ประวัติ และความเป็นมาของคอมพิวเตอร์
สรุป
มนุษย์พยายามสร้างเครื่องมือเพื่อช่วยการคำนวณมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว จึงได้พยายามพัฒนาเครื่องมือต่าง ๆ ให้สามารถใช้งานได้ง่ายเพิ่มขึ้นตามลำดับ
ในระยะ 5,000 ปี ที่ผ่านมา มนุษย์เริ่มรู้จักการใช้นิ้วมือและนิ้วเท้าของตนเพื่อช่วยในการคำนวณ และพัฒนาเป็นอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น ลูกหิน
พ.ศ. 2373 Charles Babbage ศาสตราจารย์ทางคณิตศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ของอังกฤษ ได้สร้างเครื่องหาผลต่าง (Difference Engine) ซึ่งเป็นเครื่องที่ใช้คำนวณและพิมพ์ตารางทางคณิตศาสตร์อย่างอัตโนมัติ แต่ก็ไม่สำเร็จตามแนวคิด ด้วยข้อจำกัดทางด้านวิศวกรรมในสมัยนั้น แต่ได้พัฒนาเครื่องมือหนึ่งเรียกว่า เครื่องวิเคราะห์ (Analytical Engine) เครื่องนี้ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 4 ส่วน คือ
1. ส่วนเก็บข้อมูล 2. ส่วนประมวลผล3. ส่วนควบคุม 4. ส่วนรับข้อมูลเข้าและแสดงผลลัพธ์
พ.ศ. 2492 Dr. John Von Neumann ได้พบวิธีการเก็บโปรแกรมไว้ในหน่วยความจำของเครื่องได้สำเร็จ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถุฏพัฒนาขึ้นตามแนวคิดนี้ได้แก่ EDVAC (Electronic Discrete Variable Automatic Computer) และนำมาใช้งานจริงในปี 2494
คอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็น 4 ยุค
ยุคที่ 1 (พ.ศ. 2488-2501) จะใช้หลอดสูญญากาศเป็นอุปกรณ์สำคัญภาษาที่ใช้
สั่งคอมพิวเตอร์ให้ทำงานต้องใช้ภาษาเครื่องซึ่งเป็นรหัสตัวเลข
ยุคที่ 2 (พ.ศ. 2502-2506) ยุคนี้ใช้ทรานซีสเตอร์ ซึ่งเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
แทนหลอดสูญญากาศในยุคนี้มีการใช้ภาษาแอสเซมบลี
ยุคที่ 3 (พ.ศ. 2507-2512)ยุคนี้จะใช้วงจรไอซี (IC หรือ Integrated Circuits) ซึ่งเป็นการบรรจุวงจรอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมากบนแผ่นซิลิกอนเล็กๆแทนการใช้
ยุคที่ 4 (พ.ศ. 2513 ถึง ปัจจุบัน) จากวงจรไอซี ต่อมาในปี พ.ศ. 2513 ได้มีการพัฒนาแอลเอสไอ
ในปี พ.ศ. 2518 สามารถเพิ่มวงจรหลายหมื่นวงจรบนแผ่นซิลิกอนขนาดเท่าเดิม
เรียกว่า วีแอลเอสไอ (VLSI = Very Large Scale Integration Circuit) ทำให้ขนาด
ของคอมพิวเตอร์เล็กลง