กฎหมายเบื้องต้น
-*- สวัสดีค่ะทุกๆคน วันนี้เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายเบื้องต้นกันนะคะ -*-
*-* กฎหมาย (law) คือ กฎหมายข้อบังคับ
*-* ปทัสถานทางสังคม หรือ บรรทัดฐานทางสังคม เป็นที่ยอมรับกันในทางสังคมวิทยาว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม จึงไม่สามารถอยู่เองอย่างโดดเดี่ยวได้และเมื่อสังคมเกิดขึ้น"ที่ใดมีมนุษย์ ที่นั้นมีสังคม ที่ใดมีสังคม ที่นั้นมีกฎหมาย ด้วยเหตุนั้น ที่ใดมีมนุษย์ ที่นั้นจึงมีกฎหมาย"ดังนั้น แต่ละสังคมจึงจำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อควบคุมความประพฤติของสมาชิกให้เป็นไปในทำนองเดียวกัน และเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของส่วนรวม
-*- นักสังคมวิทยาแบ่งปทัสถานทางสังคมเป็นสามประเภทใหญ่ ๆดังนี้ค่ะ -*-
*-* วิถีประชา หรือวิถีชาวบ้าน ( folkways) เป็นปทัสถานทางสังคมที่คนยอมรับนับถือจนเกิดความเคยชิน
ไม่รู้สึกว่าเป็นภาระหน้าที่ และไม่มีกฎหมายข้อบังคับใด ๆ สั่งให้ปฏิบัติ เช่น การพูดคำ "สวัสดี" การยกมือไหว้ การสวมชุดดำในงานศพ เป็นต้นโดยส่วนใหญ่เป็นมาตรฐานทางพฤติกรรม ไม่มีการบังคับควบคุมอย่างเข้มงวด เมื่อมีการละเมิดผู้ละเมิดก็เพียงได้รับคำติฉินนินทา
*-* จารีตประเพณี หรือกฎศีลธรรม ( mores) เป็นปทัสถานที่กำหนดให้คนในสังคมประพฤติปฏิบัติอย่างเข้มงวด
มีการควบคุมที่รุนแรงเพื่อป้องกันการฝ่าฝืน จารีตประเพณีจึงมีลักษณะเป็นข้อห้าม ( taboo) เช่น การห้ามสมรสกันระหว่างญาติสืบสายโลหิตเป็นต้น ต้องเป็นแนวประพฤติปฏิบัติที่ดำเนินสืบ ๆ ต่อกันมาเป็นเวลาช้านาน โดยผู้ปฏิบัตินั้นรู้สึกร่วมกันว่าจะต้องปฏิบัติตามเป็นกฎเกณฑ์ควบคุมความประพฤติเช่นเดียวกับกฎหมาย
*-*กฎหมาย เป็นกฎเกณฑ์ความประพฤติที่กำหนดให้คนในสังคมปฏิบัติตามส่วนใหญ่ปรากฏในสังคมที่มีระบบ ความสัมพันธ์สลับซับซ้อนมากและมีองค์กรหรือสถาบันคอยกำกับดูแลการประพฤติปฏิบัติตามอย่างเป็นกิจจะลักษณะ
-*-เรารู้จักกับคำนิยามของจารีตประเพณีกับกฎหมายไปแล้วทีนี้เรามาดูความแตกต่างกันนะคะว่าเป็นอย่างไร-*-
*-* นักสังคมวิทยาจำแนกความแตกต่างระหว่างกฎหมายกับจารีตประเพณีไว้ดังนี้*-*
1. กฎหมายกำหนดระดับต่าง ๆ ของการกระทำความผิด และกำหนดบทลงโทษ เช่น ผิดน้อยก็โทษน้อยผิดมากก็โทษมากแต่จารีตประเพณีเป็นเรื่องของความรู้สึกว่ารับได้หรือไม่ได้ของสังคมมากกว่า
2. การลงโทษผู้กระทำตามกฎหมายมีองค์กรคอยเป็นธุระจัดการอย่างเป็นกิจจะลักษณะ แต่สำหรับจารีตประเพณีแล้ว ไม่มีองค์กรรับผิดชอบ
3.จารีตประเพณีมีความเป็นมายาวนานและเปลี่ยนแปลงยากในขณะที่กฎหมายแม้อาจมีความเป็นมายาวนานแต่ก็สามารถ เปลี่ยนแปลงปรับปรุงให้เข้ากับสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ทันที
4.จารีตบางอย่างถูกละเลยโดยคนในสังคมกฎหมายจึงมีประโยชน์กว่าเพราะมีอำนาจบังคับใช้แก่ทุกคนเป็นการทั่วไปอย่าง ไม่มีการยกเว้น
5. จารีตประเพณีบางทีก็ไม่ชัดเจน ทำให้เกิดปัญหาได้ ขณะที่กฎหมายมีความแน่นอนกว่า
-*- เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ วิวัฒนาการของกฎหมายกันต่อเลยนะคะทุกคน-*-
*-* ประวัติศาสตร์กฎหมายในการที่มนุษย์มาอยู่ร่วมกันจำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม กฎเกณฑ์นี้เรียกว่า"กฎหมาย"ซึ่งมีความแตกต่างกันไปตามวิวัฒนาการของแต่ละสังคมการพิจารณาถึงวิวัฒนาการของ กฎหมายจึงจำต้องกระทำควบคู่ไปกับการพิจารณาถึงวิวัฒนาการของสังคมศาสตราจารย์ปรีดี เกษมทรัพย์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้สร้างทฤษฎีกฎหมายสามชั้น หรือกฎหมายสามยุคขึ้นเพื่ออธิบายวิวัฒนาการของกฎหมาย กฎหมายสามชั้นก็คือชั้นของการกำเนิดขึ้นของกฎหมายตามลำดับ ดังต่อไปนี้นะคะ
*-* ยุคกฎหมายจารีตประเพณี *-*
1. ยุคกฎหมายจารีตประเพณี หรือยุคกฎหมายชาวบ้าน ( folk law) : ในบุรพกาลอันมนุษย์เริ่มมารวมตัวกันเป็นสังคม ได้เกิดกฎเกณฑ์เพื่อควบคุมประพฤติการณ์ของสมาชิกในสังคมนั้นโดยปรากฏตัวอยู่ในรูป "จารีตประเพณี" จารีตประเพณี คือ ประเพณีที่นิยมและประพฤติกันสืบมา ถ้าฝ่าฝืนถือว่าเป็นผิดเป็นชั่ว บางทีก็เรียกว่า "กฎหมายที่ดีของบรรพบุรุษ" ( The Good Old Law) มีที่มาจากสามัญสำนึกและความสามารถใน การจำแนกดีจำแนกชั่วของมนุษย์จารีตประเพณีเช่นว่านี้เป็นสิ่งที่ใช้ความรู้สึกหรือเหตุผลธรรมดาสามัญสัมผัสก็เข้าใจได้
*-* ยุคกฎหมายของนักกฎหมาย *-*
2. ยุคกฎหมายของนักกฎหมาย ( jurist law) : ในยุคต่อ ๆ มา สังคมมีความเจริญขึ้น ขยายใหญ่ขึ้นและมีความซับซ้อนขึ้นตามลำดับเมื่อผู้ใดมาละเมิดกฎหมายที่ปรากฏตัวอยู่ในรูปจารีตประเพณีนั้น สมาชิกคนอื่น ๆ ของสังคมย่อมมองว่าเป็นผิดเป็นชั่ว ต้องพิจารณาโทษสำหรับผู้ละเมิดนั้นเพื่อมิให้เกิดการกระทำเช่นนั้นอีก ความรู้สึกร่วมเช่นนี้ค่อย ๆ พัฒนามาเป็น "กระบวนการยุติธรรม"
*-* กระบวนการยุติธรรมนั้นประกอบด้วยขั้นตอนสองขั้นตอน คือ*-*
1) กระบวนพิจารณา (proceedings) เป็นขั้นพิจารณาและตัดสินชึ้ขาดว่าใครผิดใครถูก
2) การบังคับคดี (execution) เป็นขั้นดำเนินการตามคำตัดสินชี้ขาดนั้น เช่น การลงโทษคนผิด การชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น เป็นต้น
*-* ยุคกฎหมายบัญญัติ *-*
3. ยุคกฎหมายบัญญัติ, ยุคกฎหมายนิติบัญญัติ หรือยุคกฎหมายเทคนิค (technical law) : ยุคถัดมา สังคมมีความเจริญและเปลี่ยนแปลงไปมากขึ้นการดำรงชีวิตมีความสลับซับซ้อนตามไปด้วย จำเป็นต้องมีการแก้ไขปัญหาอย่างปัจจุบันหรือเฉพาะหน้า หรือเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะบางประการ
ซึ่งบางทีจารีตประเพณีหรือกฎหมายอย่างเดิมก็มีข้อจำกัดไม่อาจสนองความต้องการนั้นได้กฎหมายสมัยใหม่เช่นว่านี้มักมีองค์กรประจำทำหน้าที่กลั่นกรองและประกาศใช้ เรียกว่า "ฝ่ายนิติบัญญัติ" ซึ่งมีกำเนิดแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18รองศาสตราจารย์สมยศ เชื้อไทย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นว่า...กฎหมายเทคนิคไม่มีขนบธรรมเนียมประเพณีและศีลธรรมคอยหนุนหลัง ถ้าใครผิดก็ไม่รู้สึกว่าคนนั้นทำชั่วหรือทำผิดศีลธรรมเพราะฉะนั้นกฎหมายเทคนิคจึงไม่มีลักษณะบังคับตามธรรมชาติ เช่น จอดรถในที่ห้ามจอด คนส่วนใหญ่ไม่รู้สึกว่าชั่ว...
*-* ลักษณะสำคัญของกฎหมาย *-*
กฎหมายปัจจุบันจำต้องมีลักษณะสำคัญดังต่อไปนี้จึงจะชื่อว่าเป็น "กฎหมาย"
1. กฎหมายมีลักษณะเป็นกฎเกณฑ์
2. กฎหมายกำหนดความประพฤติของบุคคล
3. กฎหมายมีสภาพบังคับ สภาพบังคับ ของกฎหมายนั้นมีทั้งที่เป็นผลร้าย เช่น โทษทางอาญา และผลดี เช่นการลดภาษีเงินได้
4. กฎหมายมีกระบวนการอันเป็นกิจจะลักษณะแต่ก็มีการเว้นให้ประชาชนบังคับใช้กฎหมายได้เองเป็นกรณีพิเศษ คือ
-1) กรณีเพื่อการป้องกันตามกฎหมายอาญา เช่น การป้องกันตนเองจากภัยที่ใกล้จะถึงและการป้องกันนั้นไม่เกินกว่าเหตุ เป็นต้น
-2) กรณีที่ได้รับนิรโทษกรรมตามกฎหมายแพ่ง เช่น กรณีเพื่อป้องกันสิทธิของตนเอง หากไปแจ้งทางราชการจะไม่ทันท่วงทีกรณีเช่นนี้บุคคลไม่ต้องใช้สินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้น เป็นต้น
*-* ระบบกฎหมาย*-*
-*- การใช้ระบบกฎหมายของประเทศต่างๆกฎหมายที่ใช้กันในโลกแบ่งออกได้เป็นสองระบบใหญ่ คือ
ระบบกฎหมายจารีตประเพณี (common law system) และระบบประมวลกฎหมาย (civil law system) ซึ่งทั้งสองระบบนี้
ต่างก็มีกฎหมายที่บัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่คนโดยทั่วไปมักจดจำว่าระบบกฎหมาย common law ไม่ใช่กฎหมายลายลักษณ์อักษร ซึ่งเป็น
ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน อย่างไรก็ดีการแบ่งระบบกฎหมายโดยทั่วไปที่ได้รับการยอมรับกันในเชิงกฎหมายเปรียบเทียบแบ่งออกเป็น 4 ระบบ ดังนี้
1.ระบบกฎหมายจารีตประเพณี (Common Law System)ประเทศที่ได้รับอิทธิพลของกฎหมายจารีตประเพณีเป็นระบบที่ใช้กันในเครือจักรภพอังกฤษและในสหรัฐอเมริกา โดยจะใช้คำพิพากษาที่ศาลเคยวางหลักไว้แล้วเป็นหลักในการพิจารณา ระบบนี้มีกฎหมายที่บัญญัติโดยรัฐสภาเช่นเดียวกับประเทศที่ใช้ระบบประมวลกฎหมายตัวอย่างประเทศที่ใช้ระบบนี้ในปัจจุบันนั้น ได้แก่ เครือจักรภพอังกฤษ, สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, อินเดีย เป็นต้น
2.ระบบประมวลกฎหมาย (Civil Law System)
เป็นระบบที่ใช้กันในภาคพื้นทวีปยุโรป โดยมีหลักกฎหมายซึ่งสืบทอดมาจากหลักกฎหมายโรมัน ในการเรียนการสอนกฎหมายของบางประเทศเช่น เยอรมัน จะต้องเรียนรู้ภาษาลาตินก่อนจึงจะสามารถเรียนกฎหมายได้ ตัวอย่างประเทศที่ใช้ระบบนี้ในปัจจุบันนั้น ได้แก่ ฝรั่งเศส เยอรมันอิตาลี ญี่ปุ่น ประเทศสแกนดิเนเวีย รวมทั้งประเทศไทย เป็นต้น
3.ระบบกฎหมายศาสนา (Religious Law System)
หมายถึงระบบกฎหมายที่พึ่งพิงกับระบบทางศาสนาหรือใช้คัมภีร์ทางศาสนาเป็นกฎหมายซึ่งมักจะมีวิธีการใช้กฎหมายที่แตกต่างกันออกไปอาทิเช่น การใช้ฮาลัคกาห์ของยิวในกฎหมายมหาชน ถือเป็นเรื่องที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นได้ ขณะที่การใช้กฎหมายอิสลามขี่นอยู่กับบรรทัดฐาน
การใช้กฎหมายที่มีมาก่อนและการตีความด้วยการเทียบเคียงเป็นต้น ตัวอย่างประเทศที่ใช้ระบบนี้ในปัจจุบันนั้น ได้แก่ อัฟกานิสถาน ลิเบีย อิหร่าน เป็นต้น
4.ระบบกฎหมายผสมผสาน (Pluralistic Systems)
หมายถึงระบบที่ใช้การผสมผสานจากสามระบบข้างต้น มักเกิดจากอิทธิพลทางประวัติศาสตร์ที่ทำให้เกิดการผสมผสานระหว่างระบบกฎหมายขึ้น
เช่น มาเลเชียใช้ระบบกฎหมายทั่วไปเป็นหลักผสมผสานกับระบบกฎหมายศาสนา อิยิปต์ใช้ระบบกฎหมายศาสนาเป็นหลักผสมผสานกับ
ระบบประมวลกฎหมาย เป็นต้น
*- * ลำดับศักดิ์กฎหมายไทย *-*
1. รัฐธรรมนูญ
2. พระราชบัญญัติ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชกำหนด ประมวลกฎหมาย
3. พระราชกฤษฎีกา
4. กฎกระทรวง บริหารบัญญัติ องค์การบัญญัติ กฎใช้เฉพาะกลุ่มคน กฎมนเทียรบาล
*-* ศักดิ์ของกฎหมาย (hierachy of law) คือ ลำดับความสูงต่ำของกฎหมาย
การจัดศักดิ์ของกฎหมายมีความสำคัญต่อกระบวนวิธีการต่าง ๆ ทางกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้การตีความ และการยกเลิกกฎหมาย
*-* เกณฑ์ในการกำหนดศักดิ์ของกฎหมาย
เกณฑ์ในการกำหนดศักดิ์ของกฎหมายได้แก่ การพิจารณาจากผู้ตรากฎหมายฉบับนั้น ๆ ซึ่งย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐสำหรับประเทศไทยนั้นรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นโดยผู้แทนของปวงชนคือรัฐสภา เป็นการที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาร่วมกันใช้อำนาจสูงสุดแห่งรัฐในการออกกฎหมาย จึงให้มีศักดิ์สูงสุด ส่วนที่มีศักดิ์รองลงมาได้แก่ พระราชบัญญัติ และพระราชกำหนดซึ่งได้รับการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรก่อนแล้วจึงผ่านไปยังวุฒิสภา เป็นการแยกกันใช้อำนาจ
*****เหนื่อยกันหรือยังคะ ถ้ายังไม่เหนื่อยงั้นเรามาดูกันดีกว่าว่ากฎหมายมีหน้าที่ะไรบ้าง ถ้าพร้อมแล้วไปกันเลย!!!!!!! *****
กฎหมายมีหน้าที่หลัก 5 ประการด้วยกัน
1.สร้างและรักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัย และความมั่นคงของสังคม
2.เป็นวิศวกรสังคม กฎหมายทำหน้าที่วางแนวทางและแก้ไขปัญหาสังคมทั้งปัจจุบันและอนาคต
3.จัดสรรทรัพยากรและสร้างโครงสร้างทางเศรษฐกิจ
4. กฎหมายจัดสรรงบประมาณ กฎหมายการปรับดอกเบี้ย
5.จัดตั้งและกำหนดโครงสร้างทางการเมืองการปกครอง
-*-การแบ่งประเภทของกฎหมายนั้น การแบ่งสามารถอาศัยเกณฑ์ที่ต่างกัน อาทิเช่น-*-
เกณฑ์ลักษณะ แบ่งได้เป็นกฎหมายมหาชนและกฎหมายเอกชนเกณฑ์เขตอำนาจ แบ่งได้เป็น กฎหมายภายในประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศเกณฑ์เนื้อหาเฉพาะด้าน แบ่งได้เป็นกฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา กฎหมายภาษี กฎหมายสิ่งแวดล้อม ฯลฯถ้าพิจารณาจากเนื้อหาโดยพื้นฐานของกฎหมายแล้ว อาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ
1.กฎหมายสารบัญญัติ (Substantive law) หรือกฎหมายที่บัญญัติถึงเนื้อหาของสิทธิหน้าที่ข้อห้ามหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ
เป็นกฎหมายที่ควบคุมความประพฤติของคนในสังคมโดยตรง
2.กฎหมายสบัญญัติ หรือ กฎหมายวิธีสบัญญัติ (Adjective law หรือ Procedural Law)
กฎหมายทั้งสองประเภทมักจะนำมาใช้ควบคู่กันตลอด เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมนั้นสมบูรณ์
-*- หลักทฤษฎีพื้นฐานของการใช้กฎหมาย กฎหมายเฉพาะย่อมยกเว้นกฎหมายทั่วไป-*-
- กฎหมายหรือกฎเกณฑ์แห่งกฎหมายจะขัดหรือแย้งต่อกฎหมายหรือกฎเกณฑ์แห่งกฎหมายที่มีลำดับศักดิ์สูงกว่ามิได้
- กฎหมายแม่ถูกยกเลิก กฎหมายลูกก็เป็นอันถูกยกเลิกตามไปด้วย
- กฎหมายเรื่องเดียวกัน หากมีซ้ำซ้อนกันและมิได้บัญญัติว่าให้ใช้ฉบับใด ให้ถือว่าต้องใช้ฉบับที่บัญญัติขึ้นภายหลัง
******* จากการที่เราได้แนะนำข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายไปแล้วเพื่อนๆพอจะเข้าใจบ้างหรือเปล่าคะ
ถ้าไม่เข้าใจก็ค่อๆศึกษาเพิ่มเติมนะคะแล้วเพื่อนๆก็จะเข้าใจว่ากฎหมายไม่ใช่เรื่องที่ยากอย่างที่คิด
อาจจะมีเนื้อหาเยอะไปไม่มีรูปภาพประกอบก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ************