การเมืองการปกครองหลังการเปลี่ยนแปลงการกครอง พ.ศ.2475-2489
หลังการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อ พ.ศ. 2475 ในช่วงที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ขึ้นครองราชย์นั้น สังคมไทยได้ก้าวสู่ความเป็นอารยะตามแบบตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเจริญที่ปรากฏอยู่ในรูปของวัตถุไม่ว่าจะเป็นถนนหนทาง รถไฟ ไฟฟ้า ประปา เขื่อนชลประทาน โรงพยาบาล ระบบการสื่อสารคมนาคม ที่ทำการรัฐบาล ห้างร้าน และตึกรามบ้านช่อง ตลอดจนเครื่องใช้อันทันสมัย อันมีเจ้านายและชนชั้นสูงเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ส่วนชาวบ้านสามัญชนเป็นผู้ตาม นอกจากนั้นยังมีการเปลี่ยนแปลงในขนบธรรมเนียมบางอย่างเพื่อให้สอดคล้องกับการปกครองระบบใหม่ ทั้งนี้เพราะรัฐบาลต้องติดต่อกับชาติอื่น ๆ ทั่วโลก จึงต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมไทยให้เป็นสากลและสอดคล้องกับความเป็นไปของโลก แต่ให้คงเอกลักษณ์ของความเป็นไทยไว้ที่เด่นชัดในสมัยนั้นก็คือเรื่องการแต่งกายในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ( พ.ศ. 2481-2487 ) ได้มีบัญญัติเรียกว่า “ รัฐนิยม “ ซึ่งเป็นการปลุกระดมอย่างรุนแรง ซึ่งแสดงนโยบายของประเทศว่าต้องการให้ประชาชนคนไทยรักหวงแหนและภูมิใจในความเป็นไทย เช่น ให้ข้าราชการแต่งเครื่องแบบตามที่กำหนด ห้ามสวมกางเกงแพร ให้ทักทายกันด้วยคำว่า “ สวัสดี “ ห้ามกินหมาก ให้สวมหมวกทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ใช้คำขวัญปลุกใจทุกเช้าก่อนเรียน การยกเลิกบรรดาศักดิ์โดยให้ใช้เพียงชื่อ สกุล เหมือนคนทั่วไป การเคารพธงชาติ และเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงมหรสพ ฯลฯ สภาพสังคมหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ทำให้สังคมไทยเป็นสังคมประชาธิปไตย ซึ่งมีลักษณะที่สำคัญ คือo ประชาชนขึ้นมาเป็นเจ้าของประเทศและมีบทบาทในการปกครองประเทศด้วยกระบวนการกฎหมายรัฐธรรมนูญ o ชนชั้นกลาง พวกพ่อค้า ปัญญาชน ขึ้นมามีบทบาทในสังคมแต่ผู้กุมอำนาจยังคงได้แก่ทหารและข้าราชการ o นายทุนเติบโตจากการค้าและอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งมีอิทธิพลและบทบาทจนได้เปรียบในสังคม o เกิดช่องว่างในสังคมทำให้ชาวไร่ ชาวนา และกรรมกรมีฐานะและชีวิตอยู่กับความยากจนและถูกเอารัดเอาเปรียบจากสังคม สมัยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย การปกครองระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของไทย ได้ดำรงอยู่จนถึง พ.ศ. 2475 จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงมาสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตย กล่าวคือ ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 มีข้าราชการทหารและพลเรือนกลุ่มหนึ่ง ได้แก่การปฏิวัติขึ้น โดยทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาสู่ระบบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงการปกครองดังกล่าว มีดังนี้
1. เกิดจากอิทธิพลของการมีแนวความคิดในเรื่องการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่บ้านข้าราชการที่ได้รับการศึกษามาจากยุโรป
2. ฐานะทางการคลังของรัฐบาลเกิดทรุดลง ทำให้ต้องตัดรายจ่ายในด้านต่างๆ ลง ซึ่งรวมถึงบัญชีเงินเดือนของข้าราชการฝ่ายต่างๆ ด้วยจึงเกิดความไม่พอใจขึ้นมา
3. คณะผู้ก่อการหลายคน มีความรู้สึกว่า ตนไม่ได้รับการยอมรับในความสามารถจากเจ้านายบางพระองค์ คณะผู้ก่อการ ซึ่งเรียกว่าตัวเองว่า "คณะราษฎร" ได้จัดตั้งรัฐบาลขึ้น โดยมีพระยามโนปกรณ์ นิติธาดา เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ได้ประกาศให้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 ใช้รูปแบบการปกครองระบบรัฐสภา
ระยะหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 เป็นต้นมากิจการสื่อสารทั้งในด้านไปรษณีย์และโทรคมนาคมซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบ ของกรมไปรษณีย์โทรเลขได้รับการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย ทั้งในด้านการให้บริการ การปรับปรุงการบริหารงาน การปรับปรุงกฎหมาย ตลอดจนการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในกิจการสื่อสารของประเทศ ซึ่งอาจกล่าวโดยสรุปได้ดังนี้ การไปรษณีย์กรมไปรษณีย์โทรเลข ได้เปิดบริการไปรษณีย์ชนิดใหม่หลายบริการ เช่น บริการพัสดุไปรษณีย์เก็บเงินในประเทศ, บริการซองและบัตรตอบรับ, บริการรับฝากไปรษณีย์ภัณฑ์ประเภทพัสดุย่อยต่างประเทศ, บริการไปรษณีย์สนามหรือบริการรับฝากส่งไปรษณีย์ภัณฑ์และพัสดุไปรษณีย์สนามชายแดน,บริการเช็คไปรษณีย์, บริการรับฝากส่งไปรษณีย์ภัณฑ์ของกระทรวงทบวงกรมโดยไม่ต้องผนึกตราไปรษณียากร, บริการพัสดุไปรษณีย์ต่างประเทศโดยเรียกเก็บจากค่าธรรมเนียมเท่ากับไปรษณีย์ภัณฑ์ประเภทจดหมาย แต่บริการนี้ระงับไปเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองและเริ่มให้บริการใหม่อีก เมื่อ พ.ศ. 2495 บริการใช้เครื่องประทับไปรษณียากร รวมทั้งจัดพิมพ์จดหมายอากาศขึ้นจำหน่าย ฉบับละ 2 บาท และอนุญาตให้ส่งจดหมายอากาศไปยังประเทศปลายทางต่าง ๆ ได้ทั่วโลกด้วย เป็นต้นนอกจากนี้ยังได้ปรับปรุงงานปฏิบัติการไปรษณีย์ เพื่อให้สามารถให้บริการแก่ประชาชนได้ดีขี้น กล่าวคือ ได้กำหนดให้ผู้รับจำหน่ายตราไปรษณียากร ทำการนำจ่ายไปรษณีย์ภัณฑ์ธรรมดาด้วย รวมทั้งได้เปิดที่ทำการไปรษณีย์รถด่วนสายใต้ขึ้นเป็นที่ทำการไปรษณีย์รถไฟเคลื่อนที่ขบวนแรก เมื่อ พ.ศ. 2478 ได้ขยายการใช้ที่ทำการไปรษณีย์รถไฟเคลื่อนที่ในเส้นทางอื่น ๆ จนครบทุกสายใน พ.ศ. 2495 โดยกรมไปรษณีย์โทรเลขได้ทำความตกลงกับการรถไฟแห่งประเทศไทย ขอเปิดที่ทำการไปรษณีย์รถไฟเคลื่อนที่อย่างสมบูรณ์แบบในขบวนรถด่วนทุกสายที่มีการเปิด-ปิดถุง คัดแยกส่งต่อและรับส่งมอบไปรษณีย์ภัณฑ์ตามรายทาง และจัดเจ้าหน้าที่ของกรมไปรษณีย์โทรเลขเข้าปฏิบัติงานครบชุดไม่ต้องอยู่ใต้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่การรถไฟแห่งประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2479 ได้มีการจัดตั้งที่ทำการไปรษณีย์อนุญาตอำเภอขึ้นเป็นครั้งแรกที่อำเภอบางพลีใหญ่สมุทรปราการโดยทำความตกลงกับกระทรวงมหาดไทยมอบให้นายอำเภอ หรือปลัดผู้เป็นหัวหน้ากิ่ง -อำเภอรับทำการไปรษณีย์ขึ้น ณ ที่ว่าการอำเภอหรือกิ่งอำเภอโดยได้รับค่าตอบแทนโดยเรียกว่า ที่ทำการไปรษณีย์อนุญาตอำเภอ และได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการฝากส่งธนาณัติในประเทศ ซึ่งยังคงใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน เปลี่ยนชื่อบริการจดหมายเหตุและหนังสือพิมพ์จดทะเบียนเป็น บริการหนังสือพิมพ์ตราสิน เปลี่ยนการกำหนดค่าฝากส่งสิ่งของทางไปรษณีย์ ในประเทศตามอัตราระยะทางมาเป็นอัตรามาตรฐานและใช้อยู่จนถึงปัจจุบันนี้นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2493 ได้มีการริเริ่มนำรถยนต์ขนส่งไปรษณีย์ภัณฑ์ ขนบุรุษไปรษณีย์ไปส่งตามจุดต่างๆ ในกรุงเทพฯ เพื่อช่วยให้การนำจ่ายเร็วขึ้น นำรถจักรยานยนต์สองล้อมาใช้ในการนำจ่ายไปรษณีย์-ภัณฑ์มีการจัดสร้างตู้ไปรษณีย์ชนิดปูนซิเมนต์ขึ้น และได้ยกเลิกค่าไปรษณียากรสำหรับเครื่องอ่าน สำหรับคำเสียจักษุเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของ สหภาพสากลไปรษณีย์ และที่สำคัญอย่างยิ่งในปี พ.ศ. 2501 ได้มีการนำสายพานลำเลียง (Conveyor Belt) มาใช้ในการขนถ่ายถุงไปรษณีย์ ณ ที่ทำการไปรษณีย์กลางด้วย
การโทรคมนาคม
กรมไปรษณีย์โทรเลขได้เปิดบริการโทรคมนาคมชนิดใหม่หลายบริการ เช่น บริการรับโฆษณาประกาศการค้าขายการทำมาหากินในเชิงการค้า อุตสาหกรรมและวิชาชีพโดยทางวิทยุกระจายเสียง, บริการวิทยุโทรศัพท์ประชุม (Coference Conversation) ระหว่างไทย-เยอรมัน ในปี พ.ศ. 2477, บริการวิทยุโทรศัพท์กับประเทศญี่ปุ่น, บริการรับฝากวิทยุถึงและจากสถานีวิทยุเรือ, บริการโทรเลขด่วนพิเศษของโทรเลขรัฐบาล,บริการโทรเลขข่าวน้ำฝนของกรมอุตุนิยมวิทยาและบริการโทรพิมพ์สายตรง (Leased Telegraph Circuit Service) เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้มีการปรับปรุงระบบและมาตรฐานในการให้บริการ โดยมีการนำเอาเครื่องมืออุปกรณ์และเทคโนโลยีการสื่อสาร สมัยใหม่มาใช้อย่างกว้างขวาง เช่น จัดตั้งสถานีวิทยุการบินขึ้นที่จังหวัดนครราชสีมา อุดรธานีและ สุราษฎร์ธานี และจัดตั้งสถานีวิทยุการบินที่เกาะสมุย เป็นแห่งสุดท้าย ในปี พ.ศ. 2481 สั่งซื้อเครื่องชุมสายโทรศัพท์ต่อเอง (ระบบ Step by Step) จากประเทศอังกฤษ, เปลี่ยนแปลงวิธีการของวิทยุโทรศัพท์จากระบบสี่เส้น (Four-Wire System) มาเป็นระบบสองเส้น ( Two - Wire System )และในปี พ.ศ. 2478 ได้มีการนำเครื่องพรางเสียง(Secrecy Device) มาใช้รักษาความลับในการพูดโทรศัพท์ ในปีพ.ศ.2488รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้มีคำสั่งให้กรมไปรษณีย์โทรเลขเตรียมเครื่องส่งวิทยุกระจายเสียงไว้สำรองยามสงครามในกรณีที่เครื่องส่งวิทยุกระจายเสียง ของกรมโฆษณาการขัดข้องหรือถูกทำลายที่ตึกกรมไปรษณีย์โทรเลขเก่าหน้าวัดเลียบโดยทดลองส่งกระจายเสียง เป็นครั้งคราว ซึ่งเรียกชื่อสถานีว่า 1 ปณ. อนึ่ง ในปี พ.ศ. 2496มีเหตุการณ์ที่สำคัญยิ่งในวงการโทรคมนาคม ที่ควรจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ คือ นายสมาน บุญยรัตพันธ์ นายช่างกรม ไปรษณีย์โทรเลขคิดค้นเครื่องโทรพิมพ์ภาษาไทยสำเร็จ โดยติดตั้งกลไกระบบ Spacing Control Machanism โดยได้ดัดแปลงมาจากเครื่องโทรพิมพ์ อักษรโรมันและอักษรญี่ปุ่นโดยใช้ระบบ 6 ยูนิตและต่อมาในปีพ.ศ. 2497 ยังได้ประดิษฐ์เครื่องโทรพิมพ์แบบเดิมให้ทำงานได้ทั้งสองภาษา คือ อักษร ไทยและอักษรโรมันในเครื่องเดียวกัน ซึ่งเรียกว่า"เครื่องโทรพิมพ์ไทยแบบ S.P." ซึ่งในปีถัดมากรมไปรษณีย์โทรเลขได้รับรองเครื่องโทรพิมพ์ไทยแบบ S.P.นี้ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าลิขสิทธิ์ได้ตกไปเป็นของญี่ปุ่นดังนั้นต่อมากรมไปรษณีย์-โทรเลขจึงต้องสั่งสร้างเครื่องโทรพิมพ์ไทยแบบ S.P. จากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาใช้งานส่งโทรเลขโดยใช้สายโทรเลขแบบสายโถง (Open Wire Line) และทำงานผ่านสถานีทวนสัญญาณ(Repeater)ในระยะ 200-300 กม. ซึ่งต่อมาได้ขยายการรับ-ส่งโทรเลข โดยใช้เครื่องโทรพิมพ์ออกไปทั่วประเทศ ฯลฯ
การบริหาร
เมื่อพิจารณาในด้านการบริหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการปรับปรุงส่วนราชการ และการตรากฎหมายใหม่ด้านการไปรษณีย์และโทรคมนาคมออกมาใช้บังคับแล้ว ช่วงระยะเวลาตั้งแต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาจนกระทั่งก่อนเริ่มดำเนินการตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติเป็นช่วงที่กรมไปรษณีย์โทรเลขมีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดระยะหนึ่ง กล่าวคือในด้าน กฎหมาย เช่น ได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายตลอดจนตรากฎหมายด้านการสื่อสารขึ้นมาใช้หลายฉบับ เช่น ตราพระราชบัญญัติไปรษณีย์ พ.ศ. 2477 ขึ้นใช้แทนพระราชกำหนดไปรษณีย์ร.ศ.116 ตราพระราชบัญญัติโทรเลขและโทรศัพท์ พ.ศ. 2477 ขึ้นใช้แทนกฎหมายโทรเลข
จ.ศ.1246 ตราพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 ขึ้นใช้แทนพระราชบัญญัติวิทยุสื่อสาร พ.ศ. 2478 และมีการตราพระราชบัญญัติวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ. 2498 ออกมาใช้บังคับด้วย เป็นต้น นอกจากนี้กรมไปรษณีย์โทรเลขยังได้ดำเนินการปรับปรุงส่วนราชการเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพการอีกหลายครั้ง เช่น ยกฐานะแผนกคลังออมสิน กองบัญชีขึ้นเป็นกองคลังออมสินและธนาณัติ ต่อมาได้แยกงานธนาณัติออกจากกองคลังออมสินไปสังกัดกองบัญชีตามเดิมและยุบเลิกกองไปรษณีย์โทรเลขภาค 1-5 มาขึ้นอยู่กับกองสื่อสาร ยกฐานะแผนกทะเบียนวิทยุและกระจายเสียงในกองช่างวิทยุขึ้นเป็นกองทะเบียนวิทยุ และกระจายเสียง ต่อมาในปี พ.ศ. 2488 กรมไปรษณีย์โทรเลข ได้ถูกโอนจากกระทรวงเศรษฐการไปสังกัดกระทรวงคมนาคมและได้รวมงานกองช่างโทรเลข และกองช่างโทรศัพท์เข้าเป็นกองเดียวกันเรียกว่า กองช่างโทรเลขและโทรศัพท์ เมื่อ พ.ศ. 2485 ในช่วงระยะเวลานี้ได้มีการแยกงานที่สำคัญๆ ออกไปจัดตั้งเป็นหน่วยอิสระหลายหน่วย และหลายครั้งด้วยกัน ดังนี้ คือ 1. ได้มีการโอนงานวิทยุกระจายเสียงในประเทศ ของกองทะเบียน วิทยุและกระจายเสียงกรมไปรษณีย์โทรเลขไปขึ้นอยู่กับสำนักงานโฆษณาการ(ต่อมาคือกรมโฆษณาการ, หรือกรมประชาสัมพันธ์ในปัจจุบัน) เมื่อ วันที่ 1 เมษายน 2482 2. ได้มีการตราพระราชบัญญัติธนาคารออมสิน พ.ศ. 2489 ขึ้นใช้บังคับทำให้มีการโอนกิจการของกองคลังออมสินไปจัดตั้งเป็นธนาคาร ออมสินและเริ่มดำเนินการในเดือนมกราคม 2490 3. ได้โอนกิจการวิทยุการบินพลเรือน ซึ่งกรมไปรษณีย์โทรเลขได้ตั้งขึ้น และดำเนินการมาตลอดไป ให้กรมการขนส่งดำเนินการในปี พ.ศ. 2489 และต่อมากิจการวิทยุการบินพลเรือนได้แยกออกไปจัดตั้งเป็นบริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (2491)
4. ได้มีการตราพระราชบัญญัติองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2497 ขึ้นมีผลให้มีการโอนกิจการโทรศัพท์ในประเทศไปให้องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย โดยได้โอนงานโทรศัพท์ในเขตจังหวัดพระนครและธนบุรีไปก่อน สำหรับงานโทรศัพท์ส่วนภูมิภาค ยังคงอยู่ในความรับผิดชอบของกองช่างโทรเลขอยู่ ต่อมาในปีพ.ศ. 2504ได้โอนไปอยู่ในความรับผิดชอบขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยทั้งหมด
สังคมไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
หลังการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อ พ.ศ. 2475 ในช่วงที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ขึ้นครองราชย์นั้น สังคมไทยได้ก้าวสู่ความเป็นอารยะตามแบบตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเจริญที่ปรากฏอยู่ในรูปของวัตถุไม่ว่าจะเป็นถนนหนทาง รถไฟ ไฟฟ้า ประปา เขื่อนชลประทาน โรงพยาบาล ระบบการสื่อสารคมนาคม ที่ทำการรัฐบาล ห้างร้าน และตึกรามบ้านช่อง ตลอดจนเครื่องใช้อันทันสมัย อันมีเจ้านายและชนชั้นสูงเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ส่วนชาวบ้านสามัญชนเป็นผู้ตาม นอกจากนั้นยังมีการเปลี่ยนแปลงในขนบธรรมเนียมบางอย่างเพื่อให้สอดคล้องกับการปกครองระบบใหม่ ทั้งนี้เพราะรัฐบาลต้องติดต่อกับชาติอื่น ๆ ทั่วโลก จึงต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมไทยให้เป็นสากลและสอดคล้องกับความเป็นไปของโลก แต่ให้คงเอกลักษณ์ของความเป็นไทยไว้ที่เด่นชัดในสมัยนั้นก็คือเรื่องการแต่งกายในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ( พ.ศ. 2481-2487 ) ได้มีบัญญัติเรียกว่า “ รัฐนิยม “ ซึ่งเป็นการปลุกระดมอย่างรุนแรง ซึ่งแสดงนโยบายของประเทศว่าต้องการให้ประชาชนคนไทยรักหวงแหนและภูมิใจในความเป็นไทย เช่น ให้ข้าราชการแต่งเครื่องแบบตามที่กำหนด ห้ามสวมกางเกงแพร ให้ทักทายกันด้วยคำว่า “ สวัสดี “ ห้ามกินหมาก ให้สวมหมวกทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ใช้คำขวัญปลุกใจทุกเช้าก่อนเรียน การยกเลิกบรรดาศักดิ์โดยให้ใช้เพียงชื่อ สกุล เหมือนคนทั่วไป การเคารพธงชาติ และเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงมหรสพ ฯลฯ สภาพสังคมหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ทำให้สังคมไทยเป็นสังคมประชาธิปไตย ซึ่งมีลักษณะที่สำคัญ คือo ประชาชนขึ้นมาเป็นเจ้าของประเทศและมีบทบาทในการปกครองประเทศด้วยกระบวนการกฎหมายรัฐธรรมนูญ o ชนชั้นกลาง พวกพ่อค้า ปัญญาชน ขึ้นมามีบทบาทในสังคมแต่ผู้กุมอำนาจยังคงได้แก่ทหารและข้าราชการ o นายทุนเติบโตจากการค้าและอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งมีอิทธิพลและบทบาทจนได้เปรียบในสังคม o เกิดช่องว่างในสังคมทำให้ชาวไร่ ชาวนา และกรรมกรมีฐานะและชีวิตอยู่กับความยากจนและถูกเอารัดเอาเปรียบจากสังคม สมัยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย การปกครองระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของไทย ได้ดำรงอยู่จนถึง พ.ศ. 2475 จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงมาสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตย กล่าวคือ ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 มีข้าราชการทหารและพลเรือนกลุ่มหนึ่ง ได้แก่การปฏิวัติขึ้น โดยทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาสู่ระบบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงการปกครองดังกล่าว มีดังนี้ 1. เกิดจากอิทธิพลของการมีแนวความคิดในเรื่องการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่บ้านข้าราชการที่ได้รับการศึกษามาจากยุโรป
2. ฐานะทางการคลังของรัฐบาลเกิดทรุดลง ทำให้ต้องตัดรายจ่ายในด้านต่างๆ ลง ซึ่งรวมถึงบัญชีเงินเดือนของข้าราชการฝ่ายต่างๆ ด้วยจึงเกิดความไม่พอใจขึ้นมา
3. คณะผู้ก่อการหลายคน มีความรู้สึกว่า ตนไม่ได้รับการยอมรับในความสามารถจากเจ้านายบางพระองค์ คณะผู้ก่อการ ซึ่งเรียกว่าตัวเองว่า "คณะราษฎร" ได้จัดตั้งรัฐบาลขึ้น โดยมีพระยามโนปกรณ์ นิติธาดา เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ได้ประกาศให้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 ใช้รูปแบบการปกครองระบบรัฐสภา