สมาคมการค้าเสรีภาพแห่งยุโรป
ทิศทางนโยบายการค้าสหภาพยุโรป: Free Trade หรือ Protectionism
Written by คณะผู้แทนไทยประจำประชาคมยุโรป
ในยุคที่การแข่งขันในเวทีการค้าโลกยิ่งทวีความรุนแรง พร้อมกับการก้าวขึ้นมามีบทบาทโดดเด่นของผู้เล่นใหม่ๆ ในเอเชียอย่างจีนและอินเดีย มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์หนาหูว่า ดูเหมือนสหภาพยุโรปกำลังจะปรับนโยบายทางการค้าให้ไปในทิศทางที่ใช้นโยบายปกป้องทางการค้า (protectionnism) มากยิ่งขึ้น และจะละทิ้งคำมั่นสัญญาในการดำเนินนโยบายการค้าเสรี (free trade) ทิศทางนโยบาย สมาคมการค้าเสรียุโรปหรือเอฟตา สมาคมการค้าเสรียุโรปหรือเอฟตา (อังกฤษ: European Free Trade Association — EFTA) เป็นกลุ่มการค้าของทวีปยุโรป ตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2503 เป็นอีกกลุ่มนอกจากประชาคมเศรษฐกิจยุโรปในตอนนั้น มีสมาชิกก่อตั้งคือออสเตรีย เดนมาร์ก นอร์เวย์ โปรตุเกส สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร ปัจจุบันเอฟตามีสมาชิกคือไอซ์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ นอร์เวย์ และสวิตเซอร์แลนด์ ฟินแลนด์เริ่มเป็นสมาชิกสมทบในปีพ.ศ. 2504 และกลายมาเป็นสมาชิกเต็มในปีพ.ศ. 2529 และไอซ์แลนด์เข้าเป็นสมาชิกในปีพ.ศ. 2513 สหราชอาณาจักรและเดนมาร์กเข้าร่วมประชาคมยุโรปในปีพ.ศ. 2516 จึงหมดสมาชิกภาพของเอฟตา โปรตุเกสเข้าประชาคมยุโรปเช่นกันในปีพ.ศ. 2528 ลิกเตนสไตน์เข้าร่วมเอฟตาในปีพ.ศ. 2534 และสุดท้ายฟินแลนด์ สวีเดน ออสเตรีย ออกจากเอฟตาไปเข้าร่วมสหภาพยุโรปในพ.ศ. 2538 การค้าของสหภาพยุโรปหลังการเจรจาการค้าพหุพาคีรอบโดฮาจะดำเนินไปอย่างไร
เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2549 บริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจ DLA Piper เป็นเจ้าภาพจัดงานสัมมนา International Trade Summit ณ กรุงบรัสเซลส์ ซึ่งเป็นการพบกันระหว่างนักธุรกิจ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและด้านกฎหมาย ผู้วางแผนนโยบายของสหภาพยุโรป และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือเกี่ยวกับนโยบายการค้าของสหภาพยุโรป โดยมีกรรมาธิการยุโรปด้านการค้า นาย Peter Mandelson เข้าร่วมหารือด้วย โดยประเด็นหลักที่ภาครัฐและเอกชนยุโรปให้ความสนใจถกเถียงกันในการสัมมนา ได้แก่ ทิศทางนโยบายการค้าสหภาพยุโรป การทบทวนกลยุทธ์และเครื่องมือปกป้องทางการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรการการปกป้องการทุ่มตลาด (Anti-Dumping - AD) ทัศนะคติของภาคธุรกิจยุโรปเกี่ยวกับการปรับปรุงนโยบายการค้าของสหภาพยุโรป และการดำเนินความสัมพันธ์ทางกา
1.ทิศทางนโยบายการค้าสหภาพยุโรป
ในระหว่างการเปิดการสัมนา Lord Tim Clement-Jones ตำแหน่ง Co-Chairman, Global Government Relations, DLA Piper ยกประเด็นคำถามที่เป็นที่สนใจของภาคธุรกิจขึ้นหารือ อาทิ ในยุคที่การเจรจาการค้าพหุพาคีชะงักงัน สหภาพยุโรปควรจะดำเนินนโยบายการค้าแบบปกป้อง ‘protectionism’ หรือ นโยบายการค้าเสรี ‘free trade’ และทิศทางนโยบายการค้าสหภาพยุโรปจะยังคงเน้นกรอบพหุภาคีหรือจะหันเหไปทางทวิภาคีมากขึ้น ที่สำคัญ การสัมมนาครั้งนี้ได้เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจยุโรปจากหลากหลายสาขาได้เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการค้าของสหภาพยุโรปต่อผู้วางนโยบายโดยตรง
ในช่วงต้นของการสัมมนา นาย Graham Watson สมาชิกสภายุโรปและผู้นำกลุ่ม Alliance of Liberals and Democrats for Europe สภายุโรป ให้ความมั่นใจแก่ภาคธุรกิจว่า สหภาพยุโรปยังมุ่งเดินหน้าอุดมการณ์การค้าเสรี และแสดงความคาดหวังในเชิงบวกเกี่ยวกับการเจรจาการค้าพหุภาคีรอบโดฮาในกรอบ World Trade Organisation (WTO) ว่าจะต้องสำเร็จให้ได้ เนื่องจากโดฮานั้นสำคัญเกินกว่าที่จะล้มเหลวลง สหภาพยุโรปและประเทศสมาชิก WTO ต้องการกฎเกณฑ์ทางการค้าเพื่อสร้างความแข็งแกร่งและความมั่นคงแก่ระบบการค้าโลก ซึ่งกรอบพหุพาคีเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่สุดและเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด แต่กรอบการเจรจาแบบทวิภาคีนั้นมีความซับซ้อน และประเทศที่มีระดับการพัฒนาน้อยกว่าจะเป็นผู้เสียประโยชน์
อย่างไรก็ดี ในขณะที่รอความสำเร็จของการเจรจาการค้าพหุภาคีซึ่งอาจจะล่าช้าออกไป ประเทศต่างๆ อาจดำเนินความสัมพันธ์ทางการค้าในระดับภูมิภาคและระดับทวิภาคีที่สนับสนุนและเอื้อประโยชน์ต่อการเจรจาในกรอบพหุภาคี ทั้งนี้ ตนเห็นว่าสหภาพยุโรปสามารถดำเนินความสัมพันธ์ทางการค้าแบบทวิภาคีกับประเทศคู่ค้าต่างๆ ได้ แต่ควรเน้นการหารือในประเด็นที่ไม่ได้รวมอยู่ในกรอบการค้าพหุภาคี อาทิ ประเด็นด้านสังคม สิ่งแวดล้อม ทรัพย์สินทางปัญญา การเคารพกฎเกณฑ์ (rules of law) และ best practice เป็นต้น นาย Peter Mandelson กรรมาธิการยุโรปด้านการค้า ซึ่งได้ร่วมการหารือในช่วงสุดท้ายของการสัมมนา ได้กล่าวย้ำถึงอุดมการณ์ที่มั่งคงของสหภาพยุโรปในระบบการค้าเสรี และแสดงความเชื่อมั่นในกรอบการเจรจาพหุพาคี WTO ซึ่งปัจจุบันต้องการผลักดันแบบหลังฉาก ‘quiet diplomacy’ เพื่อให้การเจรจาเดินหน้าต่อไป นอกจากนั้น นาย Mandelson กล่าวเน้นเกี่ยวกับยุทธศาสตร์การค้าของสหภาพยุโรปที่กำลังปรับใช้ที่สำคัญ 2 ประการ ได้แก่ 1) ความพยายามในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสหภาพยุโรปผ่านการใช้นโยบายทางการค้าที่มีประสิทธิภาพ และ 2) ยุทธศาสตร์ ‘Global Europe’ ซึ่งเป็นกรอบยุทธศาสตร์ใหม่ที่สหภาพยุโรปได้ประกาศเมื่อปลายเดือนตุลาคม 2549 โดยเน้นการเปิดตลาดต่างประเทศ และลดการปกป้องทางการค้าภายในสหภาพยุโรปเอง
สำหรับประเด็นการเปิดการเจรจาเขตการค้าเสรีของสหภาพยุโรปกับคู่ค้าอื่นๆ นาย Mandelson กล่าวว่าสหภาพยุโรปพิจารณาการเริ่มเจรจากับประเทศต่าง ๆ อาทิ อาเซียน อินเดีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย โดยเน้นที่ประเด็นการลดอัตราภาษีศุลกากร การลดมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers – NTBs) และประเด็นสำคัญอื่นๆ ที่ไม่ได้ครอบคลุมอยู่ในกรอบ WTO โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลงทุน และนโยบายด้านการแข่งขัน (competition policy)
2. กลยุทธ์และเครื่องมือปกป้องทางการค้า: มาตรการปกป้องการทุ่มตลาด 2.1 มาตรการปกป้องการทุ่มตลาด หรือ Anti-Dumping (AD) การใช้เครื่องมือปกป้องทางการค้า (Trade Defense Instrument) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรการการปกป้องการทุ่มตลาด (Anti-Dumping) ของสหภาพยุโรปเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจและหารือกันอย่างกว้างขวางในการสัมมนาดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้ AD ต่อสินค้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มจากจากจีน และรองเท้าจากเวียดนาม โดยภาคธุรกิจส่วนใหญ่มิได้ขัดขวางการใช้ AD และมาตรการปกป้องทางการค้าในรูปแบบอื่น ๆ แต่อย่างใด แต่ภาคธุรกิจวิพากษ์วิจารณ์ว่าการใช้มาตรการ AD ยังขาดความโปร่งใส มีประเด็นการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ต้องใช้ระยะเวลาในการพิจารณานาน และไม่สามารถคาดการณ์ได้ ซึ่งอาจสร้างความเสียหายและความล่าช้าให้แก่การภาคธุรกิจได้ โดยภาคธุรกิจหวังว่าคณะกรรมาธิการยุโรปจะปรับปรุงวิธีการใช้มาตรการ AD ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นาย Harald Wenig ตำแหน่ง Director, Trade Defense Instrument Directorate คณะกรรมาธิการยุโรป ชี้แจ้งเพิ่มเติมว่าการใช้เครื่องมือปกป้องทางการค้า และมาตรการปกป้องการทุ่มตลาด เป็นสิ่งจำเป็นและยังคงต้องใช้อยู่ต่อไป แต่จะมีการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น (แม้จะมีเสียงเรียกร้องจากภาคธุรกิจยุโรปบางส่วนให้มีการยกเลิกมาตรการดังกล่าว - มิใช่ในงานสัมมนาครั้งนี้) โดย ตนเห็นว่า AD เป็นมาตรการทางการค้าที่ใช้เพื่อป้องกันการแทรกแซงทางด้านตลาดเพื่อให้สร้างการแข่งขันที่เป็นธรรม แต่มิได้มีไว้เพื่อปกป้องตลาดภายใน สหภาพยุโรปจำเป็นต้องมีเครื่องมือทางการค้าอย่าง AD เพื่อสร้างตลาดที่เป็นธรรมแก่ธุรกิจยุโรป ในขณะที่ภาคธุรกิจในจีนสามารถผลิตในต้นทุนที่ต่ำกว่าหลายเท่า และผู้ผลิตในอินเดียก็ได้รับการอุดหนุนจากภาครัฐอย่างมาก
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการยุโรปกำลังจะเปิดรับความคิดเห็นจากภาคธุรกิจเกี่ยวกับนโยบายการใช้เครื่องมือปกป้องทางการค้า รวมทั้ง AD ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม 2550 เป็นต้น เพื่อทบทวนยุทธศาสตร์การใช้เครื่องมือการปกป้องทางการค้าดังกล่าว และคาดว่าจะออกเป็นยุทธศาสตร์ฉบับใหม่ในปี 2538
3. การดำเนินความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีน ไม่เป็นที่น่าแปลกใจที่ประเด็นการดำเนินความสัมพันธ์ทางการค้าสหภาพยุโรป-จีนได้รับความสนใจมากที่สุดในการสัมมนา จีนซึ่งเป็นทั้งคู่ค้าสำคัญ เป็นโอกาส และเป็นภัยคุกคามสำหรับยุโรป การค้าระหว่างสหภาพยุโรป-จีนเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาสตั้งแต่ปี 2001 จากปริมาณการค้ารวมประมาณ 76.6 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2001 เป็น 100 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2003 และเพิ่มขึ้นเท่าตัวเป็น 200 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐในระยะเวลาเพียง 2 ปี 4. ข้อสังเกตและข้อเสนอ เป็นที่น่าสังเกตว่า ในการสัมมนาดังกล่าวนักธุรกิจที่มาเข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจชั้นนำจากบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ อาทิ C&A Kingfisher Boeing Company DHL UPS ซึ่งดูจะเห็นพ้องต้องกันว่า ภาคธุรกิจต้องการเห็นสหภาพยุโรปดำเนินนโยบายการค้าแบบเสรีเท่านั้น และการดำเนินนโยบายปกป้องทางการค้ามากจนเกินไปจะเป็นผลเสียต่อภาคธุรกิจเอง โดยภาคธุรกิจส่วนใหญ่สนับสนุนการใช้เครื่องมือปกป้องทางการค้า อาทิ AD แต่เรียกร้องให้ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความโปร่งใส มิให้มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง และลดขั้นตอนการดำเนินการ- ความสนใจของภาคธุรกิจยุโรปส่วนใหญ่มุ่งไปที่การดำเนินการค้ากับจีน โดยที่ความสนใจในตลาดเอเชียโดยรวม โดยเฉพาะอาเซียน ไม่ได้รับการพูดถึงในการสัมมนาดังกล่าวมากนัก (ยกเว้นกรณีความเป็นไปได้ในการจัดตั้งเขตการค้าเสรีสหภาพยุโรป-อาเซียน) โดยประเด็นการจัดจั้ง Trade Portal สำหรับนักธุรกิจจีนและยุโรปที่เสนอโดยฝ่ายจีนต่อคณะกรรมาธิการยุโรปนับว่าเป็นแนวคิดที่ดี โดยฝ่ายจีนหวังว่า Trade Portal ดังกล่าวจะช่วยอำนวยความสะดวกแก่ธุรกิจ SMEs ของจีนให้รู้จักตลาดยุโรปและกฎระเบียบของสหภาพยุโรปดีมากขึ้น
Related Items:
1. Food miles แนวทางใหม่ในการปกป้องสินค้าอาหารที่ผลิตได้ภายในสหภาพยุโรป 2. FTA EU-เกาหลีใต้เดินหน้าการเจรจา FTA รอบที่ 3 3. NTBs Series: มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping - AD) ของสหภาพยุโรป
4. การทบทวนยุทธศาสตร์การใช้เครื่องมือปกป้องทางการค้า (Trade Defence Instruments) ของสหภาพยุโรป
5. ประเด็น IPR กับการนำเข้ายาในความตกลงการค้าของอียู
สภายุโรปเตรียมเรียกตัวประธานคณะกรรมาธิการการค้า มากล่าวตักเตือนฐานกดดันประเทศไทย โดย เดวิด โครนิน
กรุงบรัสเซลล์ – สภายุโรปเตรียมเรียกตัวประธานคณะกรรมาธิการการค้า สหภาพยุโรป มากล่าวตักเตือนฐานพยายามกดดันเพื่อโน้มน้าวให้ประเทศไทยปรับเปลี่ยนนโยบายด้านสิทธิบัตรเภสัชภัณฑ์
หลังจากที่ประเทศไทยจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่เข้าปฎิบัติหน้าที่เมื่อต้นปีนี้ได้ไม่นานนัก นายปีเตอร์ แมนเดลสัน คณะกรรมาธิการการค้าแห่งสหภาพยุโรปได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยทบทวนนโยบายการใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิฯ จำนวนหลายฉบับที่รัฐบาลชุดก่อนเป็นผู้ประกาศใช้กับยาติดสิทธิบัตรจำนวนหนึ่ง
เมื่อสมาชิกสภายุโรป (MEPs) ได้รับสำเนาจดหมายของนายแมนเดลสันฉบับลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ เมื่อสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ทั้งหมดต่างแสดงความไม่พอใจ สมาชิกบางรายถึงกับกล่าวประณามคณะกรรมาธิการผู้นี้ว่าเปลี่ยนจุดยืนของตนไม่ยึดมั่นต่อพันธกิจที่ให้ไว้ว่าจะให้การสนับสนุนการบังคับใช้มาตรการต่างๆ เช่นมาตรการบังคับใช้สิทธิตามสิทธิบัตรเพื่อปรับลดราคายาในประเทศกำลังพัฒนา
ในการร่วมหารือกันที่จัดขึ้นในสัปดาห์นี้ ผู้แทนจากลุ่มการเมืองกลุ่มต่างๆ ของสภายุโรปต่างเห็นพ้องที่จะทำการประท้วงคัดค้านจดหมายของนายแมนเดลสันอย่างเป็นทางการ พร้อมกับตัดสินใจที่จะเรียกตัวนายแมนเดลสันให้มาปรากฎตัวต่อคณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศของสภายุโรปภายในเร็ววันนี้เพื่อตอบข้อกังขาของสมาชิกเกี่ยวกับประเด็นนี้
นายวิตโตริโอ อัคโนเลตโต สมาชิกสภายุโรปจากประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นผู้ที่ร่วมอภิปรายในประเด็นการเข้าถึงยาอย่างจริงจังให้ความเห็นว่า “เราไม่อาจยอมรับการกระทำเช่นนี้ได้”
นาย อัคโนเลตโต กล่าวว่า ถ้อยคำที่นายแมนเดลสันกล่าวต่อหน้าสภายุโรปกับที่ปรากฎในจดหมายนั้นขัดแย้งกัน “เหมือนนายแมนเดลสันมีคำพูดสองแบบ” พร้อมเสริมว่า “เขาทำเหมือนไม่ได้ทำงานให้คณะกรรมาธิการ แต่ทำให้อุตสาหกรรมยามากกว่า”
ในจดหมายของนายแมนเดลสันถึงนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทยนั้นระบุว่าสหภาพยุโรป “เป็นแหล่งนักลงทุนต่างชาติรายสำคัญๆ ที่สุดอีกแห่งในประเทศไทย” ท่าทีของรัฐบาลไทยในการประกาศใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิฯ ได้ “สร้างความหวาดวิตกในหมู่นักลงทุนจากสหภาพยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมยา” ทั้งนี้อุตสาหกรรมยามักยกข้อวิตกกังวลถึงความไม่แน่ชัดในการให้ความคุ้มครองด้วยสิทธิบัตรแก่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทว่าเป็นปัจจัยที่ขัดขวางการลงทุน
นายแมนเดลสันกล่าวว่าตนให้การสนับสนุนปฏิญญาที่ได้รับการรับรองโดยที่ประชุมระดับรัฐมนตรีขององค์การการค้าโลกปี 2544 ณ กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ ซึ่งปฏิญญาฉบับดังกล่าวยึดถือตามกฎข้อบังคับขององค์การการค้าโลกที่อนุญาตให้มีการใช้มาตรการยืดหยุ่นกับสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาเมื่อเกิดกรณีปัญหาด้านสาธารณสุขของชาติ
กระนั้น นายแมนเดลสันกลับแย้งว่า มาตรการบังคับใช้สิทธิตามสิทธิบัตรนั้นสมควร “ใช้เป็นการเฉพาะ” โดยสมควรหาวิธีทางเลือกอื่นๆ เช่นการเจรจากับบริษัทยา ก่อนจะหันมาใช้มาตรการนี้แก้ปัญหา พร้อมระบุว่า “แต่กับสิ่งที่เกิดขึ้นกลับทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจ เมื่อได้ทราบข่าวว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขที่กำลังจะหมดวาระได้ประกาศใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิฯ ฉบับใหม่กับยาใหม่บางรายการก่อนที่ท่านจะพ้นจากตำแหน่งในเร็ววันนี้”
นี่นับเป็นครั้งที่สองแล้วที่นายแมนเดลสันมีข้อเรียกร้องต่อนโยบายของไทยด้านสิทธิบัตรเภสัชภัณฑ์ ในปี 2550 นายแมนเดลสันได้มีจดหมายในลักษณะเดียวกันนี้ถึงรัฐมนตรีบางกระทรวงของไทย หลังจากที่ไทยประกาศใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิฯ กับยาสามรายการเพื่อใช้รักษาโรคเอดส์ และหนึ่งในนั้นเป็นยาสำหรับรักษาโรคหัวใจ
หลังจากที่ถูกสมาชิกสภายุโรปตั้งข้อซักถามต่อกรณีดังกล่าวในเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา นายแมนเดลสันได้ให้คำมั่นว่าตนจะไม่กระทำการใดๆ อันอาจเป็นการบ่อนทำลายการเข้าถึงยาในที่ที่เขาเรียกว่าเป็น “ประเทศกำลังพัฒนาที่ยากจน” ทว่าสำหรับประเทศไทยนั้น โดยนิยามของสหประชาชาติแล้วจัดว่าเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง
นางอเล็คซานดร้า ฮูมเบอร์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายรณรงค์ขององค์การหมอไร้พรมแดน (Médecins Sans Frontières) ซึ่งเป็นองค์กรสาธารณกุศลด้านการแพทย์ กล่าวชื่นชมการตัดสินใจของ
สมาชิกสภายุโรปที่จะมีวาจาติเตียนถ้อยคำของนายแมนเดลสันที่กล่าวขัดแย้งกัน
ทั้งนี้ สถาบันที่ทรงอำนาจที่สุดของสหภาพยุโรป ไม่ว่าจะเป็น คณะกรรมาธิการ สภายุโรป และคณะมนตรี ล้วนรับหลักการที่มุ่งส่งเสริมการเข้าถึงยาราคาถูกในประเทศกำลังพัฒนา นางฮูมเบอร์ กล่าว “ข้อสำคัญคือแต่ละสถาบันต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนอย่างเข้มแข็งจริงจัง” พร้อมเสริมว่า “หากปราศจากปณิธานทางการเมืองอย่างแน่วแน่ที่จะยึดมั่นต่อพันธกิจที่ให้ไว้ที่โดฮา ตลอดจนให้การสนับสนุนมาตรการยืดหยุ่นต่างๆ ที่ตนได้ร่วมบัญญัติขึ้นแล้วไซร้ คำมั่นสัญญาเหล่านี้ย่อมไม่ได้นำมาปฎิบัติให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมได้เลย”
นางฮูมเบอร์ ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปฏิญญาโดฮานั้นให้สิทธิประเทศกำลังพัฒนาในการตัดสินใจประกาศใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิฯ ได้ตามดุลยพินิจของตน ทั้งมิได้มีข้อกำหนดบังคับให้ประเทศสมาชิกต้องดำเนินการเจรจากับผู้ทรงสิทธิก่อนแต่อย่างใด
“นายปีเตอร์ แมนเดลสัน เหมือนพยายามจะตีความปฏิญญาโดฮาไปอีกทางหนึ่ง” เจ้าหน้าที่ฝ่ายรณรงค์ขององค์การหมอไร้พรมแดน กล่าว
ความตกลงการค้าเสรีระหว่างสหภาพยุโรปกับประเทศและกลุ่มประเทศต่าง ๆ ความตกลงการค้าที่สหภาพยุโรปได้ลงนามกับประเทศหรือกลุ่มประเทศต่าง ๆ มีความหลากหลาย ซึ่งถ้านับการเจรจาและความผูกพันกับประเทศและกลุ่มประเทศต่าง ๆ ก็มีในหลายระดับด้วยกัน ตั้งแต่ความตกลงในระดับการจัดตั้งเขตการค้าเสรี (free trade area) ซึ่งกำหนดให้มีการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการระหว่างกลุ่มประเทศได้โดยปราศจากภาษีและกฎระเบียบบังคับต่าง ๆ หรือความตกลงในระดับ
สหภาพศุลกากร (customs union) ซึ่งกำหนดให้สินค้าและบริการมีการกำหนดกำแพงการค้าร่วมกันกับประเทศภายนอกกลุ่ม เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีความตกลงในลักษณะการให้สิทธิพิเศษแก่ประเทศคู่ค้า (preferential trade agreement) เช่น สิทธิพิเศษทั่วไปทางภาษีศุลกากร (Generalized System of Preferences: GSP)
สถานะความตกลงการค้าภูมิภาคยุโรปกับกลุ่มต่าง
1) สมาคมการค้าเสรียุโรป (European Free TradeAssociation: EFTA)
เริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1960 มีประเทศสมาชิก 7 ประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรีภายในกลุ่มประเทศสมาชิก ปัจจุบันเหลือสมาชิกของสมาคมการค้าเสรีเพียง 3 ประเทศ คือ
ไอซแลนด์ ลิกเตนสไตน์ และ นอร์เวย์ ปี ค.ศ. 1994 สมาคมการค้าเสรียุโรป (EFTA) เข้าร่วมกับกลุ่มประชาคมยุโรป (European Community: EC) เพื่อจัดตั้งความตกลงว่าด้วยเขตเศรษฐกิจยุโรป (European Economic Area: EEA) ในลักษณะความตกลงแบบทวิภาคีว่าด้วย เรื่อง การขนส่งทางบกและทางอากาศ การเคลื่อนย้ายบุคลากรอย่างเสรี การเกษตร การวิจัย และระบบกฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการจัดซื้อ (Procurement) และอุปสรรคเทคนิคทางการค้า โดยกำหนดให้มีผลบังคับใช้อย่างสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 2002
2) ความตกลงยุโรป (Europe Agreements)
ความตกลงยุโรปมีวัตถุประสงค์เพื่อก่อให้เกิดการค้าสินค้าและการค้าบริการอย่างเสรีขึ้นระหว่างกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปกับกลุ่มประเทศยุโรปตอนกลางและตะวันออก (Central and Eastern European Countries: CEECs) กล่าวคือ สินค้าและบริการของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปจะให้การยกเว้นภาษี (duty-free) สำหรับสินค้าและบริการที่มาจากกลุ่มนี้รวมถึงการได้รับโควตาปลอดภาษีสินค้าอุตสาหกรรมที่นำเข้าด้วย
ในระหว่างช่วงการทบทวนนโยบายการค้าของสหภาพยุโรปที่ให้ประโยชน์กับประเทศเหล่านี้เมื่อปี ค.ศ. 2000 ได้มีการเจรจาพิธีสาร ว่าด้วยเรื่องภาษีสินค้าเกษตรต่างตอบแทนหรือการส่งออกสินค้าเกษตรกรรมแบบปลอดภาษีเพิ่มขึ้นด้วยส่งผลให้การค้าระหว่างสหภาพยุโรปกับกลุ่มประเทศดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้น กล่าวคือกลุ่มประเทศยุโรปตอนกลางและตะวันออกส่งออกสินค้าเกษตรไปยังกลุ่มสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นถึงระดับร้อยละ 75 ของมูลค่าการส่งออกรวมของกลุ่มประเทศเหล่านี้ และในทางกลับกัน กลุ่มประเทศสหภาพยุโรปส่งสินค้าเกษตรไปยังกลุ่มประเทศยุโรปตอนกลางและตะวันออกสูงถึงร้อยละ 61 ของสัดส่วนการนำเข้าของกลุ่มประเทศเหล่านี้ เช่นกัน
ปัจจุบันกลุ่มประเทศยุโรปตอนกลางและตะวันออกอยู่ในช่วงการปรับตัวเพื่อเข้าเป็นสมาชิก(candidate countries) ของสหภาพยุโรปโดยตรง ประเทศเหล่านี้ ได้แก่ บัลกาเรีย สาธารณรัฐเช็ค
เอสโทเนีย ฮังการี ลัตเวีย ลิโทเนีย โปแลนด์ โรมาเนีย สโลวาเกีย และสโลเวเนีย
3) ความตกลงสมาคม (Association Agreements) ที่ สหภาพยุโรปปรับใช้กับประเทศและกลุ่มประเทศต่าง ๆ มีดังนี้
3.1) ประเทศตุรกี ไซปรัส และมอลตา
สมาชิกแรกเริ่มประกอบด้วย ประเทศออสเตรีย เดนมาร์ก นอร์เวย์ โปรตุเกส สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ และอังกฤษ กลุ่มประชาคมเศรษฐกิจยุโรปได้เริ่มเจรจาความตกลงสหภาพศุลกากร (customs union) กับประเทศตุรกีในปี ค.ศ. 1963 และเจรจากับประเทศไซปรัสและมอลตาในปี ค.ศ. 1970 เช่นกัน ต่อมาในปี ค.ศ. 1996 ประเทศตุรกีได้บรรลุความตกลงจัดตั้งระบบสหภาพศุลการกรกับสหภาพยุโรป และได้มีการเจรจาเพิ่มเติมในประเด็นทางด้านการค้าบริการรวมถึงกฎระเบียบและมาตรการของรัฐ ส่วนการบรรลุความตกลงสหภาพศุลกากรกับประเทศไซปรัสคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี ค.ศ. 2003 สำหรับการบรรลุความตกลงกับประเทศมอลตายังไม่มีการกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน
สมาชิกแรกเริ่มประกอบด้วย ประเทศออสเตรีย เดนมาร์ก นอร์เวย์ โปรตุเกส สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ และอังกฤษ ความตกลงยุโรปมีวัตถุประสงค์เพื่อก่อให้เกิดการค้าสินค้าและการค้าบริการอย่างเสรีขึ้นระหว่างกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปกับกลุ่มประเทศยุโรปตอนกลางและตะวันออก (Central and Eastern European Countries: CEECs) กล่าวคือ สินค้าและบริการของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปจะให้การยกเว้นภาษี (duty-free) สำหรับสินค้าและบริการที่มาจากกลุ่มนี้รวมถึงการได้รับโควตาปลอดภาษีสินค้าอุตสาหกรรมที่นำเข้าด้วย ในระหว่างช่วงการทบทวนนโยบายการค้าของสหภาพยุโรปที่ให้ประโยชน์กับประเทศเหล่านี้เมื่อปี ค.ศ. 2000 ได้มีการเจรจาพิธีสาร ว่าด้วยเรื่องภาษีสินค้าเกษตรต่างตอบแทนหรือการส่งออกสินค้าเกษตรกรรมแบบปลอดภาษีเพิ่มขึ้นด้วยส่งผลให้การค้าระหว่างสหภาพยุโรปกับกลุ่มประเทศดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้น กล่าวคือกลุ่มประเทศยุโรปตอนกลางและตะวันออกส่งออกสินค้าเกษตรไปยังกลุ่มสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นถึงระดับร้อยละ 75 ของมูลค่าการส่งออกรวมของกลุ่มประเทศเหล่านี้ และในทางกลับกัน กลุ่มประเทศสหภาพยุโรปส่งสินค้าเกษตรไปยังกลุ่มประเทศยุโรปตอนกลางและตะวันออกสูงถึงร้อยละ 61 ของสัดส่วนการนำเข้าของกลุ่มประเทศเหล่านี้ เช่นกัน ปัจจุบันกลุ่มประเทศยุโรปตอนกลางและตะวันออกอยู่ในช่วงการปรับตัวเพื่อเข้าเป็นสมาชิก(candidate countries) ของสหภาพยุโรปโดยตรง ประเทศเหล่านี้ ได้แก่ บัลกาเรีย สาธารณรัฐเช็ค
เอสโทเนีย ฮังการี ลัตเวีย ลิโทเนีย โปแลนด์ โรมาเนีย สโลวาเกีย และสโลเวเนีย
3) ความตกลงสมาคม (Association Agreements) ที่สหภาพยุโรปปรับใช้กับประเทศและกลุ่มประเทศต่าง ๆ มีดังนี้
3.1) ประเทศตุรกี ไซปรัส และมอลตา กลุ่มประชาคมเศรษฐกิจยุโรปได้เริ่มเจรจาความตกลงสหภาพศุลกากร (customs union) กับประเทศตุรกีในปี ค.ศ. 1963 และเจรจากับประเทศไซปรัสและมอลตาในปี ค.ศ. 1970 เช่นกัน ต่อมาในปี ค.ศ. 1996 ประเทศตุรกีได้บรรลุความตกลงจัดตั้งระบบสหภาพศุลการกรกับสหภาพยุโรป และได้มีการเจรจาเพิ่มเติมในประเด็นทางด้านการค้าบริการรวมถึงกฎระเบียบและมาตรการของรัฐ ส่วนการบรรลุความตกลงสหภาพศุลกากรกับประเทศไซปรัสคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี ค.ศ. 2003 สำหรับการบรรลุความตกลงกับประเทศมอลตายังไม่มีการกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน
3.2) กลุ่มประเทศในแถบเมดิเตอร์เรเนียน
ของประเทศบัลกาเรีย เอสโทเนีย สาธารณรัฐเช็ค ลัตเวีย ลิตทูเนีย โรมาเนีย สาธารณรัฐสโลวัต สโลเวเนีย และโปแลนด์ความตกลงในกรอบสมาคมยูโร-เมดิเตอร์เรเนียน (Euro-Mediterranean association agreements) ซึ่งได้ริเริ่มขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 1995 ได้แก่ อียิปต์ อิสราเอล จอร์แดน โมรอคโค ปาเลสไตน์ และตูนีเซีย มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการให้เกิดเขตการค้าเสรีระหว่างกันและกัน (bilateral free trade areas) ขึ้นภายในปี ค.ศ. 2010 เพื่อต้องการยกระดับไปสู่การเปิดเสรีทางการค้าระหว่างกลุ่มสหภาพยุโรปกับกลุ่มประเทศคู่ค้าและเศรษฐกิจกับประเทศเหล่านี้ ซึ่งจะรวมถึงการค้าในสินค้าอุตสาหกรรม สินค้าเกษตรกรรมและสินค้าประมง โดยมุ่งเจรจาความตกลงในลักษณะทวิภาคีตามความพร้อมของแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตาม กลุ่มสหภาพยุโรปยังให้การเปิดเสรีในลักษณะแบบไม่สมมาตร (asymmetric liberalization) กับกลุ่มประเทศเหล่านี้
3.3) ประเทศมาเซโดเนียและประเทศโครเอเชีย
สหภาพยุโรปได้ลงนามความตกลงสมาคมและความมั่นคง (Stabilization and Association Agreements) กับประเทศมาเซโดเนีย (Former Yugoslav Republic of Macedonia: FYROM) และประเทศโครเอเชีย เมื่อเดือนเมษายนและตุลาคม ตามลำดับในปี ค.ศ. 2001 จุดมุ่งหมายของความตกลงเพื่อลดอุปสรรคภาษีศุลกากรและมาตรการในการนำเข้าสินค้า โดยกำหนดระยะเวลาลดภาษีสำหรับประเทศมาเซโดเนียภายในเวลา 10 ปี ยกเว้นสินค้าเกษตร สิ่งทอและผลิตภัณฑ์เหล็ก และกำหนดระยะเวลาลดภาษีสำหรับประเทศโครเอเชียภายในเวลา 5 ปี ยกเว้นสินค้าเกษตร เป็นต้น
3.4) รัฐอิสระอันดอราและซานมาริโน
สหภาพยุโรปได้มีการลงนามสหภาพศุลกากรกับรัฐอิสระอันดอรา (Andora) และซานมาริโน (San Marion) ไว้แล้ว
4) ความตกลงระหว่างภูมิภาค (Interregional agreements)
4.1) แอฟริกา
ความตกลงว่าด้วยการค้า การพัฒนา และความร่วมมือ (Trade, Development and Cooperation Agreement: TDCA) ระหว่างสหภาพยุโรปและกลุ่มประเทศแอฟริกา มีผลบังคับใช้เมื่อต้นปี ค.ศ. 2000 ซึ่งกำหนดระยะเวลาภายใน 10 ปี สหภาพยุโรปสามารถนำเข้าสินค้าอย่างเสรีจากแอฟริกาใต้ได้สูงถึงร้อยละ 95 ของมูลค่าการนำเข้าที่สหภาพยุโรปนำเข้าจากกลุ่มนี้ และภายใน 12 ปี แอฟริกาใต้สามารถนำเข้าสินค้าอย่างเสรีจากสหภาพยุโรปได้ถึงร้อยละ 86 ของมูลค่าการนำเข้าที่กลุ่มประเทศแอฟริกานำเข้าจากสหภาพยุโรป ซึ่งความตกลงนี้ได้ขยายขอบเขตไปยังกลุ่มประเทศคู่ค้าของแอฟริกาอีก 4 ประเทศ ได้แก่ บอตสวานา เลโซโธ นามีเบีย และสวาซิแลนด์
4.2) ละตินอเมริกา ความตกลงมีจุดมุ่งหมายในการผูกพันความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองต่อกลุ่มประเทศละตินอเมริกาและประเทศแถบแคริบเบียนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ในปี ค.ศ. 2000 สหภาพยุโรปได้ลงนามจัดตั้งเขตการค้าเสรี (free trade area) กับประเทศเม็กซิโกขึ้น ครอบคลุมประเด็นการค้าสินค้าและบริการการลงทุน กฎระเบียบและมาตรการต่าง ๆ ของรัฐ สหภาพยุโรปได้เปิดตลาดเสรีของสหภาพยุโรปให้กับสินค้าที่นำเข้าจากเม็กซิโกได้รวดเร็ว (ต้นปี ค.ศ. 2003) กว่าที่เม็กซิโกให้กับการค้าสินค้าที่มาจากสหภาพยุโรป (ต้นปี ค.ศ.2007) นอกจากนี้ สหภาพยุโรปยังเปิดการเจรจาการค้าในลักษณะแบบสมาคมการค้า
ทวิภาคี (bilateral association agreements) กับประเทศชิลีและกลุ่มประเทศ MERCOSUR
4.3) ตะวันออกกลาง
สหภาพยุโรปเริ่มเจรจาความตกลงการค้าเสรี (free trade agreement) กับกลุ่มประเทศตะวันออกกลางเมื่อปี ค.ศ. 1990 แต่ยังไม่มีความคืบหน้าเนื่องจากติดประเด็นด้านพลังงาน ต่อมาในปี ค.ศ. 2002 ได้มีการทบทวนการเจรจากันใหม่ขึ้น ซึ่งการเจรจาได้กำหนดให้มีการลดภาษีแบบสหภาพศุลกากรโดยผลการเจรจาน่าจะเสร็จสมบูรณ์ได้ภายในปี ค.ศ. 2003 และไม่เกิน ค.ศ. 2005
4.4) กลุ่มประเทศอาเซียน สหภาพยุโรปได้ริเริ่มนโยบายกระชับกับกลุ่มประเทศอาเซียนในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2003 โดยได้
ริเริ่มกรอบความสัมพันธ์ใหม่ซึ่งครอบคลุมประเด็นกว้างขวาง ที่สำคัญสหภาพยุโรปต้องการให้เกิดพลวัตในความสำคัญทางการค้าและการลงทุนกับกลุ่มประเทศอาเซียนโดยได้กำหนดเป็นแนวปฏิบัติการที่เรียกว่า“การริเริ่มทางการค้าข้ามภูมิภาคสหภาพยุโรปและอาเซียน (Trans-Regional EU-ASEAN Trade Initiative: TREATI)” ในขณะนี้ กรอบการริเริ่ม TREATI จะเน้นการขยายตัวทางการค้าและการลงทุน โดยมีกรอบที่แน่ชัดสำหรับการพูดคุยเจรจาและความร่วมมือทางกฎเกณฑ์เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าและการเข้าสู่ตลาดประเด็นการลงทุนระหว่าง 2 ภูมิภาค ดังนั้น จึงจำเป็นที่คาดกันว่า การริเริ่ม TREATI ในที่สุดน่าจะนำมาสู่ข้อตกลงการค้าเสรี (free trade agreement) ทั้งนี้ จะต้องคำนึงถึงผลลัพธ์ที่เป็นความสำเร็จจากการเจรจาทางการค้าขององค์การการค้าโลกในปัจจุบัน ดังนั้น ความตกลงเสรีระหว่างสหภาพ ยุโรปกับอาเซียนที่จะมีต่อไปนั้นจึงมีแนวโน้มว่าจะต้องอยู่บนหลักการ WTO-plus
5) ความตกลงและข้อผูกพันสิทธิพิเศษทางการค้า (Preferential Trade Agreements and Arrangements) 5.1) กลุ่มประเทศและดินแดนโพ้นทะเล (Overseas Countries and Territories: OTC) สหภาพยุโรปได้จัดตั้งความตกลงแบบสมาคม (association arrangements) กับกลุ่มประเทศและดินแดนโพ้นทะเลในปี ค.ศ. 2001 โดยครอบคลุมถึงในปี ค.ศ. 2011 ในที่จริงสหภาพยุโรปได้ให้การปลอดภาษีสำหรับสินค้าที่มาจากกลุ่มประเทศและดินแดนโพ้นทะเลมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1963 แล้วแต่ให้มีการปกป้องได้ในบางกรณี (safeguard provision) รวมถึงการดูแลแหล่งกำเนิดสินค้า (rules of origin) ยกเว้นข้าวและน้ำตาล การส่งสินค้าข้ามแดน (transshipment) จากกลุ่มประเทศและดินแดนโพ้นทะเลเข้ามาในสหภาพยุโรปสามารถทำได้ แต่ต้องใช้ระบบภาษีศุลกากรที่เคร่งครัดของสหภาพยุโรปด้วย
5.2) กลุ่มประเทศ ACP (African Caribbean and Pacific Countries) ความตกลงการให้สิทธิพิเศษทางการค้าระหว่างสหภาพยุโรปและกลุ่มประเทศ ACP มีมานานแล้ว ซึ่งมีทั้งหมด 77 ประเทศด้วยกัน ในขณะที่ 55 ประเทศเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก (WTO) และ 40 ประเทศเป็นประเทศกำลังพัฒนา ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2000 สหภาพยุโรปได้ลงนามในความตกลงแบบหุ้นส่วน (ACP-EC Partnership Agreement) หรือที่เรียกว่าความตกลง Cotono ขึ้น ซึ่งก็หมายความว่าจะเปลี่ยนแปลงจากวิธีปฏิบัติในข้อตกลงแบบการใช้สิทธิพิเศษทางการค้าแบบไม่ตอบแทนกัน (non-reciprocal trade preferences) มาสู่ความตกลงแบบหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (economic partnership agreements) การเจรจาความตกลงดังกล่าวได้เริ่มมาตั้งแต่เดือนกันยายน ค.ศ. 2002 และคาดว่าจะบรรลุผลสำเร็จเป็นความตกลงได้ในปี ค.ศ. 2008 ในช่วงนี้สหภาพยุโรปจะยังคงยึดหลักการการให้สิทธิพิเศษทางการค้าต่อไปจากกลุ่มนี้ครอบคลุมถึงสินค้าอุตสาหกรรม เกษตรกรรม ประมง ฯลฯ
สร้างโดย:
นางสาว นิตยา บุตรศาสตร์ ชั้น 4/4 เลขที่ 27 และ นางสาว ธรัญญา ภูผา ชั้น 4/4 เลขที่ 16 โรงเรียนศีลาจารพิพัฒน์
แหล่งอ้างอิง:
EFTA History เรียกข้อมูลวันที่ 23 มี.ค. 2551 (อังกฤษ) และ เลขาธิการองค์การการค้าโลก
ตรวจแล้ว