• user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:50989ffa5280dfa3cbc78b247009cf4e' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p align=\"center\">\n<span style=\"color: #000000\"><b><u><span style=\"font-size: 24pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ยุคสมัยปฏิวัติทางภูมิปัญญา</span></u></b><b><u><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\"> </span></u></b></span>\n</p>\n<p><span style=\"color: #000000\"><b><u><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\"></span></u></b><b><u><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Angsana New\'\"><o:p></o:p></span></u></b></span><span style=\"color: #000000\"><b><u><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ความเป็นมาของทฤษฏีหลังทันสมัยนิยม</span></u></b></span> </p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">     </span></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">กระแสทฤษฎีหลังทันสมัยนิยมได้รับการกล่าวถึงมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960 ก่อนที่จะก่อตัวขึ้นในวงวิชาการสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา อันเกิดขึ้นจากการตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์แบบถอนรากถอนโคนจากทฤษฎีทันสมัยนิยม (</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">modernism) <span lang=\"TH\">ในประเด็นสำคัญ</span> <span lang=\"TH\">4 ประการ ได้แก่</span></span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">     1.</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">  <span lang=\"TH\">เชื่อว่า ชายผิวขาวชาวยุโรปสามารถแยกตัวเองจากมายาคติทางวัฒนธรรมของตน แล้วศึกษาโลกได้อย่างเป็นกลางและปราศจากอคติ</span></span></span>\n</p>\n<p><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"><span lang=\"TH\">     <o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\">2. ความผิดพลาดที่เกิดจากการคาดการณ์ว่าทฤษฎีสามารถสร้างความรู้เกี่ยวกับโลกได้เหมือนกับการจำลองความเป็นจริง</span></span> </p>\n<p>\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\">     </span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\">3. ถ้าความหมายถูกสร้างขึ้นจากปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ดังนั้น จิตสำนึกร่วมที่สำนักโครงสร้างนิยมเชื่อว่า ฝังแน่นอยู่ในพฤติกรรมทางสังคมก็เป็นไม่มีอยู่จริง</span></span>\n</p>\n<p><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\">     </span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\">4. ไม่มีงาช้างสำหรับนักวิชาการ (ที่ชอบอ้างความเป็นกลาง) เพราะว่าทฤษฎีต่างๆก็มีนัยยะทางการเมือง และมีผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนในสังคมทั้งสิ้น <o:p></o:p></span></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">งานเขียนของนักมานุษยวิทยาไม่เพียงถูกสร้างขึ้นผ่านการเขียนที่เกิดจากกระบวนการคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ และจินตนาการของตน</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"> <span lang=\"TH\">แต่เป็นเพียงความจริงบางส่วนเท่านั้น คำว่า&quot;มุมมองของคนพื้นเมือง&quot;(</span>from the native\'s point of view)<span lang=\"TH\"> ถูกเปลี่ยนความหมายแสดงให้เห็นการเข้าถึงวิธีคิดและโลกทัศน์ของผู้คนต่างวัฒนธรรม ให้เป็นเพียงนิยายหรือปมปัญหาของนักมานุษยวิทยารุ่นหลังนำมาวิพากษ์วิจารณ์กัน</span></span></span> </p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"><span lang=\"TH\"></span></span></span><span style=\"color: #000000\"><b><u><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">นักคิดสำคัญ</span></u></b></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">                                       </span></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 24pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\"><img border=\"0\" width=\"91\" src=\"/files/u5680/images.jpg\" height=\"110\" /><strong><u></u></strong></span></span></span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\">     1.โซซูร์ เป็นนักภาษาศาสตร์ชาวสวิส ที่มี</span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\">ความสำคัญต่อการปฏิวัติที่เรียกว่า &quot;</span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"><span style=\"color: #000000\">The Linguistic<span lang=\"TH\"> </span>Turn&quot;<span lang=\"TH\"> ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ก่อให้เกิดความสนใจอิทธิพลของภาษาที่มีต่อวิธีคิดด้วยวิธีคิดแบบเดิม ซึ่งผลงานนี้เป็นการแสวงหาระบบภาษา อาจอยู่เบื้องหลังทุกภาษาที่ใช้กันอยู่จริงๆ และเป็นโครางสร้างภาษาที่กล่อมเกลาจิตใจ ของมนุษย์</span></span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"><span style=\"color: #000000\"><span lang=\"TH\"></span></span></span>\n</p>\n<p><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"><span style=\"color: #000000\"><span lang=\"TH\">                                        <img border=\"0\" width=\"85\" src=\"/files/u5680/images1.jpg\" height=\"103\" /><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"><span style=\"color: #000000\"><span lang=\"TH\"></span></span></span>  </span></span></span>  </p>\n<p>\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"><span style=\"color: #000000\"><span lang=\"TH\">     </span></span></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">2.เดอริดา</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">   <span lang=\"TH\">เป็นนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส</span>  <span lang=\"TH\"> ที่นำแนวคิดของโซซูว์มา </span>deconstruct <span lang=\"TH\">ทำให้เกิดแนวคิดหลังโครงสร้างนิยม (</span>poststructuralism) <span lang=\"TH\">ซึ่งเขาเห็นว่า ภาษามีธรรมชาติที่ไร้ระเบียบ ความหมายผันแปรไปตามบริบทที่เปลี่ยนไป อันเป็นพื้นฐานในการก่อตัวแนวคิดหลังทันสมัยใหม่ โดยเฉพาะแนวคิดที่ต่อต้าน </span>logocentrism <span lang=\"TH\">อันเป็นแนวคิดที่เชื่อว่ามีระบบสากลที่บอกได้อย่างชัดเจนว่าอะไรคือ ความถูกต้อง ความงาม ความจริง ฯลฯ ในความเป็นจริงโครงสร้างความหมายที่ปรากฏผ่านถ้อยคำในภาษา พฤติกรรมต่างๆ และข้อเขียนทุกชนิด ไม่อาจนำมาแปลความหรือตีความได้ ทุกสังคมวัฒนธรรมต่างก็สร้างและอยู่ในโลกของความหมายเฉพาะของตน </span>Micheal<span lang=\"TH\"> </span>Foucault : <span lang=\"TH\">ฟูโกลต์เป็นนักทฤษฎีหลังทันสมัยนิยมแบบประนีประนอม (</span>moderate<span lang=\"TH\"> </span>postmodernism)</span></span>\n</p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p>\n                                <img border=\"0\" width=\"99\" src=\"/files/u5680/images2.jpg\" height=\"114\" />\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">     </span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\">3.เลียวทาร์</span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"><span style=\"color: #000000\">  <span lang=\"TH\">เสนอว่า ควรจะเปลี่ยนโลกทัศน์ต่อความรู้เสียใหม่ จากที่ได้รับอิทธิพลจากวิทยาศาสตร์แบบกลไก มาอยู่ในระบบของโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นความรู้จึงมีลักษณะอย่างดีที่สุด คือ เป็นความรู้แบบชั่วคราว แม้แต่วิทยาศาสตร์เอง</span></span></span>\n</p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p>\n                                 <img border=\"0\" width=\"75\" src=\"/files/u5680/images3.jpg\" height=\"103\" />\n</p>\n<p><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"><span style=\"color: #000000\"><span lang=\"TH\">     </span></span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\">4.โบดริยาร์ด</span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"><span style=\"color: #000000\"> <span lang=\"TH\"> เสนอว่าวัฒนธรรมของโลกยุคหลังทันสมัยมีเนื้อหาหลักอยู่ที่</span>  <span lang=\"TH\">เศรษฐกิจ</span> </span><span style=\"color: #000000\"><span lang=\"TH\"> ที่เน้นเรื่องการผลิตกับวัฒนธรรม (ที่กลายมาเป็นวัฒนธรรมของสัญญาณที่สามารถนำมาผลิตเป็นสินค้า) จะเห็นว่า เศรษฐกิจที่มีมูลค่ามากที่สุดและมีความยั่งยืนมากที่สุดมีฐานมาจากวัฒนธรรมทั้งสิ้น เข่น ภาพยนตร์ ดนตรี แฟชั่น ฯลฯ <br />\n</span>    -</span><span style=\"color: #000000\"><span lang=\"TH\"> เศรษฐกิจเชิงวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ถึงจุดเปลี่ยน กล่าวคือ สินค้าที่มูลค่ามากที่สุดในตลาดโลกไม่ใช่สินค้าและบริการเช่นเดิม แต่เป็น&quot;ข้อมูลข่าวสาร&quot; <br />\n</span>   -<span lang=\"TH\"> ลักษณะที่โดดเด่นของวัฒนธรรมโลกยุคหลังทันสมัยอย่างหนึ่ง คือ การสร้างความจริงที่เหนือจริง (</span>hyperreality) <span lang=\"TH\">โดยผ่านการผลิตซ้ำแบบจำลอง เลียนแบบด้วยเทคโนโลยี ความจริงที่เหนือจริงนี้ เช่น การติดต่อสื่อสารผ่านโทรทัศน์หรือสื่อมวลชนต่างๆ อินเตอร์เน็ต ภาพยนตร์ การจัดนิทรรศการ การเดินทางท่องเที่ยว<o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"><span style=\"color: #000000\"> </span></span> </p>\n<p>\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"><span style=\"color: #000000\"></span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"><span style=\"color: #000000\"><b><u><span lang=\"TH\">เนื้อหาสำคัญของทฤษฎีหลังทันสมัยนิยม</span></u></b><span lang=\"TH\"> </span></span></span>\n</p>\n<p><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"><span style=\"color: #000000\"><span lang=\"TH\">     <o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\">1. มีจุดเริ่มต้นเหมือนกับนักทฤษฎีโครงสร้างนิยมที่ว่า การให้ความสำคัญกับภาษาและกระบวนการทำงานของภาษาในฐานะที่เป็นจุดเริ่มต้นในการทำความเข้าใจความคิด การสื่อสาร และปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม หรือการมองว่า &quot;ภาษา คือ ระบบของสัญญาณที่สื่อความหมาย ความคิด และประสบการณ์&quot;<o:p></o:p></span></span><v:shape href=\"http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://topicstock.pantip.com/rajdumnern/topicstock/P3793119/P3793119-8.jpg&amp;imgrefurl=http://topicstock.pantip.com/rajdumnern/topicstock/P3793119/P3793119.html&amp;usg=__BrpOuPMHkCjaSz8XwJfflFZo5vo=&amp;h=375&amp;w=500&amp;sz=45&amp;hl=th&amp;start=7&amp;um=1&amp;tbnid=KGrXnSzpyjsYJM:&amp;tbnh=98&amp;tbnw=130&amp;prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%258F%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B9%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%258D%25E0%25B8%258D%25E0%25B8%25B2%26um%3D1%26hl%3Dth%26sa%3DN\" o:button=\"t\" type=\"#_x0000_t75\" style=\"margin-top: 15.6pt; z-index: 6; left: 0px; margin-left: 343.5pt; width: 97.5pt; position: absolute; height: 73.5pt; text-align: left\" id=\"_x0000_s1031\"><span style=\"color: #000000\"><v:imagedata src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\ADMINI~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtml1\\01\\clip_image008.jpg\" o:href=\"http://tbn3.google.com/images?q=tbn:KGrXnSzpyjsYJM:http://topicstock.pantip.com/rajdumnern/topicstock/P3793119/P3793119-8.jpg\"></v:imagedata><w:wrap type=\"square\"></w:wrap></span></v:shape><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"> </span></span>                                     </p>\n<p>\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\">     2. ทฤษฎีหลังโครงสร้างนิยมปฏิเสธว่า ปรากฎการณ์ทางสังคมหรือความคิดของแต่ละบุคคลมีชุดของความหมายที่แน่นอนชุดหนึ่งแฝงอยู่ แต่ความหมายและความคิดกลับเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้รับสารหรือผู้วิเคราะห์ มุมมองเฉพาะและบริบทเฉพาะในกาสาร ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญต่อการผลิตความหมายหรือการเข้าใจปรากฏการณ์ทางสังคมแต่ละครั้ง </span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\">                                    <img border=\"0\" width=\"130\" src=\"/files/u5680/images4.jpg\" height=\"98\" /></span></span>\n</p>\n<p><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\">     <o:p></o:p></span></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">3. ความหมายของภาษาอยู่ที่ &quot;</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">linguistic sign&quot;<span lang=\"TH\"> ซึ่งประกอบด้วย &quot;</span>signified&quot; (<span lang=\"TH\">ตัวความหมาย) และ &quot;</span>signifier&quot; (<span lang=\"TH\">สัญญะที่สื่อความหมาย) เช่น </span>BMW (signifer) <span lang=\"TH\">แต่ซื้อเพราะความมีระดับและหรูหรา (</span>signified)<span lang=\"TH\"> ความสัมพันธ์ระหว่างความหมายกับสัญญะไม่อยู่ภายกฎเกณฑ์ทางภาษาหรือแบบแผนใดๆ แต่เป็นเรื่องของความบังเอิญของภาษา</span></span></span><v:shape href=\"http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://topicstock.pantip.com/rajdumnern/topicstock/P3793119/P3793119-1.jpg&amp;imgrefurl=http://topicstock.pantip.com/rajdumnern/topicstock/P3793119/P3793119.html&amp;usg=__4pdF8xhTCuIjy_b29k6nTHwQmNg=&amp;h=375&amp;w=500&amp;sz=45&amp;hl=th&amp;start=3&amp;um=1&amp;tbnid=lM0GGBDRgPID9M:&amp;tbnh=98&amp;tbnw=130&amp;prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%258F%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B9%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%258D%25E0%25B8%258D%25E0%25B8%25B2%26um%3D1%26hl%3Dth%26sa%3DN\" o:button=\"t\" type=\"#_x0000_t75\" style=\"margin-top: 15.75pt; z-index: 7; left: 0px; margin-left: 343.5pt; width: 97.5pt; position: absolute; height: 73.5pt; text-align: left\" id=\"_x0000_s1032\"><span style=\"color: #000000\"><v:imagedata src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\ADMINI~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtml1\\01\\clip_image009.jpg\" o:href=\"http://tbn2.google.com/images?q=tbn:lM0GGBDRgPID9M:http://topicstock.pantip.com/rajdumnern/topicstock/P3793119/P3793119-1.jpg\"></v:imagedata><w:wrap type=\"square\"></w:wrap></span></v:shape><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\"> </span></span> </p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">     4. ความสัมพันธ์ระหว่างสัญญะกับความหมายที่ซับซ้อนและมีนัยสำคัญหลายมิติ เช่น สัญญะไม่ได้ยึดติดอยู่กับความหมายใดความหมายนิ่งในลักษณะคงที่ แต่มันเกี่ยวโยงสัมพันธ์กับสัญญะชุดอื่นอีกจำนวนหนึ่ง เช่น </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">letter<span lang=\"TH\"> ได้ผลิตความหมายและสัญญะมากมาย อย่าง </span>alphabet, message, agreement<span lang=\"TH\"> หรือกริยาที่แปลว่าเขียนหรือทำเครื่องหมายก็ได้ </span></span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"><span lang=\"TH\">                                    <img border=\"0\" width=\"130\" src=\"/files/u5680/images5.jpg\" height=\"98\" /></span></span></span>\n</p>\n<p><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"><span lang=\"TH\">     <o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\">5. ความหมายเป็นสิ่งที่เกิดจากความแตกต่างระหว่างสัญญะใดๆ และไม่ใช่สิ่งที่แน่นอนตายตัว เช่น ไก่ ไม่อาจหมายถึงเพียงสัตว์ปีกชนิดหนึ่งที่ขยายพันธุ์โดยการออกไข่ แต่อาจหมายถึง ไก่หลง ไก่อ่อน ไก่แก่ ดังนั้นความหมายจึงเป็นผลผลิตที่เกิดขึ้นในกระบวนการสื่อสารหรือการตีความที่ดำเนินต่อไปในความคิด ความเข้าใจของผู้รับสาร</span></span> </p>\n<p>\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\">     </span></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">6. การทำความเข้าใจความหมายใดๆ มีนัยสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการสื่อสาร การวิเคราะห์ และการตีความทางวัฒนธรรม โดยเนื้อหาของสารที่ได้รับการสื่อออกมาโดยตะรางแล้วผู้รับเข้าใจได้ เป็น &quot;ความหมายที่ปรากฏ&quot; (</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">present) <span lang=\"TH\">ส่วนความหมายอื่นที่แทรก แฝง ซ่อนหรือตีความหมายต่อได้อีก ถือเป็น &quot;ความหมายที่ไม่ขาดหาย&quot; (</span>absent)</span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">     </span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\">7. การศึกษาวิเคราะห์ทางสังคมวัฒนธรรม เป็นผลของปฏิสัมพันธ์ที่ไม่มีวันสิ่นสุดของสัญญะ การเข้าถึงความหมายเกิดขึ้นภายใต้บริบททางสังคมวัฒนธรรม ที่ขึ้นอยู่กับคนรับสาร (ไม่ใช่ผู้ส่งสาร)</span></span>\n</p>\n<p>\n                               <img border=\"0\" width=\"130\" src=\"/files/u5680/images6.jpg\" height=\"98\" />\n</p>\n<p><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\">     </span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\">8. ความหมายที่เกิดจาการสื่อสารและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ประกอบด้วยลักษณะสำคัญ ได้แก่</span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"><span style=\"color: #000000\"> </span><span lang=\"TH\"><br />\n</span><span style=\"color: #000000\">   - </span><span style=\"color: #000000\"><span lang=\"TH\">ความหลากหลายมิติอยู่ในตัวเอง<br />\n</span>   -</span><span lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"> ความหมายไม่ได้จำกัดด้วยโครงสร้างที่ตายตัวแบบแนวคิด </span><a target=\"_blank\" href=\"http://202.44.68.33/binary%20op.html\"><span style=\"color: windowtext; text-decoration: none; text-underline: none\" lang=\"EN-US\">binary</span><span style=\"color: windowtext; text-decoration: none; text-underline: none\"> </span><span style=\"color: windowtext; text-decoration: none; text-underline: none\" lang=\"EN-US\">oppositions </span></a><br />\n</span><span style=\"color: #000000\">  <span lang=\"TH\"> -</span> <span lang=\"TH\">ผู้ส่งสาร ไม่มีอำนาจสิทธิ์ขาดในการสร้างความหมาย แต่เป็นผู้รับสาร ซึ่งมีความสามารถ โอกาส รวมทั้ง</span>   </span><span style=\"color: #000000\"><span lang=\"TH\"> เงื่อนไขที่จะเข้าถึงและตีความที่ผู้ส่งสารไม่ได้คิดถึงหรือเตรียมไว้เลย<br />\n</span>  - <span lang=\"TH\">ผู้รับสารเป็นผู้มีบทบาทในการทำความจริงให้ปรากฏ และทำสิ่งผู้ส่งสารจงใจซ่อนให้ปรากฏ<o:p></o:p></span></span></span> </p>\n', created = 1720165970, expire = 1720252370, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:50989ffa5280dfa3cbc78b247009cf4e' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.

ยุคปฏิวัติทางภูมิปัญญา

ยุคสมัยปฏิวัติทางภูมิปัญญา

ความเป็นมาของทฤษฏีหลังทันสมัยนิยม

     กระแสทฤษฎีหลังทันสมัยนิยมได้รับการกล่าวถึงมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960 ก่อนที่จะก่อตัวขึ้นในวงวิชาการสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา อันเกิดขึ้นจากการตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์แบบถอนรากถอนโคนจากทฤษฎีทันสมัยนิยม (modernism) ในประเด็นสำคัญ 4 ประการ ได้แก่

     1.  เชื่อว่า ชายผิวขาวชาวยุโรปสามารถแยกตัวเองจากมายาคติทางวัฒนธรรมของตน แล้วศึกษาโลกได้อย่างเป็นกลางและปราศจากอคติ

     2. ความผิดพลาดที่เกิดจากการคาดการณ์ว่าทฤษฎีสามารถสร้างความรู้เกี่ยวกับโลกได้เหมือนกับการจำลองความเป็นจริง

     3. ถ้าความหมายถูกสร้างขึ้นจากปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ดังนั้น จิตสำนึกร่วมที่สำนักโครงสร้างนิยมเชื่อว่า ฝังแน่นอยู่ในพฤติกรรมทางสังคมก็เป็นไม่มีอยู่จริง

     4. ไม่มีงาช้างสำหรับนักวิชาการ (ที่ชอบอ้างความเป็นกลาง) เพราะว่าทฤษฎีต่างๆก็มีนัยยะทางการเมือง และมีผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนในสังคมทั้งสิ้น งานเขียนของนักมานุษยวิทยาไม่เพียงถูกสร้างขึ้นผ่านการเขียนที่เกิดจากกระบวนการคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ และจินตนาการของตน แต่เป็นเพียงความจริงบางส่วนเท่านั้น คำว่า"มุมมองของคนพื้นเมือง"(from the native's point of view) ถูกเปลี่ยนความหมายแสดงให้เห็นการเข้าถึงวิธีคิดและโลกทัศน์ของผู้คนต่างวัฒนธรรม ให้เป็นเพียงนิยายหรือปมปัญหาของนักมานุษยวิทยารุ่นหลังนำมาวิพากษ์วิจารณ์กัน

นักคิดสำคัญ

                                      

     1.โซซูร์ เป็นนักภาษาศาสตร์ชาวสวิส ที่มีความสำคัญต่อการปฏิวัติที่เรียกว่า "The Linguistic Turn" ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ก่อให้เกิดความสนใจอิทธิพลของภาษาที่มีต่อวิธีคิดด้วยวิธีคิดแบบเดิม ซึ่งผลงานนี้เป็นการแสวงหาระบบภาษา อาจอยู่เบื้องหลังทุกภาษาที่ใช้กันอยู่จริงๆ และเป็นโครางสร้างภาษาที่กล่อมเกลาจิตใจ ของมนุษย์

                                           

     2.เดอริดา   เป็นนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส   ที่นำแนวคิดของโซซูว์มา deconstruct ทำให้เกิดแนวคิดหลังโครงสร้างนิยม (poststructuralism) ซึ่งเขาเห็นว่า ภาษามีธรรมชาติที่ไร้ระเบียบ ความหมายผันแปรไปตามบริบทที่เปลี่ยนไป อันเป็นพื้นฐานในการก่อตัวแนวคิดหลังทันสมัยใหม่ โดยเฉพาะแนวคิดที่ต่อต้าน logocentrism อันเป็นแนวคิดที่เชื่อว่ามีระบบสากลที่บอกได้อย่างชัดเจนว่าอะไรคือ ความถูกต้อง ความงาม ความจริง ฯลฯ ในความเป็นจริงโครงสร้างความหมายที่ปรากฏผ่านถ้อยคำในภาษา พฤติกรรมต่างๆ และข้อเขียนทุกชนิด ไม่อาจนำมาแปลความหรือตีความได้ ทุกสังคมวัฒนธรรมต่างก็สร้างและอยู่ในโลกของความหมายเฉพาะของตน Micheal Foucault : ฟูโกลต์เป็นนักทฤษฎีหลังทันสมัยนิยมแบบประนีประนอม (moderate postmodernism)

 

                                

     3.เลียวทาร์  เสนอว่า ควรจะเปลี่ยนโลกทัศน์ต่อความรู้เสียใหม่ จากที่ได้รับอิทธิพลจากวิทยาศาสตร์แบบกลไก มาอยู่ในระบบของโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นความรู้จึงมีลักษณะอย่างดีที่สุด คือ เป็นความรู้แบบชั่วคราว แม้แต่วิทยาศาสตร์เอง

 

                                 

     4.โบดริยาร์ด  เสนอว่าวัฒนธรรมของโลกยุคหลังทันสมัยมีเนื้อหาหลักอยู่ที่  เศรษฐกิจ  ที่เน้นเรื่องการผลิตกับวัฒนธรรม (ที่กลายมาเป็นวัฒนธรรมของสัญญาณที่สามารถนำมาผลิตเป็นสินค้า) จะเห็นว่า เศรษฐกิจที่มีมูลค่ามากที่สุดและมีความยั่งยืนมากที่สุดมีฐานมาจากวัฒนธรรมทั้งสิ้น เข่น ภาพยนตร์ ดนตรี แฟชั่น ฯลฯ
    -
เศรษฐกิจเชิงวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ถึงจุดเปลี่ยน กล่าวคือ สินค้าที่มูลค่ามากที่สุดในตลาดโลกไม่ใช่สินค้าและบริการเช่นเดิม แต่เป็น"ข้อมูลข่าวสาร"
   - ลักษณะที่โดดเด่นของวัฒนธรรมโลกยุคหลังทันสมัยอย่างหนึ่ง คือ การสร้างความจริงที่เหนือจริง (hyperreality) โดยผ่านการผลิตซ้ำแบบจำลอง เลียนแบบด้วยเทคโนโลยี ความจริงที่เหนือจริงนี้ เช่น การติดต่อสื่อสารผ่านโทรทัศน์หรือสื่อมวลชนต่างๆ อินเตอร์เน็ต ภาพยนตร์ การจัดนิทรรศการ การเดินทางท่องเที่ยว
 

เนื้อหาสำคัญของทฤษฎีหลังทันสมัยนิยม

     1. มีจุดเริ่มต้นเหมือนกับนักทฤษฎีโครงสร้างนิยมที่ว่า การให้ความสำคัญกับภาษาและกระบวนการทำงานของภาษาในฐานะที่เป็นจุดเริ่มต้นในการทำความเข้าใจความคิด การสื่อสาร และปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม หรือการมองว่า "ภาษา คือ ระบบของสัญญาณที่สื่อความหมาย ความคิด และประสบการณ์"                                     

     2. ทฤษฎีหลังโครงสร้างนิยมปฏิเสธว่า ปรากฎการณ์ทางสังคมหรือความคิดของแต่ละบุคคลมีชุดของความหมายที่แน่นอนชุดหนึ่งแฝงอยู่ แต่ความหมายและความคิดกลับเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้รับสารหรือผู้วิเคราะห์ มุมมองเฉพาะและบริบทเฉพาะในกาสาร ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญต่อการผลิตความหมายหรือการเข้าใจปรากฏการณ์ทางสังคมแต่ละครั้ง

                                    

     3. ความหมายของภาษาอยู่ที่ "linguistic sign" ซึ่งประกอบด้วย "signified" (ตัวความหมาย) และ "signifier" (สัญญะที่สื่อความหมาย) เช่น BMW (signifer) แต่ซื้อเพราะความมีระดับและหรูหรา (signified) ความสัมพันธ์ระหว่างความหมายกับสัญญะไม่อยู่ภายกฎเกณฑ์ทางภาษาหรือแบบแผนใดๆ แต่เป็นเรื่องของความบังเอิญของภาษา 

     4. ความสัมพันธ์ระหว่างสัญญะกับความหมายที่ซับซ้อนและมีนัยสำคัญหลายมิติ เช่น สัญญะไม่ได้ยึดติดอยู่กับความหมายใดความหมายนิ่งในลักษณะคงที่ แต่มันเกี่ยวโยงสัมพันธ์กับสัญญะชุดอื่นอีกจำนวนหนึ่ง เช่น letter ได้ผลิตความหมายและสัญญะมากมาย อย่าง alphabet, message, agreement หรือกริยาที่แปลว่าเขียนหรือทำเครื่องหมายก็ได้

                                    

     5. ความหมายเป็นสิ่งที่เกิดจากความแตกต่างระหว่างสัญญะใดๆ และไม่ใช่สิ่งที่แน่นอนตายตัว เช่น ไก่ ไม่อาจหมายถึงเพียงสัตว์ปีกชนิดหนึ่งที่ขยายพันธุ์โดยการออกไข่ แต่อาจหมายถึง ไก่หลง ไก่อ่อน ไก่แก่ ดังนั้นความหมายจึงเป็นผลผลิตที่เกิดขึ้นในกระบวนการสื่อสารหรือการตีความที่ดำเนินต่อไปในความคิด ความเข้าใจของผู้รับสาร

     6. การทำความเข้าใจความหมายใดๆ มีนัยสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการสื่อสาร การวิเคราะห์ และการตีความทางวัฒนธรรม โดยเนื้อหาของสารที่ได้รับการสื่อออกมาโดยตะรางแล้วผู้รับเข้าใจได้ เป็น "ความหมายที่ปรากฏ" (present) ส่วนความหมายอื่นที่แทรก แฝง ซ่อนหรือตีความหมายต่อได้อีก ถือเป็น "ความหมายที่ไม่ขาดหาย" (absent)

     7. การศึกษาวิเคราะห์ทางสังคมวัฒนธรรม เป็นผลของปฏิสัมพันธ์ที่ไม่มีวันสิ่นสุดของสัญญะ การเข้าถึงความหมายเกิดขึ้นภายใต้บริบททางสังคมวัฒนธรรม ที่ขึ้นอยู่กับคนรับสาร (ไม่ใช่ผู้ส่งสาร)

                              

     8. ความหมายที่เกิดจาการสื่อสารและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ประกอบด้วยลักษณะสำคัญ ได้แก่ 
   - ความหลากหลายมิติอยู่ในตัวเอง
   -
ความหมายไม่ได้จำกัดด้วยโครงสร้างที่ตายตัวแบบแนวคิด binary oppositions 
   - ผู้ส่งสาร ไม่มีอำนาจสิทธิ์ขาดในการสร้างความหมาย แต่เป็นผู้รับสาร ซึ่งมีความสามารถ โอกาส รวมทั้ง    เงื่อนไขที่จะเข้าถึงและตีความที่ผู้ส่งสารไม่ได้คิดถึงหรือเตรียมไว้เลย
  - ผู้รับสารเป็นผู้มีบทบาทในการทำความจริงให้ปรากฏ และทำสิ่งผู้ส่งสารจงใจซ่อนให้ปรากฏ

สร้างโดย: 
นางสาวจันทิมา กรพิพัฒน์ ม.6/1 เลขที่28
รูปภาพของ silavacharee

ตรวจแล้ว

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ใหญ่ใจดี
 

 ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ 
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ 
ไม่ถูกปิดเสียก่อน

ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 
มีผลบังคับใช้แล้ว 
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

 

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 641 คน กำลังออนไลน์