีการวางมาตรฐานกลางเพื่อให้การเชื่อมเครือข่ายที่แตกต่างกันสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้

เครือข่ายคอมพิวเตอร์คืออะไร

เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) คือระบบที่มีคอมพิวเตอร์อย่างน้อยสองเครื่องเชื่อมต่อกันโดยใช้สื่อกลาง และสามารถสื่อสารข้อมูลกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและได้และใช้ทรัพยากรที่อยู่ในเครือข่ายร่วมกันได้ และทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นจำนวนมาก เช่น เวบ  อีเมล  FTP

ประโยชน์ของระบบเครือข่าย
        1. การใช้ Hardware ร่วมกัน
        2. การใช้ Software ร่วมกัน
        3. การต่อเชื่อมกับระบบอื่น
        4. การใช้ระบบ Multiuser

1. การใช้ Hardware ร่วมกัน ดังที่ได้กล่าวไว้ในตอนต้นว่า ระบบ Network จะช่วยให้เราสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในเรื่อง Hardware ลงไปได้ ทั้งนี้เนื่องจากเราสามารถนำ Hardware บางประเภทมาใช้งานร่วมกันได้ ได้แก่
        Share Diskspace เป็นการใช้งานร่วมกันของเนื้อที่ที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ซึ่งรวม Harddisk และ CD ROMS (Compac-Disk Read-Only Memory) ซึ่งเราจะใช้ Harddisk หรือ CD ROMS จาก PC ที่เราเรียกว่า "File Server นี้จะเป็นเครื่องที่ใช้ในการเก็บข้อมูล (Data) ของ User และ Software ของระบบทั้งหมด รวมทั้งควบคุมการทำงานของระบบ Network ด้วย
สืบเนื่องจากการใช้ Harddisk หรือ CD ROMS จาก File Serveร่วมกันทุกคน จึงทำให้ไม่จำเป็นที่จะต้องมี Harddisk ที่เครื่อง PC แต่ละเคริอง รวมทั้งไม่ต้องมี Floppy Disk Drive ใดๆอีกต่อไป เราจะเรียกเครื่อง PC ประเภทนี้ว่า "Diskless Workstation" หรือ "Dump Terminal
        Share Printer ในที่นี้เราจะขอกล่าวถึง Printer หรือเครื่องพิมพ์ก่อน ซึ่งเครื่องพิมพ์จะเป็นอุ)กรณ์ต่อพ่วง (Peripherals) ที่ใช้งานมากที่สุด โดยเฉพาะในปัจจุบันมี Printer ราคาสูงเกิดขึ้นมากมายโดยเฉพาะ Laser Printer และเครื่องพิมพ์สี (Color Printer) ซึ่งมีราคาแพง และจำเป็นต้องนำมาใช้งานร่วมกันเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
นอกจากนั้นกรณีที่เรานำเครื่องพิมพ์มาใช้งานในระบบ Network มาก กว่า 1 เครื่อง เช่น Dot Matrix, Laser Printer, Color Printer, Ink Jet ฯลฯ เป็นต้น ในการส่งงานไปพิมพ์นั้น เราสามารถเลือกได้ว่าต้องการใช้งานเครื่องพิมพ์ชนิใดใช้งานได้ด้วย ซึ่งการทำงานง่ายและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
        Share Communication Devices
หมายถึง การนำอุปกรณ์สื่อสารของระบบคอมพิวเตอร์มาใช้งานร่วมกัน เช่น "Modem" ซึ่งใช้ในการเปลี่ยนถ่ายข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ด้วยกันโดยอาศัยสายโทรศัพท์ นอกจาก Modem แล้วอุปกรณ์อีกอย่างหนึ่งที่สามารถนำมาใช้งานร่วมกันได้คือ "FAX" โดยเราสามารถพิมพ์ข้อมูลที่ "Workstation" ของเรา และส่งข้อมูลผ่านระบบ Network ไปที่เครื่อง FAX ได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องพิมพ์ลงกระดาษ แล้วเดินไปส่ง FAX ที่เครื่อง FAX อีกต่อไป
 
      2. การใช้ Software ร่วมกัน Software ที่ใช้งานบนระบบ Network แบ่งออกเป็น Sofeware Packages และ Data ดังนั้นเราสามารถนำ Software ทั้ง 2 แบบ มาใช้งานร่วมกันได้
                Share Software Packages ในปัจจุบันสิ่งที่เป็นปัญหาอยู่ก็คือ เรื่องของลิขสิทธิ์ทาง Software ถ้าเรายังคงมี PC แต่ละเครื่องใช้งานแยกกันอยู่ เราจำเป็นต้องซื้อ Software ที่ถูกต้องตามกฏหมายมาใช้งาน กล่าวคือ 1 ชุดต่อ 1 เครื่อง รวมทั้งยังต้องคอยระวังในเรื่องของการ Copy Software มาใช้งานเองของผู้ใช้แต่ละคนด้วย การนำระบบ "Network" มาใช้งานจะช่วยลดปัญหาของการทำผิดกฏหมายทางด้านลิขสิทธิ์ได้
            นอกจากนั้น Software ที่ใช้งานบนระบบ Network จะมีความคล่องตัวกว่า Software บน PC โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการซ่อมบำรุง ปรับปรุง Software ให้ถูกต้อง เช่น รุ่นที่ Upgrade มาใหม่ เราจะสามารถติดตั้งและ Upgrade Software ทั้ง 10 เครื่อง ซึ่งเสียเวลามาก
            นอกจากนั้นในกรณีที่เราใช้ Workstation ประเภท "Diskless Workstation" User จะไม่มีสิทธิ์ในการใช้งานแผ่น Disk เล่ย ทำให้เราสามารถขจัดปัญหาของ "Virus" ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ได้ รวมทั้งการตรวจสอบ Virus ก็ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบที่ PC แต่ละเครื่อง แต่ตรวจสอบที่ Flie Server เพียงเครื่องเดียว ทำให้ประหยัดเวลา และเกิดการทำงานที่คล่องแคล่วตัวมากยิ่งขึ้น
    สำหรับเรื่องของ License หรือลิขสิทธิ์นั้น Software ที่จะนำมาใช้ในงานบนระบบ Network จะต้องเป็น Softwareรุ่น
ของเน็ตเวอร์เท่านั้นซึ่งในปัจจุบันมี License Software สำหรับระบบ Network 2 แบบ คือ
        1.  สำหรับเรื่องของ License หรือลิขสิทธิ์นั้น Software ที่จะนำมาใช้ในงานบนระบบ Network จะต้องเป็น
Software รุ่น Network     
        2.  Per User License หมายถึง Software ที่จะต้องระบุจำนวน User ลงไปเลยว่าต้องการใช้เท่าใด แต่การทำงานจริง ๆ แล้วจะใช้กี่คนพร้อมกันก็ได้

        Share Date ปัญหาที่เกิดขึ้นแน่นอน สำหรับการใช้งาน PC แยกกันคือ ในกรณีที่เราต้องการข้อมูลของ PC อีกเครื่องหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าข้อมูลนั้นมีขนาดใหญ่ หรือต้องการใช้งานข้อมูลร่วมกันบ่อย ๆ จะทำให้เสียเวลาในการ Copy ข้อมูลมาก ถ้าเรานำระบบ "Network" มาใช้งานข้อมูลของ User แต่ละคนจุถูกเก็บไว้ในที่เดียวกันคือ Harddisk ของ File Server ดังนั้น User แต่ละคนสามารถเรียกใช้ข้อมูลซึ่งกันและกันได้ทันที แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการกำหนดสิทธิในการเรียกใช้ข้อมูลของแต่ละ User ซึ่งเราสามารถกำหนดได้ว่า User คนใดสามารถใช้งานข้อมูลใดได้ถึงระดับใดบ้าง เนื้อหาในส่วนนี้จะได้กล่าวในลำดับต่อไป
จากประโยชน์ของการใช้ Software ร่วมกันนี้ ข้อมูลจะถูกเก็บอยู่ที่ File Server ข้อมูลจึงถูกต้อง ทันสมัย และรวดเร็ว (เรียกว่า เป็นการควบคุมข้อมูลที่จุดศูนย์กลาง) โดยแต่ละ Workstation สามารถใช้ข้อมูลของ Workstation อื่น ได้ทันที (ถ้ามีสิทธิ์) โดยไม่ต้องรีรอ จึงทำให้การทำงานสะดวกขึ้น (Flexible) นอกจากนั้น ยังลดขั้นตอนในการปฏิบัติงาน และลดเวลาในการทำงาน คือแทนที่จะต้องเสียเวลาในการรอข้อมูลซึ่งกันและกัน เพื่อที่จะทำงานขั้นต่อไป ก็ทำให้ต้องเสียเวลาและลดความผิดพลาดที่เกิดจากข้อมูลไม่ถูกต้องทันสมัย เช่น เมื่อมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าทำให้ฝ่ายขาย ขานสินค้นตามราคาใหม่ได้ทันที โดยไม่ต้องรอการแจ้งเปลี่ยนแปลงราคาจากส่วนควบคุมการตั้งราคา เป็นต้น
        3. การต่อเชื่อมกับระบบอื่น
ในระบบงานของ PC เมื่อต้องการนำ PC มาเชื่อมต่อกับระบบอื่น เช่น Mainframe หรือ Mini Computer จะต้องมีอุปกรณ์เชื่อมต่อพิเศษ เพื่อให้ PC นั้นสามารถทำงานร่วมกับระบบอื่นได้ เราเรียกขบวนการนี้ว่า "Terminal Emulation" ปัญหาก็คือ PC 1 เครื่องจะต้องมีอุปกรณ์พิเศษต่อเชื่อม 1 ชุด ซึ่งปกติจะมีราคาสูงมาก เมื่อทำงานที่มากขึ้น การต่อเชื่อมกับ PC เพียง 1 ชุด อาจไม่เพียงพอในการใช้งาน อาจจำเป็นต้องต่อมากยิ่งขึ้น ทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากตามไปด้วย
แต่ถ้าเรามีระบบ "Network" อยู่แล้ว เราสามารถนำ PC และอุปกรณ์ต่อเชื่อมสำหรับระบบอื่นเพียง 1 ชุดมาใช้งาน หลัก จาก นั้น Workstation เครื่องที่ไม่มี
อุปกรณ์ต่อเชื่อมนี้ก็สามารถเชื่อมต่อกับระบบอื่นได้ด้วย เสมือนมีอุปกรณ์เชื่อมต่อติดตั้งที่เครื่องของตนเอง ลักษณะเช่นนี้เราเรียกว่า "Gateway"
        4.การใช้ระบบ Multlusers
การใช้ระบบ Multlusers หมายถึง ระบบที่ User สามารถใช้โปรแกรมหรือข้อมูลเดียวกันได้ครั้งละหลาย ๆ คน ซึ่ง "Network" นั้นสามารถใช้งานระบบนี้ได้เป็นอย่างดี ทำให้ในปัจจุบัน ผู้ใช้งานในระบบ Multlusers หรือ Minicomputers ได้หันมาเล็งเห็นถึงความสำคัญของระบบ Network และเริ่มใช้งานระบบนี้มากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเห็นได้ชัดเจนของการทำงานในระบบ Multlusers ได้แก่

                E-Mall (Electronic Mail) ซึ่ง User แต่ละคนสามารถส่งและรับข้อมูลหรือข่าวสารซึ่งกันและกันได้ โดยผ่านทาง Workstation ของตนเอง มีโปรแกรมที่ใช้งานแบบ E-Mall ได้มากมายเช่น WorkPerfect Office, CC-Mail, ฯลฯ เป็นต้น
                Schedule หรือ Group Calendar เป็นโปรแกรมที่รวบรวมปฏิทินรายวันของ User แต่ละคนมารวมกันเป็นตาราง (Schedule) ของทั้งระบบ ทำให้ผู้จัดการระบบสามารถทราบนัดหมายต่าง ๆ ของ User แต่ละคนได้ และวางแผนการทำงานได้สะดวกยิ่งขึ้น เช่น WordPerfect Office
                Database สามารถใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลเดียวกันได้พร้อม ๆ กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน File ได้ถูกพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น จนมี File Server เฉพาะสำหรับงาน Database เรียกว่า Database Server ซึ่งเป็น Server ชนิดพิเศษที่มีความเร็วสูงในการเรียกใช้และปรับปรุงข้อมูลในDatabase มีผู้กล่าวว่า ประสิทธิภาพในการทำงานของ Database Server นี้ใกล้เคียงหรืออาจจะดีกว่าแบบ Minicomputer เสียอีก

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ใหญ่ใจดี
 

 ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ 
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ 
ไม่ถูกปิดเสียก่อน

ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 
มีผลบังคับใช้แล้ว 
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

 

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 343 คน กำลังออนไลน์