สังคมฯ
เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศรัชกาลที่5
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสมัยพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เหตุการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 นับเป็นวิกฤตการณ์ช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย เนื่องจากไทยถูกชาติมหาอำนาจตะวันตก โดยเฉพาะจากอังกฤษและฝรั่งเศสคุกคามอย่างหนัก
1. ปัญหาความสัมพันธ์กับฝรั่งเศส
ถึงแม้ว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงยินยอมยกเขมรส่วนใหญ่ยกเว้น เสียมราฐ พระตะบองให้กับฝรั่งเศส ใน พ.ศ.2410 ไปแล้วก็ตาม แต่ฝรั่งเศสก็ยังไม่หยุดท่าทีที่จะคุกคามไทยต่อไป เพราะฝรั่งเศสยังต้องการขยายอำนาจเข้าไปในลาวซึ่งเป็นประเทศราชของไทยต่อไป ด้วยเหตุนี้ภายหลังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเสวยราชสมบัติแล้ว จึงเกิดปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับฝรั่งเศสขึ้น ฝรั่งเศสพยายามทุกวิถีทางที่จะขจัดอิทธิพลของไทยไปจากบริเวณฝั่งแม่น้ำโขง เพราะฝรั่งเศสต้องการใช้แม่น้ำโขงเป็นเส้นทางไปสู่จีนตอนใต้ จึงเกิดการปะทะกันตามชายแดน แต่ฝรั่งเศสไม่สามารถขับไล่ทหารไทยออกไปให้หมดจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงได้ จึงเปลี่ยนมาใช้ "นโบายเรือปืน" จนเกิดการปะทะกันระหว่างเรือรบฝรั่งเศสและกองกำลังของไทยบริเวณปากน้ำ ในวันที่ 13 กรกฏาคม 2436 ไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบ จำต้องยินยอมให้ฝรั่งเศสบีบบังคับให้ทำสัญญาเสียเปรียบ ซึ่งสาระสำคัญของสัญญาที่ไม่เป็นธรรมดังกล่าว สรุปได้ดังนี้
1. ประเทศไทยต้องยอมยกเลิกสิทธิทางฟากตะวันออกของแม่น้ำโขงและเกาะต่างๆ
2. ประเทศไทยต้องจ่ายเงิน 2 ล้านฟรังซ์เพื่อชดใช้ค่าเสียหายของเรือรบของฝรั่งเศส
3. ประเทศไทยต้องตั้งศาลพิจารณาโทษทหารที่มีส่วนร่วมในการยิงเรือรบของฝรั่งเศส และการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสที่ชายแดนแม่น้ำโขง
4. ประเทศไทยต้องไม่สร้างด่านหรือตั้งค่ายทหารในแขวงเมืองพระตะบอง เสียมราฐ และในเขต 25 กิโลเมตรบนฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้ถือเป็นเขตปลอดทหาร แม้เจ้าหน้าที่ของไทยจะเข้าไปเกี่ยวข้องก็ไม่ได้
นอกจากนี้ในสัญญายังระบุให้ประเทศไทยรื้อป้อมค่ายบริเวณปลอดทหารภายในเวลา 1 เดือน ระหว่างนั้นฝรั่งเศสจะยึดจันทบุรีไว้เพื่อเป็นประกันว่าไทยจะปฏิบัติตามสนธิสัญญาอย่างเคร่งครัด ประเทศไทยจำต้องยอมทำตามข้อเรียกร้องดังกล่าว เพราะเป็นประเทศเล็กและเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ต่อมาในปี 2438 ไทยได้เปิดเจรจากับฝรั่งเศสเกี่ยวกับสัญญาเสียเปรียบดังกล่าว การเจรจาครั้งนั้นกินเวลานานมาก มีการเจรจาทั้งที่กรุงเทพและที่ปารีส แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ จนกระทั่งปี 2447 ได้มีการเจรจาระหว่างไทยกับฝรั่งเศสที่กรุงปารีส และในที่สุด ได้ร่วมลงนามในสนธิสัญญาร่วมกันเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2447 โดยมีสาระสำคัญคือ
1. รัฐบาลต้องยกดินแดนฝั่งขวาของหลวงพระบางอันได้แก่มโนไพร และจำปาศักดิ์ให้กับฝรั่งเศสเพื่อแลกกับจันทบุรี และรัฐบาลทั้งสองจะจัดตั้งคณะกรรมการปักปันเขตแดนทำการปักปันเขตแดนตามเวลาที่กำหนด
2. ฝ่ายไทยยอมรับชาวเอเซียที่เป็นคนในบังคับฝรั่งเศส โดยที่ฝ่ายไทยมิได้เห็นชอบมาก่อนให้เป็นคนในบังคับของฝรั่งเศสได้ แต่บุตรของคนเหล่านั้นต้องเป็นคนในบังคับของไทย คนในบังคับเหล่านี้เดิมขึ้นศาลกงสุล แต่ฝรั่งเศสยอมผ่อนผันให้ว่าถ้าเป็นคดีอาญาให้ขึ้นกับตุลาการฝรั่งเศส ถ้าเป็นคดีแพ่งและโจทก์เป็นคนไทยให้ขึ้นศาลกงสุล แต่ถ้าคนไทยเป็นจำเลยให้ขึ้นศาลต่างประเทศทั้งที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ และตามท้องถิ่นนั้นๆ
3. เขต 25 กิโลเมตร จากริมฝั่งแม่น้ำโขงและเขมรส่วนใน คือ พระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณนั้น กำหนดว่าทางไทยที่จะเข้าไปในบริเวณดังกล่าว จะต้องเป็นทหารที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของคนไทยเท่านั้น เพื่อเป็นหลักประกันว่าไทยจะปฏิบัติตามพันธะกรณีที่มีอยู่ ฝรั่งเศสจึงได้ถอนตัวออกจากจันทบุรี แต่ไปยึดตราดไว้เป็นหลักประกันจนกว่าไทยจะปฏิบัติตามข้อตกลง
อย่างไรก็ตาม สนธิสัญญาดังกล่าวก็ยังไม่อาจแก้ปัญหาความยุ่งยากระหว่างไทยกับฝรั่งเศสให้คลี่คลายลงได้ ในที่สุดได้มีการเจรจาระหว่างไทยกับฝรั่งเศสเพื่อยุติปัญหาขัดแย้งระหว่างกันอีกในปี 2450 การเจรจาในครั้งนี้ไทยยอมยกดินแดนเขมรส่วนใน ซึ่งได้แก่ เสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณให้แก่ฝรั่งเศส เพื่อแลกกับด่านซ้าย ตราดและเกาะต่างๆ ที่อยู่ใต้แหลมสิงห์ลงไปถึงเกาะกูด และแลกกับอำนาจทางการศาลของไทยเหนือคนในบังคับฝรั่งเศส ซึ่งในที่สุดก็เจรจายุติลงได้ในเดือนธันวาคม 2450
สนธิสัญญาระหว่างไทยกับฝรั่งเศส พ.ศ.2450 จัดว่าเป็นสนธิสัญญาที่ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ซึ่งกันและกันยิ่งกว่าสนธิสัญญาฉบับใดที่ไทยเคยทำกับฝรั่งเศสในข่วง 14 ปี หลังวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 (พ.ศ.2436)
ขาดชื่อ แหล่งอ้างอิง