พี่ป.3 เขียนนิทานให้น้องป.1
โครงการภาษาของแผ่นดินเฉลิมพระเกียรติ เป็นโครงการที่ดำเนินขึ้นมาโดยมีเป้าหมายเพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาการใช้ภาษาไทยของเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ตลอดจนแก้ปัญหาทางด้านการอ่านภาษาไทยให้มีความถูกต้อง โดยมุ่งขยายผลไปยังนักเรียนในชนบทที่ห่างไกล และโรงเรียนที่มีความขาดแคลน
การดำเนินโครงการดังกล่าวมีรูปแบบที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง โดยพัฒนามาจากธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็กเป็นหลัก ตามหลักการของ Child Centered ที่คำนึงถึงความต้องการ ความชอบ วิธีการเรียนรู้ของเด็กเป็นหลัก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ฉันทนา ภาคบงกช ประธานโครงการภาษาของแผ่นดินเฉลิมพระเกียรติ เปิดเผยว่า ทางโครงการฯ ได้ทำการศึกษาวิจัยชุดคำพื้นฐานที่เด็กชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ใช้ในชีวิตประจำวัน โดยพบว่าจำนวนคำที่พบว่าเหมาะสมกับเด็กชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มี 708 คำ แต่ในการจัดทำนิทานชุดนี้ นำคำที่มีความถี่ในการใช้สูงสุดมาเพียง 200 คำ แล้วจัดกลุ่มเป็น 26 กลุ่ม และนำคำเหล่านี้มาดำเนินการในโครงการ “เขียนนิทานให้น้องอ่าน” ซึ่งเด็กสามารถจดจำและนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ จากนั้น จึงเปิดโอกาสให้เด็กเขียนอย่างอิสระ เพื่อหาคำศัพท์ที่มีความถี่ในการใช้สูงสุด เพื่อนำมาจัดทำหลักสูตร
“จากนั้นจึงได้ดำเนินโครงการ “เขียนนิทานให้น้องอ่าน” โดยให้เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จาก 11 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา โรงเรียนเกษมพิทยา โรงเรียนคลองกะจะ โรงเรียนอนันตา โรงเรียนอนุบาลสามเสน โรงเรียนอนุบาลยะลา โรงเรียนอนุบาลพิษณุโลก โรงเรียนบ้านก้างปลา จ.เลย โรงเรียนประจันตะวิทยา จังหวัดเลย โครงการฯ ได้เปิดโอกาสให้เด็กคิดและสร้างสรรค์นิทานตามจินตนาการ โดยแต่ละกลุ่มให้ช่วยกันคิดนิทานจากกลุ่มคำที่กำหนดไว้ ผลปรากฏว่าเด็ก ๆ สามารถทำงานร่วมกันเขียนนิทานออกมาอย่างหลากหลายและสนุกสนาน” ผศ.ดร.ฉันทนากล่าว
ตัวอย่างเช่น นิทานเรื่อง “คุณย่าออกกำลังกาย” เป็นผลงานของนักเรียนโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เป็นหนังสือเล่มที่ฝึกออกเสียง “ย” ซึ่งอาจารย์ฉันทนาเล่าว่า ในวันที่ไปจัดกิจกรรมนั้น มีนักเรียนร่วมเขียนจำนวนมาก เนื่องจากเวลาจำกัด จึงเริ่มต้นด้วยการคิดโครงเรื่องด้วยกัน จากนั้นแบ่งกันเขียนและวาดภาพแต่ละตอน ทำให้เนื้อเรื่องเสร็จสมบูรณ์ภายในเวลา 1 ชั่วโมง
ภายหลังจากที่นักเรียนช่วยกันเรียบเรียงเรื่องราวนิทานแล้วเสร็จ คณะทำงานลงพื้นที่ทั้งในเมืองและต่างจังหวัด เพื่อทำการสอบถามเด็กนักเรียนชั้น ป.1 ว่าพวกเขาชอบเนื้อเรื่องหรือไม่ อยากให้ปรับปรุงเนื้อหาอย่างไรบ้าง เพื่อให้สนุกและน่าสนใจ ทำให้ได้นิทานที่เกิดประโยชน์สูงสุด และสามารถส่งเสริมรากฐานภาษาไทยของเด็ก ป.1 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“เด็ก ๆ มีความสุขกับการแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในนิทานเป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างหนังสือนิทานเล่มที่ 16 เรื่อง “ข้าวไข่ดาว” ตัวเอกของเรื่องเดิมชื่อ “เขียว” แต่น้อง ป.1 บอกว่า “ชื่อเขียวนี่ ชื่อเชยไป” แล้วช่วยกันตั้งชื่อให้อยู่ในชุด “ข” และ “ค” เด็ก ๆ เลยช่วยกันตั้งชื่อใหม่ว่า “เคน” เพราะเขาชอบพระเอกหนุ่ม “เคน ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์” หลังจากนั้น เรานำนิทานที่ปรับปรุงไปอ่านกับเด็ก ป.1 กลุ่มใหม่ เพื่อดูว่าเด็กมีความคิดเห็นอย่างไร หลังจากนั้นจึงจัดพิมพ์ เมื่อเรากระจายหนังสือไปยังโรงเรียนต่าง ๆ ขณะที่หนังสือชุดใหม่พิมพ์และส่งไปโรงเรียนต่าง ๆ ปรากฏว่าอยู่ในช่วงที่ “เคน” เพิ่งแต่งงาน พบว่า นิทานเรื่อง “ข้าวไข่ดาว” กลายเป็นนิทานยอดนิยมของเด็ก ๆ คุณครูในโรงเรียนเล่าว่า เด็ก ๆ อยากกินข้าวไข่ดาวเป็นเมนูอันดับต้น ๆ ด้วยเช่นกัน ผลจากหนังสือนิทานเล่มนี้นั่นเอง”
ภายหลังจากการออกแบบนิทานแล้วเสร็จ จึงได้วาดภาพประกอบนิทานแต่ละเรื่อง โดยนิสิตนักศึกษาอาสาสมัคร สาขาศิลปกรรม และนักเรียนมัธยมสาธิต มศว. ทำให้ได้ภาพนิทานที่สวยงาม จากนั้น โครงการฯ ได้นำชุดนิทานไปทดลองใช้ในโรงเรียนชนบทห่างไกลจำนวน 1,188 หมู่บ้าน ใน 132 เขตพื้นที่การศึกษาทุกจังหวัด พบว่าสามารถช่วยให้เด็กอ่านคล่องและมีความสุข จนในที่สุดได้รับคำขวัญว่า “อ่านคล่อง อ่านสนุก อ่านถวายในหลวง”
“การที่เด็กสามารถอ่านได้คล่องนั้น เนื่องจากคณะทำงานใช้ยุทธวิธีสนับสนุนให้เด็กช่วยเหลือกัน โดยให้เด็กที่เรียนเก่ง ช่วยเหลือเด็กที่เรียนอ่อน ซึ่งโดยธรรมชาติของเด็กเก่งแล้ว ถ้าจะให้ช่วยเด็กที่เรียนอ่อนเลย อาจจะเป็นการบังคับจิตใจเด็ก และอาจรังเกียจที่จะช่วยเพื่อน แต่ถ้าเราบอกเขาว่า “หนูจะมีนิทานสนุก ๆ อ่าน หนูอ่านพร้อมเพื่อนดีมั้ย หนูก็ช่วยให้เพื่อนอ่านสนุกด้วย หนูก็จะเป็นคนดี ได้ช่วยเพื่อน ดีมั้ยคะ” เด็กจะยินดีทำ และเป็นกำลังใจให้เด็กเก่งช่วยอ่านนำเด็กที่เรียนอ่อน ทั้งนี้ ในความเป็นจริง พบว่า เด็กที่เรียนปานกลางจะช่วยเด็กที่เรียนอ่อนได้เยอะมาก มีความอดทนในการสอนเพื่อนให้อ่าน ท้ายที่สุดก็เกิดเป็นชุมชนเล็ก ๆ ในแต่ละโรงเรียน เด็ก ๆ ป. 1 อ่านหนังสือด้วยกัน ช่วยเหลือกัน เป็นภาพที่น่ารักน่าประทับใจที่สุด นอกจากนี้ ศึกษานิเทศน์ในจังหวัดชุมพร นำหลักการของเราไปอบรมครูให้จัดทำกิจกรรมเพื่อฝึกภาษาให้กับเด็ก ซึ่งได้ผลดี คือ เด็กมีการอ่านเขียนมากกว่าปีการศึกษาที่ผ่านมา”