ดร.โสภณเชียร์ ‘สิริกัญญา’ เปิดธนาคารเพิ่ม

รูปภาพของ pornchokchai
ดร.โสภณเชียร์ ‘สิริกัญญา’ เปิดธนาคารเพิ่ม
  AREA แถลง ฉบับที่ 541/2566: วันพฤหัสบดีที่ 06 กรกฎาคม 2566

 

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4

 

            ตามที่มีข่าวว่า “สิริกัญญา” ในฐานะ “ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง” มีดำริให้เปิดธนาคารเพิ่ม ดร.โสภณในฐานะนักวิชาการที่แท้จริง (มีผลงานประจักษ์เสมอ ไม่ใช่มีแค่ ดร.ไว้ประดับ) ในฐานะผู้ประเมินค่าทรัพย์สินให้ธนาคารทั้งหลาย และในฐานะนายกสมาคมการค้าอสังหาริมทรัพย์สากล (FIABCI-Thai) ขอสนับสนุนอย่างเต็มที่
            ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ให้ความเห็นว่าควรให้มีการเปิดธนาคารเพิ่มขึ้นโดยคุณสิริกัญญา ตันสกุล “ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง” ของพรรคก้าวไกลว่า ดูอย่างประเทศในอาเซียน มีเพียงบรูไนที่เป็นประเทศเล็กๆ มีประชากรแค่ 4 แสนคนเท่านั้นที่มีจำนวนสถาบันการเงินน้อยกว่าไทย นอกนั้นมีมากกว่าเราทั้งนั้น นี่คือการป้องกันการผูกขาดนั่นเอง ไทยจึงควรทบทวนความจริงได้แล้ว อย่าได้ย่ำอยู่กับที่

 

 

            การเปิดธนาคารเพิ่มจะช่วยลดช่องว่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากได้เป็นอย่างดี ที่ผ่านมาจากข้อมูลที่เคยสอบถามเดิมในปี 2561 ซึ่งคงไม่แตกต่างจากปัจจุบันมากนัก พบดังนี้

 

 

            จะเห็นได้ว่าความแตกต่างในกรณีประเทศไทยสูงมาก หากมีสถาบันการเงินมาก การผูกขาดก็จะลดลง ดร.โสภณเคยไปพบผู้รู้จากทั้งอาเซียน ในปี 2561 เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ประเทศในอนุทวีป คือ อินเดีย เนปาล ตลอดจนประเทศในทวีปอื่น อันได้แก่ สหรัฐอเมริกา โปแลนด์ ไอร์แลนด์  ปรากฏว่าประเทศไทย  มีช่องว่างระหว่างดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากสูงสุดถึงประมาณ 5% หรืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากถึงราว 3 เท่าเศษ (333%)  ในจำนวนเงิน 100 บาท ธนาคารได้กำไรประมาณ 5 บาท หรือราว 1 ใน 20 ของต้นทุนทางการเงิน ซึ่งถือว่าสูงมาก สูงกว่าค่านายหน้าอสังหาริมทรัพย์ที่ 3% เสียอีก

            ในประเทศเนปาล ก็มีช่องว่างระหว่างดอกเบี้ยเงินกู้กับเงินฝากที่ 5% เช่นกัน  แต่ดอกเบี้ยเงินกู้ของเขาคือ 14% ส่วนดอกเบี้ยเงินฝากคือ 9%  แสดงว่าดอกเบี้ยเงินกู้มีส่วนล้ำกว่าดอกเบี้ยเงินฝากราว 56% ในขณะที่ไทยอยู่ที่ 333%  ปกติธนาคารต่างๆ ก็มีรายได้จากค่าธรรมเนียมและอื่นๆ มหาศาลอยู่แล้ว  การให้ธนาคารคิดอัตราดอกเบี้ยที่สูงลิ่วเช่นนี้ ถือเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคหรือไม่ ขาดจรรยาบรรณหรือไม่ ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility: CSR) หรือไม่ หรือไม่พึงกล่าวถึง เพราะธนาคารทั้งหลายก็ล้วนแต่เป็นลูกค้ารายใหญ่ของผมทั้งนั้น

            ประเทศที่มีช่องว่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากค่อนข้างสูงอีก 2 ประเทศก็คือ โปแลนด์ 3.1% และไอร์แลนด์ 2.5%  แต่ก็ปรากฏว่าความแตกต่างระหว่างดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากก็ต่างกันเพียง 1 เท่าตัวเศษๆ (124% และ 125%) เท่านั้น  ไม่ได้แตกต่างกันมากมายอะไรนัก  จะเห็นได้ว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของโปแลนด์และไอร์แลนด์ ที่ 4.5% และ 4.5% ยังต่ำกว่าของไทยที่ 6.5%  ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของ 2 ประเทศนี้ ก็สูงถึง 2.0% และ 2.5% ในขณะที่ไทยกลับมีอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำกว่าคือราว 1.5% เท่านั้น

            ที่น่าสนใจมากก็คือ ประเทศที่พัฒนามากแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ มาเลเซีย รวมทั้งอินเดียที่แม้จะเจริญช้ากว่าไทย แต่ความแตกต่างระหว่างดอกเบี้ยเงินฝากและดอกเบี้ยเงินกู้ต่างกันเพียง 1.25% ในกรณีมาเลเซีย 1.4% ในกรณีอินเดีย และราว 1.5% ในกรณีสิงคโปร์และสหรัฐอเมริกา  นี่แสดงว่าอันที่จริงช่องว่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และดอกเบี้ยเงินฝากไม่น่าจะเกินกว่า 2% เท่านั้น ก็เพียงพอที่จะทำให้ธนาคารสามารถให้บริการสังคมอย่างเป็นธรรมได้แล้ว

            ทำไมประเทศอื่นๆ จึงสามารถอำนวยสินเชื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยที่ธนาคารมีรายได้จากดอกเบี้ยเพียงไม่เกิน 2% เท่านั้น  ที่เป็นเช่นนี้เพราะในแต่ละประเทศ มีธนาคารและสถาบันการเงินที่อำนวยสินเชื่อให้กับประชาชนเป็นจำนวนมาก  บางประเทศมีเป็นร้อยแห่งที่แข่งกันอำนวยสินเชื่อ  ในต่างประเทศจึงมีการแข่งขันที่ค่อนข้างเสรี  แต่กิจการธนาคารของไทยมีลักษณะกึ่งผูกขาด  มีไม่ถึง 20 แห่งอย่าง ทำให้ไม่ต้องมีการแข่งขันกันเอาใจลูกค้าที่ถือเสมือนเป็น "พระเจ้า"  ลูกค้าธนาคารไทยจึงถือเสมือนเป็น "หมูในอวย" มากกว่า หรืออาจเป็นเพียง "ลูกไก่ในกำมือ" ที่ "จะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด"

            การที่ประเทศไทยมีช่องว่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และดอกเบี้ยเงินฝากห่างกันถึง 5% ซึ่งสูงกว่าค่านายหน้าอสังหาริมทรัพย์ที่ใช่จะได้กันง่ายๆ ที่ 3% นั้น จึงถือว่าสูงเกินความเป็นจริงเป็นอย่างมาก  ถ้าว่าตามหลักแล้ว หากธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถเจรจากับธนาคารสิบกว่าแห่งของไทยให้ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงมาสัก 1% ก็จะเป็นอานิสงส์อย่างมากที่จะทำให้ภาระการผ่อนชำระลดลงเป็นอย่างมาก  เศรษฐกิจไทยก็จะฟื้นคืนได้อย่างรวดเร็ว  ธนาคารก็ไม่เจ๊ง เพราะลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงไปนิดเดียว  ในขณะนี้ธนาคารก็ได้กำไรมหาศาลในแต่ละปีอยู่แล้ว  และยิ่งจะทำให้มีคนมาขอกู้เงินมากขึ้น เพราะดอกเบี้ยถูกลง  ธนาคารจะได้เลือกสรรและอำนวยสินเชื่อได้มากขึ้นกว่าเดิมอีกมหาศาล  เรียกได้ว่ามีแต่ได้กับได้ต่อสถาบันการเงินและสังคมโดยรวม

            จะเห็นได้ว่า ณ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 6.5% เงินผ่อนชำระ 1 ล้านบาทในระยะเวลา 20 ปี จะเป็นเงินปีละประมาณ 90,756 บาท หรือเท่ากับ = 6.5% / [1-{1/(1+6.5%)^20}] แต่ถ้าผ่อนชำระในระยะเวลาเดียวกัน ณ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ 5.5% (ลดลง 1%) ก็จะเป็นเงิน 83,679 บาท หรือลดลง 8% เลยทีเดียว  การลดภาระการผ่อนชำระนี้ได้ ก็จะทำให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจที่คล่องตัวขึ้น  มีผู้มาขอกู้มากขึ้น  การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจก็จะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

            ถ้าธนาคารแห่งประเทศไทยเจรจากับสถาบันการเงินโดยเฉพาะธนาคารต่าง ๆ ในการลดดอกเบี้ยเงินกู้ไม่สำเร็จ ผมขอเสนอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดให้ธนาคารต่างชาติเข้ามาให้บริการสินเชื่อมากขึ้น  ทำให้เกิดการแข่งขันมากขึ้น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ก็จะลดลงทันตาเห็น ดีไม่ดีจะลดลงมากกว่า 1% ด้วยซ้ำไป  ประเทศก็จะเจริญ มีเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น

            การบิดเบือนสิ่งที่คุณสิริกัญญาพูด เป็นการปกป้องการผูกขาด เพื่อไม่ให้ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ได้ประโยชน์หรือไม่

 

 ดร.โสภณเชียร์ ‘สิริกัญญา’ เปิดธนาคารเพิ่ม https://fb.watch/lC4FOV_UbE/ .


 ดร.โสภณเชียร์ ‘สิริกัญญา’ เปิดธนาคารเพิ่ม https://vt.tiktok.com/ZSLDKx6uh/ .


 ดร.โสภณเชียร์ ‘สิริกัญญา’ เปิดธนาคารเพิ่ม https://youtu.be/SHWdVf-DxjU .

 

 
 
 
 
 
เรียนรู้เพิ่มเติม: https://citly.me/eqsXP


ผู้แถลง:
ดร.โสภณ พรโชคชัย (sopon@area.co.th) ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA (www.area.co.th): ซึ่งเป็นองค์กรที่มีฐานข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ภาคสนามขนาดใหญ่ที่สุดและปรับปรุงให้ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย และดำเนินการเก็บข้อมูลต่อเนื่องมาตั้งแต่ พ.ศ.2537 เป็นศูนย์ข้อมูลที่มีความเป็นกลางทางวิชาการ และเป็นอิสระทางวิชาชีพ โดยไม่ถูกครอบงำโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใด ๆ สมาชิกของศูนย์ข้อมูลฯ ได้รับข้อมูลที่เป็น First-hand information ในเวลาเดียวกัน

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ใหญ่ใจดี
 

 ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ 
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ 
ไม่ถูกปิดเสียก่อน

ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 
มีผลบังคับใช้แล้ว 
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

 

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 523 คน กำลังออนไลน์