พระแม่อุมาเทวี (Devanagri: पार्वती, Kālī: काली)
ที่มาของภาพ http://goo.gl/atS6Cf
เจ้าแม่อุมา หรือ ปารวตี คือพระนามแห่งพระแม่ผู้เป็นใหญ่ในจักรวาล เป็นเทวีแห่งอำนาจวาสนาและบารมีอันสูงสุด พระองค์ทรงประทานยศถาบรรดาศักดิ์ และความเป็นใหญ่แก่ผู้หมั่นบูชาต่อพระองค์อย่างสม่ำเสมอ
อำนาจแห่งพระแม่อุมานั้น ยิ่งใหญ่หาสิ่งใดเทียบได้ พระองค์ทรงประทานชัยชนะเหนือศัตรู ประทานกำลังวังชาแห่งอิสตรี ทำลายสิ่งชั่วช้า ตลอดจนประทานบริวารและอำนาจในการปกครอง พระองค์ยังทรงประทานพรด้านความสมบูรณ์ ความอิ่มเอม ความผาสุขในการครองเรือน ครอบครัวที่เปี่ยมสุข ตลอดจนการคุ้มครองผู้ศรัทธาให้ปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง
พระแม่อุมา ทรงเป็นมารดาแห่ง พระพิฆเนศ เป็นชายาแห่ง พระศิวะ มหาเทพผู้ทำลายโลก 1 ใน 3 แห่ง พระตรีมูรติ
พระพิฆเนศ พระศิวะ
ที่มาของภาพ http://goo.gl/KHp9yf ที่มาของภาพ http://goo.gl/vvN8w9
พระแม่อุมาจึงเป็น 1 ใน 3 แห่งพระตรีศักติ ด้วย (ตรีศักติ หมายถึง พระแม่ทั้งสาม ได้แก่ พระแม่อุมา พระแม่ลักษมี พระแม่สรัสวตี)
พระตรีศักติ
ที่มาของภาพ http://www.siamganesh.com/TriDevi.jpg
พระองค์มีวิมานสถิต ณ เขาไกรลาส เช่นเดียวกับพระศิวะเทพ มีสัญลักษณ์ประจำพระองค์คือ โยนี (ฐานรองศิวลึงก์) มีทิพยรูปเป็นหญิงที่งดงาม เปี่ยมไปด้วยความเมตตา เป็นมารดาแห่งสรรพชีวิตทั้งปวง ฉลองพระองค์ด้วยอาภรณ์หลากสีสัน ประดับด้วยทองคำอย่างวิจิตร
ศิวลึงก์
ที่มาของภาพ http://goo.gl/SRiU5D
พาหนะแห่งพระแม่อุมาเทวี คือ เสือ อันหมายถึงพลังอำนาจ ความยิ่งใหญ่ และความสง่างาม
ศาสตราวุธ แห่งพระแม่อุมาเทวีคือ
- ตรีศูล เป็นสัญลักษณ์แห่งการปราบปรามสิ่งชั่วร้าย และ
- ดาบ คือสัญลักษณ์แห่งความเฉียบขาด เป็นผู้ตัดสิน และอยู่เหนือผู้อื่น
ที่มาของภาพ http://img.ispio.com/image-834B_5056A628.jpg
ที่มาของข้อมูล : http://mahatep.myreadyweb.com/article/topic-25640.html
พระแม่อุมาเทวี อวตาร 9 ปาง
1. ปางไศลปุตรี
ธิดาของหิมพาน ราชาแห่งภูเขา
http://goo.gl/v39CSX
shail แปลว่าภูเขา putri แปลว่าบุตรสาว พระแม่ไชยปุตรี ก็คือ พระแม่ดุรกาเทวี ปางที่หนึ่ง พระองค์คือธิดาของพญาทักษะ พระนามเดิมของพระแม่ไชยปุตรีก่อนที่จะแต่งงานกับพระศิวะ คือพระแม่สตี-บาวานี
พระนามของพระองค์ก็คือพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่หญิงม่ายชาวอินเดียจะต้องกระโดดเข้ากองไฟฆ่าตัวตายตามสามีไป ถ้าสามีได้เสียชีวิตลงก่อน แต่เดี๋ยวนี้พิธีสตีนี้ยกเลิกไปแล้ว เพราะว่าค่อนข้างต้องการความตั้งใจอันแรงกล้าถึงจะทำพิธีนี้
เรื่องมีอยู่ว่า พญาทักษะท่านไม่ค่อยปลื้มพระศิวะที่เป็นลูกเขย เนื่องจากพระศิวะท่านไม่นิยมแต่งกายหรูหราเหมือนเทพองค์อื่น ๆ ท่านนิยมแต่งกายด้วยหางเสือเก่า ๆ แถมร่างกายก็ไม่สะอาดเพราะท่านชอบไปนั่งสมาธิในป่าช้าเป็นส่วนใหญ่ ท่านพ่อตาก็เลยไม่ปลื้ม มีอยู่วันหนึ่ง พญาทักษะก็จัดงานที่เรียกว่า "พิธีอัศวเมธ" ซึ่งก็คือการปล่อยม้าให้เดินทางไปตามเมืองต่าง ๆ เป็นเวลา 1 ปี ถ้าเมืองไหนให้การต้อนรับม้านั้นก็ถือว่าเป็นมิตรกันต่อไป ถ้าไม่ก็ต้องมีการสู้รบ
พอครบ 1 ปี ม้าตัวนั้นก็จะถูกบูชายัญแล้วก็จะมีพิธีเฉลิมฉลองกันใหญ่โต บุตรเขยของพญาทักษะได้รับเชิญทุกคนยกเว้นพระศิวะ พระแม่ไชลปุตรีก็โกรธและน้อยใจมาก จึงทำการประท้วงพ่อด้วยการกระโดดเข้ากองไฟเผาตัวเองต่อหน้าพ่อ เท่ากับว่าไม่ยอมรับลูกสาวของตัวเองด้วย พระศิวะก็โกรธมากถึงกับส่งอสูรไปทำลายเมืองของพญาทักษะ หลังจากนั้นพระแม่ดุรกา ไชยปุตรีก็ได้มาเกิดใหม่เป็นธิดาของเจ้าผู้ครองนครหิมาลายานามว่าพระนางปราวาตี - เหมวาตีก็ได้มาแต่งงานกับพระศิวะอีกครั้ง แต่กว่าจะได้แต่งต้องบำเพ็ญตบะอยู่นาน กว่าพระศิวะจะยอมรับพระองค์ เพราะพระศิวะยังไม่สามารถลืมพระแม่สตีได้
http://goo.gl/YJ3p6m
2. ปางพรหมจาริณี
พระแม่เกิดขึ้นเอง ไม่มีพ่อแม่ และอยู่เป็นโสด
http://goo.gl/lHSvY5
ปางที่สองแห่งพระแม่ดุรกานี้ พระแม่ทรงพระนามว่า “พระแม่บรามาจาริณี” พระแม่องค์นี้ได้รับพระนามมาจากพระพรหมด้วย คำว่า ‘บรามา’ แปลว่าพระพรหม และยังรวมถึงผู้ประพฤติดี ประพฤติชอบ รวมทั้งผู้ที่ทำการบำเพ็ญตบะด้วย พระแม่บรามาจาริณีนี้ยังทรงถือประคำในมือขวา มือซ้ายทรงถือหม้อน้ำ Kumbha พระพักตร์แย้มสรวลตลอดเวลาด้วยความสุข ผู้เปี่ยมด้วยความรักและความซื่อสัตย์ ผู้เต็มไปด้วยความรู้ และความสำเร็จ
ตำนานกล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งที่พระแม่ได้ถือกำเนิดเป็นพระแม่ปาราวตีเหมวัติบุตรีของท่านท้าวเหมวันและนางเมนกา ครั้งหนึ่งพระแม่ปาราวตีกำลังเล่นกับเพื่อน ๆ อยู่ ปรากฏว่าฤาษีนารททำนายว่า ‘ฉันขอทายว่าเธอจะต้องแต่งงานกับโยคี หรือ ฤาษีท่านหนึ่งที่ไม่ค่อยนิยมแต่งกายด้วยเสื้อผ้า หรือเครื่องประดับหรูหราใดๆ แต่โยคีท่านนี้ เคยใช้ชีวิตคู่อยู่กับเธอมาแล้วในชาติที่แล้วของเธอ แต่ในชาตินี้ เธอจะต้องทำการบำเพ็ญตบะเสียก่อน เธอถึงจะได้แต่งงานกับท่านอีกครั้งนะ’ ซึ่งโยคีหรือฤาษีที่ฤาษีนารทได้ทำการทำนายก็คือ พระศิวะ
พระแม่บรามาจาริณีพอได้ฟังดังนั้นก็รีบไปบอกพระมารดา คือพระนางเมณกาว่า ‘ลูกจะไม่ขอแต่งงานกับใครอีกนอกจากพระศิวะ ถ้าไม่เช่นนั้น พระนางก็จะไม่แต่งงานกับใครอีกเลยจนชั่วชีวิต’ หลังจากนั้นพระแม่บรามาจาริณีก็ได้เดินทางออกไปบำเพ็ญพรตเพื่อที่พระศิวะจะได้ยอมรับพระนางเป็นมเหสีอีกครั้ง พระแม่สตีที่เคยทำการเผาตัวเองให้ตายไปเนื่องจากแค้นใจพระบิดาที่ไม่ให้เกียรติสามีของพระองค์ พระนางได้กลับมาเกิดอีกครั้งแต่ก็ยังคงรักมั่นต่อพระศิวะไม่เสื่อมคลาย หลังจากนั้นก็ได้แต่งงานกัน ในปางนี้เองที่พระแม่บรามาจาริณีได้ถูกเรียกขานว่า ‘พระแม่อุมา’ จนเป็นพระนามที่ชาวโลกใช้เรียกขานพระองค์มาตลอดจนทุกวันนี้
เรื่องราวของพระแม่ปาราวตีและการบำเพ็ญตบะของท่านนั้นร้อนแรงเสียจนครั้งหนึ่งได้ทำลายอัตตาหรือความเห็นแก่ตัวของพระอินทร์ลงอย่างราบคาบ จนกระทั่งมีอยู่คราวหนึ่ง เหล่าองค์เทพทั้งหลาย รวมถึงองค์อวตารได้พากันค้อมคำนับแด่พระองค์พร้อมกล่าวว่า “พระแม่คือพลังแห่งศักติอันยิ่งใหญ่” ทั้งพระพรหม พระนารายณ์ และพระศิวะเอง ล้วนแต่มีฤทธิ์เดชและพลังทั้งหลายล้วนเกิดจากการประสาทพรจากพระนางนั่นเอง
3. ปางจันทรฆัณฎา
ทรงปราบอสูรด้วยเสียงระฆังทรงปราบอสูรด้วยเสียงระฆัง
http://goo.gl/OuXa86
ปางที่ 3 ของพระแม่ดุรกาเทวี ซึ่งก็คือ พระแม่ "
จันดรากานดา" เป็นอวตารปางที่สาม ทรงได้รับการบูชาในวันที่ 3 พระองค์มีสัญลักษณ์ให้สังเกตุง่าย ๆ ก็คือ จะทรงมี
พระจันทร์เสี้ยวที่หน้าผาก พระองค์ทรงงดงามมาก และมีเสน่ห์มาก ใครเห็นก็รัก พระฉวีสีทองอร่ามทั้งองค์ พระองค์มี
ดวงตา 3 ดวง มี
10 พระกร ทรงอาวุธครบทั้ง 10 มือ ที่เหลือทรงมุทรา แห่งการให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ และการหยุดสิ่งชั่วร้าย พระนาม
chandra + ghanta หมายความถึง
ความสุข และ
ความรู้สูงสุด แสดงถึงความสงบสุข ความร่มเย็น ดั่งแสงพระจันทร์
พระนาง
ประทับนั่งบนหลังเสือ ชื่อ
"โสมนนทิ" และ ที่สำคัญพร้อมที่จะ
ออกรบและ
สู้ศึกเสมอ
ในปางนี้พระแม่เป็นปางที่แสดงถึงความกล้าหาญสูงสุด ถ้าพระองค์เสด็จไปไหนจะมี
เสียงระฆังนำไปก่อนเสมอ
เสียงดังกังวานไปทั่ว เสียงระฆังนี้ว่ากันว่าจะดังกังวานและน่าเกรงขามมาก เหล่าอสูร ภูติผีปีศาจถ้าได้ยินก็จะรีบหนีกัน เรียกว่าพระแม่จะทรงเตือนก่อนว่า พระองค์กำลังจะเสด็จแล้ว
4. ปางกูษามาณฑา
ทรงปราบอสูรด้วยอาวุธ
http://goo.gl/6Vp4mw
ปางที่ 4 เป็นปางของพระแม่ที่ทรงพระนามว่า ‘‘กุชมานดา’’
พระแม่พระองค์นี้กล่าวกันว่าทรงสร้างจักรวาลทั้งปวงโดยการหัวเราะเพียงครั้งเดียว ก็ปรากฏว่ามีไข่ หรือก็คือจักรวาลที่เราได้อาศัยอยู่นั่นเอง
พระแม่จะประทับอยู่เหนือสุริยจักรวาล และส่งประกายครอบคลุมจักรวาลไปทั้ง 10 ทิศ ทรงมีรัศมีส่องสว่างไปทั่วทั้ง
10 ทิศ ดั่งพระอาทิตย์ พระแม่ในปางนี้จะมี 8 พระกร ทรงอาวุธทั้งหมด 7 อย่าง ทรงถือประคำในมือขวา ทรงเสือเป็นพาหนะ ในปางนี้พระแม่โปรดที่จะได้รับการถวายผงจันทร์สีแดง
5. ปางสกันทมาตา
ทรงเลี้ยงพระขันทกุมาร โอรสผู้เกิดจากพระศิวะ
http://goo.gl/zptOa1
สำหรับพระแม่ดุรกาปางที่ 5 นี้ มีพระนามว่า ‘‘พระแม่ดุรกา สกันดามาตา’’ นอกเหนือจากพระพิฆเนศแล้ว พระแม่อุมา และพระศิวะ ยังมีพระโอรสอีกพระองค์หนึ่ง ซึ่งก็คือ พระขันธกุมาร หรือ สกันดา นั่นเอง
พระแม่สกันดามาตานี้เป็นพระแม่ดุรกาปางที่ 5 ถือกำเนิดมาเมื่อครั้งที่พระแม่สตี พระมเหสีของพระศิวะได้ทำการเผาตนเองจนตาย เพราะน้อยใจพระทักษะพระบิดาที่ไม่ให้เกียรติพระศิวะ ปางนี้พระแม่ได้มาเกิดใหม่เป็นพระแม่อุมาปราวตี และได้บำเพ็ญตบะจนแก่กล้า จนพระศิวะท่านเห็นใจในความเพียร จึงยอมรับพระแม่เป็นพระมเหสีอีกครั้งหนึ่ง พระแม่อุมาปารวตีเมื่อได้แต่งงานกับพระศิวะอีกครั้ง ก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายขึ้นมาพระองค์หนึ่งนามว่า “สกันดา” หรือ พระขันธกุมาร
พระแม่สกันดามาตานี้เป็นพระแม่ที่เป็นสัญลักษณ์ที่เป็นตัวแทนแห่ง
ไฟ พระแม่จะปรากฏกายโดยมี
พระขันธกุมารนั่งอยู่บนตักเสมอ
พระแม่สกันดามาตานี้จะมี
ดวงตาถึง 3 ดวงด้วยกัน และมีพระกร
สี่พระกร พระแม่สกันดามาตาจะมีพระฉวีสีขาว และประทับ
นั่งบนดอกบัว ทรงสิงโตเป็นพาหนะ
พระแม่จะประทานพรด้าน
การมีบุตรที่ดีและ
การมีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่น
6. ปางกาตยานี
ทรงปราบมหิษาสูร (ทุรคา)
http://goo.gl/tKQlZG
ปางที่ 6 ของพระแม่ดุรกาเทวีก็คือ ‘‘พระแม่กาฏญาญาณี’’
พระแม่กาฏญาญาณีนี้ ถือกำเนิดมาจากตำนานที่ว่า ครั้งหนึ่งมีบุตรของพระเจ้ากาฏ มีนามว่า กาฏญาญัณ ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากตระกูลกาฏญา กาฏญาญัณนี้ได้บำเพ็ญตบะอย่างคร่ำเคร่งเพื่อต้องการที่จะขอพรให้ได้นางฟ้า นางสวรรค์ หรือมหาเทวี มาเป็นบุตรสาวของตน ด้วยเหตุนี้ พระแม่กาฏญาญาณีจึงได้ถือกำเนิดมาเป็นบุตรสาวของท่านกาฏญา และได้พระนามที่เรียกขานกันว่า "พระนางกาฏญาญาณี" พระแม่กาฏญาญาณีนี้มี
ดวงตาถึง
3 ดวง มีพระกรถึง
8 พระกร และ
ทรงอาวุธครบมือทั้งเจ็ดพร้อมรบและเป็นอาวุธร้ายแรงที่ใช้ทำสงคราม
มือประทานพร และประทานอภัย ทรงพาหนะเป็นราชสีห์เจ้าป่าชื่อ
สีหะพานาราช พระแม่ปางนี้เสด็จไปที่ไหน อสูรร้ายก็จะพากันกลัวเกรงมาก
พระแม่กาฏญาญาณีนี้เชื่อกันว่าสามารถช่วยประทานพรให้คู่รักที่ไม่ได้แต่งงานกัน ง่าย ๆ ได้สมหวังในความรักได้ ด้วยการสวดขอพรจากพระแม่กาฏญาญาณี มีตำนานเล่าว่า มีมานพหนุ่มที่ชื่อว่า วริณดาวานา ได้ทำการขอพรจากพระแม่กาฏญาญาณีทุกๆวันหลังจากได้อาบน้ำชำระร่างกายที่แม่น้ำยุมนา เพื่อให้ได้แต่งงานกับคนรัก
“โอ้ พระแม่ผู้ศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งแห่งจักรวาล พระแม่ผู้ทรงพลังศักดิ์สิทธิ์สูงสุด
ผู้ควบคุมความเป็นไปของทุกสรรพสิ่งในโลกนี้
โปรดกรุณาประทานพรให้ลูกได้แต่งงานกับคนที่ลูกปรารถนาด้วยเทอญ ……”
และก็ประสบความสำเร็จ เชื่อกันว่า องค์ของพระแม่ไม่ว่าจะถูกสร้างจากดินแห่งแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ หรือ ทำด้วยโลหะ หรือ เพชรนิลจินดาใดๆ พระแม่ก็จะประทานพรให้ทุกคนที่สวดขอพรจากใจ
7. ปางกาลราตรีหรือกาลี
ทรงเสวยเลือดอสูร
http://goo.gl/DOublT
ปางที่ 7 คือปางที่เรียกขานพระนามกันว่า “กาลราตรี”
สมพระนามกล่าวคือ พระฉวีของพระแม่ในปางนี้จะสีดำสนิทดั่งความมืดแห่งสนธยากาล พระเกศายาวสยาย กระเซิงไม่เป็นระเบียบ สร้อยคอของพระองค์จะสว่างเป็นสีเงิน เปรียบได้ดั่งสีแห่งสายฟ้าฟาด พระแม่จะมีดวงตาถึงสามดวงด้วยกัน และดวงตาทั้งสามนี้จะกลมมากเปรียบได้ดั่งจักรวาลที่เราอาศัยอยู่ ดวงตาของพระแม่จะสุกสว่างมาก ทรงลาเป็นพาหนะ เหยียบพระศิวะ
เมื่อเวลาพระแม่หายใจก็จะมีเปลวเพลิงพวยพุ่งออกมาจากทางจมูกตลอดเวลา พระแม่จะทรงยืนอยู่บนซากศพ และทรงถือดาบที่คมมากๆอยู่ที่มือขวา แต่มือซ้ายด้านล่างพระองค์ก็จะอยู่ในท่าประทานพรคือไม่ได้ฆ่า ทำลายล้างอสูรร้ายและคนชั่วอย่างเดียว
พระองค์ยังทรงประทานพรด้วยสำหรับผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ส่วนมือซ้ายด้านบนจะทรงถือคบเพลิง เพราะท่านเสด็จเฉพาะกลางคืน ส่วนมือซ้ายด้านล่างลงไปอีกก็ทำท่าที่สื่อถึงสาวกของพระองค์ว่า “อย่ากลัว” เพราะพระแม่จะทรงคุ้มครองสาวกของท่านเสมอๆ
พระแม่ปางนี้ถือเป็นสัญลักษณ์มหามงคล ชาวอินเดียบางครั้งจึงขนานนามพระองค์ว่า “ศุภะมกาลี” ทรงเป็นผู้ทำลายความมืด
และ ความโง่เขลา พระแม่กาลีเป็นเทวีปราบมารที่ร้ายแรงมาก เรียกว่า เป็นปางที่ทรงพลังอำนาจมากที่สุดในการทำลายอสูร และความชั่วทั้วปวง ถือกำเนิดออกมาจากกลางหน้าผากของพระแม่ดุรกาในยามพิโรธเหล่าปิศาจอสูรที่สุด เรียกว่าถ้าพระแม่กาลีเสด็จก็ถือว่าเป็นการสิ้นสุดของการต่อสู้ เพราะไม่มีใครสามารถต้านทานพลังแห่งพระแม่ได้
8. ปางมหาเคารี
ทรงเป็นเจ้าแม่แห่งธัญชาติ ทำให้พืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์
http://goo.gl/cLY7og
ปางอวตารที่ 8 ของพระแม่ซึ่งมีพระนามว่า “มหาโกรี”
ในปางนี้พระแม่จะปรากฏพระองค์ในลักษณะที่มีสี่พระกรเสมอ พระฉวีของพระองค์จะเป็นสีผิวที่ขาวผ่อง และงดงามมากเมื่อเทียบกับทุกๆปาง พระแม่จะฉายแววแห่งความรัก และความสงบออกมาจากปางนี้ ซึ่งต่างกับปางอื่นๆ มีแต่ปางที่แปดนี้เองที่ทรงดูสงบเยือกเย็น พระแม่ในปางที่แปดนี้จะสวมส่าหรีสีขาว หรือเขียวเสมอๆ พระองค์จะถือกลองและตรีศูล พระแม่ในปางที่แปดนี้จะทรงวัวเป็นพาหนะ
http://goo.gl/TvsS1W
9. ปางสิทธิธาตรี
ทรงเป็นเจ้าแม่แห่งความสำเร็จ
http://goo.gl/3mFFdf
ปางที่ 9 ซึ่งเป็นปางสุดท้าย พระแม่ทรงพระนามว่า “พระแม่สิทธิราตรี” หรือ ปางมารีอัมมัน
พระแม่จะประทับบนดอกบัว มีสี่พระกร ทรงเป็นที่เคารพ บูชาของเหล่าเทพ ฤาษี มุนี โยคีและผู้ศรัทธา เพื่อความสำเร็จบรรลุธรรม อีกนัยหนึ่งคือปราบอสูรได้รับชัยชนะทุกครั้ง สำเร็จผลได้รับการสรรเสริญทั่วทั้ง 3 โลก และอันนี้สำคัญมาก พระแม่พร้อมที่จะประทานพรสำคัญทั้ง 26ประการแก่สาวกของพระแม่ที่ทำการสวดขอพรอยู่เป็นประจำ สถานที่สำคัญที่สาวกของพระแม่ควรไปสวดอ้อนวอน และขอพรจากพระองค์จะอยู่ที่เมืองนันทประวัติ แห่งเทือกเขาหิมาลัย ตามตำนานกล่าวไว้เช่นนั้น
http://goo.gl/wsU2au
ที่มาของข้อมูล พระแม่อุมาเทวี อวตาร 9 ปาง : http://goo.gl/IeE1Pk
ที่มาของข้อมูล : http://mahatep.myreadyweb.com/article/topic-25640.html
http://goo.gl/IeE1Pk
จัดทำโดย
นางสาว พรนภา จั่นเงิน
นางสาว พิชชา พึ่งพิบูลย์
นางสาว ฑิฆัมพร เสียงเพราะ
โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย กรุงเทพมหานคร
แหล่งอ้างอิง:
http://mahatep.myreadyweb.com/article/topic-25640.html http://goo.gl/IeE1Pk