ความเป็นมาของชนชาติไทยและอาณาจักรโบราณในดินแดนประเทศไทยอดีตจนถึงปัจจุบัน
อาณาจักรโบราณในดินแดนประเทศไทบ
ดินแดนประเทศไทยในปัจจุบันเคยเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของชนชาติต่าง ๆ ในอดีตมากมาย คือ
1. อาณาจักรฟูนัน พุทธศตวรรษที่ 6-11 ประมาณระหว่าง พ.ศ. 500-1100 เชื่อว่าบรรพบุรุษอพยพมาจาก ประเทศอินเดียถิ่นฐานอนู่ บริเวณปากนำโขงในกัมพูชา แผ่ขยายมาถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยและภาคได้ของลาว ไม่ปรากฏศูนย์กลางอย่างแน่ชัด มีการปกครองแบบเทวราช และมีวัฒนธรรมแบบ พราหมณ์-ฮินดู หลักฐานที่ค้นพบ คืเครื่องประดับเทวรูป เหร๊ยญตรา
2. อาณาจักรนครศรีธรรมราช(ตามพรลิงค์) พุทธศตวรรษที่ 7-19 (พ.ศ. 600-1900) จากหลักจดหมายเหตุจีนและเอกสารอินเดีย เชื่อว่าเมืองหลวงอยู่ที่นครศรีธรรมราช จากหลักฐานร่องรอยคูเมืองและกำแพงใหญ่ ศาสนาพุทธลัทธิลังกาวงศ์ พระพุทธสิหิงค์ เป็นต้น เคยเป็นอาณาจักรที่เคยรุ่งเรืองมากต่อมาตกเป็นส่วนหรึ่งของอาณาจักรศรีวิชัย ทวารวาดี และสุโขทัย
3. อาณาจักรขอม พุทธศตวรรษที่ 11-19 (ระหว่าง พ.ศ. 1000-1900)มีอาณาจักรอยู่ปากแม่นำโขง กัมพูชา ภาคตะวันออกเฉียงของไทย สืบต่อจากอาณาจักรฟูนัน มีความเจริญรุ่งเรืองมาก รับวัฒนธรรมจากอินเดีย ศาสนาพราหมณ์มีการสร้างเทวรูปและปราสาทหินที่สำคัญ คือ นครวัด-นครธม ซึ่งนับเป็นสิงมหัศจรรย์ของโลกและปราสาทหินอื่นๆ ในดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยมากมาย
4. อาณาจักรโคตรบูร พุทธศตวรรษที่ 11-15 (ระหว่าง พ.ศ. 1000-1500)ตั้งอยู่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยและตอนการของลาว เชื่อว่าเมืองหลวงโตรรบูรตั้งอยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง คือ เมืองท่าแชกของลาวอาณาจักรนี้นับถือพุทธศาสนามีการสร้างเจดีย์สำคัญ คือ พระธาตุพนม
5. อาณาจักรทวารวาดี พุทธศตวรรษที่ 11-16 (ระหว่าง พ.ศ.1000-1600)เป็นอาณาจักรใหญ่ตั้งอยู่บริเวณภาคเหนือ ภาคกลางของไทย ถึงหัวเมืองมอญ เจริญรุ่งเรืองพร้อมกับอาณาจักรขอมศูนย์กลางไม่ปรากฏแน่ชัด มีการสันนิษฐาน 3 กลุ่ม คือ เมืองนครปฐม กลุ่มสองว่าอยู่ที่เมืองอู่ทอง สุพรรณบุรีและกลุ่มสามว่าอยู่ที่ ตำบลคูบัวจังหวัดราชบุรี ซึ่งมีหลักฐานต่างๆ มากมายในด้านพุทธศาสนาและศิลปวัฒนธรรมจากอินเดีย เช่นพระพุทธรูป รูปคน รูปเทวดา พระโพธิสัตว์ ธรรมจักรเหรียญตรา ศิลาจารึก เป็นต้น และหลักฐานของไทย ได้แก่ ตำนานมูลศาสนา และตำนานจามเทวีวงศ์
6. อาณาจักรละโว้ พุทะศตวรรษที่ 11 - 19( ระหว่ง พ.ศ. 1000-1900)สืบทอดความเจริญต่อจากอาณาจักรทวาราวดี เชื้อว่าละโว้
คือ เมื่องลพบุรี ตามตำนานพงศาวดารเมืองเหนือเคยตกอยู่ใต้อำนาจขอม จึงรับวัฒนธรรมจากทวาราวดีและขอมไว้มากมาย เช่น พระปรางค์สามยอด สร้างตามแบบขอมละโว้เคยติดต่อกับจีน แต่ต่อมาตกอยู่ใต้ การปกครองของอุยธยา
7. อาณาจักรศรีวิชัย พุทธศตวรรษที่ 11-17 (ระหว่าง พ.ศ. 1000-1700) ตั้งอยู่บริเวณตอนใต้ของไทยตลอดแหลมมลายู เกาะสุมาตรา และชวา ศูนย์กลางเชื่อว่าตั้งอยู่ที่ เมืองไชยาสุราษฎร์ธานีซึ่งมีหลักฐานคือ พระบรมธาตุไชยา ซากกำแพงเมืองและโบราณวัตถุมากมาย บ้างก็เชื่อว่าอยู่ที่เมืองปาเล็มบัง เกาะสุมาตรา ซึ่งมีมหาสถูปบุโรพพุทโธ และสิ่งก่อสร้างตามคติศาสนาพุทธ นิกามหายาน และศาสนาพราหมณ์
8. อาณาจักรโยนก เชียงแสน พุทธศตวรรษที่ 14-15 (ระหว่าง พ.ศ. 1300-1500) เชื่อว่าผู้นำกลุ่มคนไทยชื่อ สิงหนวัติ ได้สร้างเมืองนาคพันธุ์สิงหนวัตินคร (อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย) ต่อมา คือ อาณาจักโยนกนคร มีเมืองเชียงแสนเป็นราชธานี มีอาณาเขตถึงตังเกี๋ยของเวียดนาม ถึงแม่น้ำสาละวิน รัฐฉานของพม่า และยูนาน ของจีนจนถึงลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนบน ต่อมาสร้างเมืองใหญ่คือเวียงศรีทองไชยนารายณ์ และไชยปราการ (อำเภอผาง จังหวักเชียงใหม่) เป็นเมืองหลวง ต่อมาถูกขอมรุกรานและถูกน้ำท่วมบ้านเมืองพังพินาศล่มสลสยไป
9. อาณาจักรหริภุญชัย (ลำพูน) (ประมาณ พ.ศ. 1301-1835) กำเนิดหลังอาณาจักรโยนกเชียงแสน ตั้งอยู่บริเวณราบลุ่มแม่น้ำปิงตอนบน (จังหวัดลำพูนในปัจจุบัน) ตามตำนานจามเทวีวงศ์ กล่าวว่า กษัตริย์องค์แรก คือ พระนางจามเทวี ต่อมาสร้างเมืองเชลางต์นคร (ลำปาง) อยู่ในลุ่มน้ำวัง มีความเลื่อมใส พุทธศาสนาและก่อสร้างสิ่งต่าง ๆ มากมายที่สำคัญ เช่น เจดีย์วัดกู่หรือวักจามเทวีลำพูนเจดีย์ช้าง ยืนวัดพระธาตุหริภุญชัยต่อมาตกอยู่ใต้การปกครองของอาณาจักรล้านนาของพ่อขุนมังราย
10. อาณาจักรล้านนา (เชียงใหม่) (ประมาณ พ.ศ. 1804-2432) พ่อขุนมังรายเจ้าเมืองเงินยางต่อมาสร้างเมืองเชียงรายขึ้น เมื่อได้หริภุญชัยไว้ในอำนาจ แล้ว ปี พ.ศ.1839 ได้สร้างเมืองหลวงใหม่ คือ ลพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ พ่อขุนมังรายเป็นสหายกับพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแห่งสุโขทัยอาณาจักรล้าน มีความเจริญมากในด้านศิลปวัฒนธรรมต่าง ๆ มีตัวอักษรเป็นของตนเองนับถือพุทธศาสนาลัทธิลังการวงศ์แบบสุโขทัย ล้านนาตกเป็นเมืองขึ้นอาณาจักรอยุธยาและพม่าบ้าง เป็นอิสระบ้างจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 5 ได้รวมอาณาจักรล้านเข้าสู่อาณาจักรไทยด้วย
สร้างโดย น.ส. จินตหรา แก่นท้าว ม.4/3 เลขที่ 33
แหล่งอ้างอิง http://www.sksrt.ac.th/webschool/studnetwork/songkom/B22.htm
- ล็อกอิน เพื่อแสดงความคิดเห็น