การปกครองของโรมันแบ่งออกเป็น 3 แบบ1. สมัยราชาธิปไตย (Kingship, ปี 753 – ประมาณ 500 ก่อนคริสต์ศักราช ) 2. สมัยสาธารณะรัฐ (Repubblics, ประมาณปี 500-27 ก่อนคริสต์ศักราช )3. สมัยจักวรรดิ (ปี 27 ก่อนคริสต์ศักราช – ค.ศ.467)
1. สมัยราชาธิปไตย (ปี 753 – ประมาณ 500 ก่อนคริสต์ศักราช) ผู้สร้างกรุงโรมเป็นชาวโรมัน ซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณตอนใต้ของแม่น้ำไทเบอร์ แม้ว่าจะยังไม่ทราบแน่เกี่ยวกับการสร้างกรุงโรม แต่จากการวิจัยทางโบราณคดีเร็วๆ นี้ ได้กำหนดปีก่อตั้งกรุงโรมใกล้เคียงกันคือปี 753 ก่อนคริสต์ศักราช เนื่องด้วยที่ตั้งเหมาะสมจึงได้ขยายอำนาจได้อย่างกว้างขวาง มีประสิทธิภาพรบชนะเพื่อนบ้านต่างๆ จนในที่สุดในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช กรุงโรมก็ได้มีอิทธิพลเหนือบริเวณรอบๆนั้น ครั้งแรกรัฐบาลโรมันเป็นแบบราชาธิปไตยโดยมุ่งสร้างความมั่นคง ประสิทธิภาพทางทหาร รัฐดั้งเดิมของชาวโรมันเป็นครอบครัว เน้นทางสายบิดา โดยกษัตริย์บริหารมีอำนาจตัดสินผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาคล้ายหัวหน้าครอบครัว แต่อำนาจทางบิดาถูกจำกัดโดยประเพณี และต้องนับถือความประสงค์ของลูกชายที่เติบโตแล้วเช่นเดียวกัน อำนาจของกษัตริย์ก็ถูกจำกัดจากหัวหน้าอาณาจักรต่างๆ อำนาจหน้าที่ของพระองค์คือ หัวหน้าการบริหาร ศาสนา ทางทหารและทางการพิจารณาคดีต่างๆ เรียกอำนาจนี้ว่า อิมพีเรียม (Imperium) คืออำนาจสูงสุด แม้นว่าการขึ้นครองราชย์พระองค์ก็ต้องได้รับการรับรองจากประชาชน พระองค์ไม่สามารถถูกถอดถอนก็จริง แต่ไม่มีอำนาจใดที่จะมาท้าทายอำนาจการบริหารของพระองค์ มีนิยายปรัมปราเล่าว่าปี 534 ก่อนคริสต์ศักราช ทรราชชาวอีทรัสคันส์ ชื่อ ทาร์ควินผู้เย่อหยิ่งอวดดี (Parquin the Proud ) ต้องการยึดอำนาจกรุงโรม และได้ปกครองกรุงโรมด้วยความโหดร้ายมาก ต่อมาลูกชายของเขาได้ข่มขืนลูครีเชีย(Lucretia) ภรรยาชาวโรมันผู้บริสุทธิ์ ทำให้เธอต้องฆ่าตัวตาย ชาวโรมันก่อกบฏ ไม่เพียงแต่ล้มการปกครองทรราชอีทรัสคันส์ แต่รวมถึงการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ นิยายรักชาติเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นว่าชาวอีทรัสคันส์ได้มีอำนาจเหนือกรุงโรมชั่วคราว และมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ประมาณ 500 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ทำให้การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สิ้นสุดลงและถูกแทนที่ด้วยระบบสาธารณรัฐ อำนาจของอีทรัสคันส์ก็ค่อยๆเสื่อมลง ทำให้ชาวโรมันประจักษ์ว่า การปกครองแบบราชาธิปไตยเป็นอันตราย2. สมัยสาธารณรัฐ (Repubrics,ประมาณปี 500-27 ปี ก่อนคริสต์ศักราช) ชาวโรมันแบ่งประชาชนออกเป็น 2 พวกคือ 2.1 เพทรีเชียนส์ (Patricians) ชนชั้นสูง เป็นพวกคุมอำนาจทางการเมืองระยะต้นๆ 2.2 พลีเดียนส์ (Pledians) ส่วนมากเป็นชาวนาและบ้างก็เป็นพ่อค้า บ้างก็เป็นครอบครัวร่ำรวยที่มีบรรพบุรุษเป็นชาวต่างชาติ พวกนี้ถูกกีดกันจากพวกแรก ชนชั้นพลีเดียนส์ได้รับความขมขื่นมาก คือ ถูกบังคับไปประจำกองทัพเวลามีสงคราม ถูกกีดกันไม่ให้รับราชการและไม่ได้รับความเสมอภาคทางกฎหมาย เพราะว่ากฎหมายไม่ได้เขียนไว้เป็นหลักฐาน พวกเพทรีเชียนส์เท่านั้นที่จะมีสิทธิ์จะตีความกฎหมายได้ ที่เลวร้ายที่สุดคือ เจ้าหนีสามารถขายลูกหนี้ให้เป็นทาสนอกกรุงโรมได้ ในยุคต้นของสาธารณรัฐกรุงโรม พวกเพทรีเชียนส์ที่กุมอำนาจสถาบันการปกครองซึ่งมีสถาบันการปกครองดังนี้2.2.1 กงสุล 2 คน เลือกจากพวกเพทรีเชียน อยู่ในตำแหน่งครั้งละ 1 ปี เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน วุฒิสภา (Senate) จะมอบอำนาจให้กงสุลเพียงคนเดียวบังคับบัญชาการทหารเรียกว่า ผู้เผด็จการ (Dictator) อยู่ในตำแหน่งคราวละไม่เกิน 6 เดือนนอกจากจะได้รับอนุมัติให้อยู่ต่ออีก กงสุลจะมีผู้คุ้มกันเรียกว่า ลิคเตอร์ส (Lictors) 12 คน และมีบันลังก์ ส่วนตำแหน่งเผด็จการ (Dictator) จะมีผู้คุ้มกัน 24 คน จะถือมัดหวายมือขวานสอด เรียกว่า ฟาสเซส (Fasces) เป็นสัญลักษณ์ กงสุลมีอำนาจระบุผู้สืบตำแหน่งต่อจากตน ทำหน้าที่เป็นแม่ทัพ ผู้บริหารสูงสุด ผู้พิพากษา หัวหน้าทางศาสนา เรียกประชุมสภาสามัญ (Assembly) ปกติจะได้รับคำแนะนำจากวุฒิสภา (Senate) และเมื่อหมดวาระจากตำแหน่งกงสุล ก็จะไปเป็นสมาชิกของวุฒิสภา 2.2.2 วุฒิสภา (Senate) ประกอบด้วยสมาชิก 300 คน มาจากพวกเพทรีเชียนส์ และจะดำรงตำแหน่งนี้ตลอดชีวิต สมาชิกส่วนหนึ่งมาจากวุฒิสมาชิก (Senators) มาจากคนเคยเป็นกงสุล อีกจำนวนหนึ่งมาจากการแต่งตั้งของกงสุล หน้าที่ของวุฒิสมาชิก คือ ให้คำแนะนำแก่กงสุลและคัดค้านมติของสมาชิกของสภาสามัญ 2.2.3 สภาสามัญ (Assembly) ประกอบด้วยพลเมืองชาวโรมัน ทั้งที่เป็นเพทรีเชียนและพลีเบียน สมาชิกสามัญมีหน้าที่คือ เลือกตั้งกงสุลและตำแหน่งข่าราชการต่างๆ พิจารรากฎหมายที่กงสุลและวุฒิสภาเสนอมา แม้จำนวนเพทรีเชียนส์มีจำนวนน้อยกว่า แต่มีอำนาจในสภามาก เพราะวิธีการออกเสียงพิเศษในการปกครองของชาวโรมัน วิธีการออกเสียงในสภาสามัญให้ออกตามหมู่ที่ตนสังกัดอยู่ คือ ชาวเมืองทั้งหมดแบ่งเป็นกองร้อย (Centuries) พวกเพทรีเชียนส์มี 98 กองร้อย ทั้งๆที่มีจำนวนคนน้อยกว่าและพวกพลีเบียนมี 95 กองร้อย เวลาออกเสียงจะออกตามกองร้อยเพราะฉะนั้นพวกเพทรีเชียนส์จึงได้รับชัยชนะเสมอ ซึ่งพวกพลีเบียนพยายามต่อสู้ต่อไป 2.2.4 พรีเตอร์ (Praetor) รองจากกงสุล เมื่อกงสุลไม่อยู่พรีเตอร์จะทำหน้าที่รักษาการแทน เดิมพรีเตอร์มี 1คน ต่อมาเพิ่มสูงสุดถึง 8 คน แต่มีหน้าที่เพิ่มขึ้นด้วยคือ เป็นผู้บัญชาการทหาร เป็นข้าหลวงไปยังดินแดนต่างๆ และผู้พิพากษา พรีเตอร์เลือกมาจากพลีเบียน ดำรงตำแหน่ง 1 ปี 2.2.5 เซนเซอร์ (Censors) มีจำนวน 2 คน ต้องเป็นกงสุลมาก่อน ดำรงตำแหน่งครั้งละ 18 เดือน มีหน้าที่ตัดสินว่าผู้ใดมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นพลเมืองโรมันโดยใช้หลักคุณธรรมความดีการเรียกร้องสิทธิของพลีเบียน พวกพลีเบียนได้เริ่มต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิของตนเองในต้นศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสต์ศักราช ในที่สุดพวกเขาก็ได้รับเลือกตั้งเป็นทรีบูนส์ 10 คน (Tribunes) ใน สภาทรีบูนส์ (Tribunal Assembly) เพื่อป้องกันพวกเขาในการยับยั้ง การกระทำที่ผิดกฎหมายของพวกเพทรีเชียนส์ ต่อมาได้รับชัยชนะในการออกกฎหมายฉบับแรกที่มีชื่อเสียงในปี 450 ก่อนคริสต์ศักราช คือ กฎหมายสิบสอง โต๊ะ (Law of the Twelve Tables) ทำด้วยไม้ อย่างไรก็ดี ในทศวรรษต่อมา พวกพลีเบียนก็ได้รับตำแหน่งผู้บริหารชั้นผู้น้อยและประมาณปี 367 ก่อนคริสต์ศักราช พลีเบียนคนแรกก็ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นกงสุล เมื่อหมดวาระกงสุลที่มาจากพลีเบียนนี้ก็ได้เป็นวุฒิสมาชิกอย่างอัตโนมัติ นับว่าการผูกขาดของเพทรีเชียนส์ในวุฒิสภาได้ยุติลง ชัยชนะอันสุดท้ายของพวกพลีเบียน คือ การออกกฎหมายของสภาสามัญในปี 287 ก่อนคริสต์ศักราช ว่าจะผลผูกมัดกับการปกครองของโรมัน แม้นว่าวุฒิสภาจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตามการขยายอำนาจของโรมัน ชาวโรมันได้ขยายอาณาเขตดังนี้คือ1. ในคาบสมุทรอิตาลี2. สงครามกับพวกคาร์เธจ (Punic Wars)1. คาบสมุทรอิตาลี ชาวกรีกซึ่งได้มาตั้งอาณานิคมกรีกที่คาบสมุทรอิตาลีตอนใต้และเกาะซีซิลีที่เรียกว่า แมกนา เกรเชีย(Magna Graecia) เมื่อถูกกองทัพโรมันโจมตีก็ขอความช่วยเหลือจากกรีซเมืองแม่ กษัตริย์เพียร์รัส (Pyrrhus, ปี 297 - 270ก่อนคริสต์ศักราช) กษัตริย์จากเมืองอิไพรัส (Epirus) มาช่วยในปี 281 และ 270 ครั้งหลังกษัตริย์เพียร์รัสแพ้ ในคาบสมุทรอิตาลี ทางเหนือกองทัพโรมันได้รบชนะพวกกอล (Gaul ) และพวกเซลติค (Celtic) ประมาณ 265 ก่อนคริสต์ศักราช โรมันจึงได้กลายเป็นพวกที่มีอำนาจสูงสุดในคาบสมุทรอิตาลี 2. สงครามกับพวกคาร์เธจ (Punic Wars) มีการรบ 3 ครั้งคือ 2.1 การรบครั้งแรก (ปี 264-261 ก่อนคริสต์ศักราช) 2.2 การรบครั้งที่ 2 (ปี 218 – 202 ก่อนคริสต์ศักราช)2.3 การรบครั้งที่ 3 (ปี 149- 146ก่อนคริสต์ศักราช) 2.1 สงครามพูนิคครั้งแรก (ปี 264- 261ก่อนคริสต์ศักราช) สาเหตุของสงคราม คือ โรมันกลัวการขยายอำนาจของคาร์เธจที่เกาะซีซิลี จะมายังเมืองเมสซินา (Messina) โดยเกรงว่าคาร์เธจจะยกทัพข้ามช่องแคบมายังคาบสมุทรอิตาลี กงสุลโรมันจึงยกทัพไปโจมตี ผลคือ โรมันชนะปี 241 ก่อนคริสต์ศักราช คาร์เธจต้องยกเกาะซีซิลีให้กรุงโรมและจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมากแก่โรมัน ทำให้เกาะซีซิลีได้กลายเป็นจังหวัดโพ้นทะเลแห่งแรกของโรมันและคาร์เธจยังมีอาณานิคมแถบสเปน จึงพยายามรวบรวมกำลังไปบุกอิตาลีใหม่ 2.2 สงครามคูนิคครั้งที่2 (ปี218-202 ก่อนคริสต์ศักราช) ชาวคาร์เธจนำโดยแม่ทัพฮันนิบาล (Hannibal,ปี 247 -183 ก่อนคริสต์ศักราช) ผู้เข้มแข็งและมีชื่อเสียงนำกองทัพพร้อมช้างจากสเปนผ่านฝรั่งเศสตอนใต้และข้ามผู้เขาแอลป์สไปยังอิตาลี โรมันสามารถเอาตัวรอดได้อย่างหวุดหวิดด้วยวิธีการให้กองทัพคาร์เธจอดอาหารเหนื่อยล้าและถูกรบกวนเป็นเวลา 16 ปี “ Delaying tactics” โดยเฟบิอัส (Quintus Fabius Maximus Verrucosus Cunctator, ตายปี 203 ก่อนคริสต์ศักราช) รู้จักกันมาว่าเป็นเฟบิอัสผู้ชะลอการรบ (Fabius the Delayer) จนในที่สุด ในพลชาวโรมันผู้ก้าวร้าวชื่อ ซิพีโอ (Scipio Africanus, Publius Cornelius,ปี 236-184 ก่อนคริสต์ศักราช) รบชนะฮันนีบาลที่เมืองซามา (Zama, ตั้งอยู่ที่แอฟริกาเหนือใกล้เมืองคาร์เธจ) อย่างราบคาบ ปี 202ก่อนคริสต์ศักราช) ซิพีโอจึงได้สมญานามว่า ซิพีโอ แอฟิกานัส (Scipio Africanus) เป็นรางวัลแอฟิกานัสเป็นตำแหน่งผู้ชนะเหนือแอฟริกา(Conqueror of Africa) คาร์เธจต้องสูญเสียดินแดนทั้งหมดให้โรมัน ยกเว้นเมืองคาร์เธจ และจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามให้แก่โรมันมากกว่าค่าปฏิกรรมสงครามครั้งแรกถึง 3 เท่า 2.3 สงครมคูนิคครั้งที่ 3 (ปี 149-146 ก่อนคริสต์ศักราช) ประมาณกลางศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช เมืองคาร์เธจเริ่มฟื้นตัวเจริญขึ้นเหมือนสมัยก่อนและนี่เป็นเหตุทำให้ชาวโรมันไม่พอใจ วุฒิสมาชิกชาวโรมันซึ่งมีอิทธิพลมากจึงต้องการล้มรัฐคาร์เธจให้หมดสิ้นไป นำโดยเซนเซอร์คนหนึ่ง ชื่อ คาโต (Cato) กล่าวสุนทรพจน์ในวุฒิสภาว่า “เมืองคาร์เธจต้องถูกทำลาย” (Carthage must be destroyed )ปีรุ่งขึ้น โรมันจึงบังคับให้ชาวคาร์เธจอพยพเข้าไปในแผ่นดินโดยให้ห่างจากฝั่งทะเล 10 ไมล์ ซึ่งเป็นการทำลายชีวิตของชาวคาร์เธจที่อาศัยการค้าขายทางทะเลจึงได้รับการปฏิเสธ ชาวโรมันจึงยกทัพมาโจมตี การรบดำเนินอยู่ 3 ปี ผลคือ เมืองคาร์เธจถูกทำลายย่อยยับและชาวคาร์เธจถูกฆ่าตายอย่างทารุน มีนายพลชาวโรมันผู้ชนะสงครามคนหนึ่งเมื่อเห็นเปลวไฟที่เผาเมืองคาร์เธจ เขากล่าวว่า “เป็นนาทีที่หน้าภูมิใจแต่ข้าพเจ้ามีความรู้สึกแปลกใจว่าวันหนึ่งโชคชะตาเช่นเดียวนี้จะบังเกิดขึ้นกับมาตุภูมิของข้าพเจ้าด้วย” ผลของสงครามครั้งนี้ทำให้เมืองคาร์เธจล่มสลายไปโดยสิ้นเชิง ชาวคาร์เธจจำนวน 55,000 คนที่มีชีวิตอยู่ก็ถูกขายเป็นทาส เมืองคาร์เธจจึงตกอยู่ใต้อำนาจของโรมในฐานะเป็นมณฑลหนึ่ง เรียกว่าแอฟริกา (Africa) (scipio Africanus นอกจากได้ชัยชนะเมืองคาร์เธจที่แอฟริกาแล้ว โรมันยังได้ยกทัพไปโจมตีมาซีดอน (Macedon) ในกรีซ ปี 146 ก่อนคริสต์ศักราช และได้มาเป็นมณฑลหนึ่งของอาณาจักรโรมัน ส่วนนครรัฐภาคใต้ของคาบสมุทรกรีซ ยอมรับอำนาจของโรมันและต้องส่งบรรณาการไปให้โรมัน แต่ยังมีสิทธิ์ปกครองภายในตนเอง ที่เอเชียไมเนอร์ ประมาณปี 129 ก่อนคริสต์ศักราช ดินแดนที่อยู่ชายฝั่งทะเลอีเจียนตกอยู่ภายใต้อำนาจของโรมันการปกครองของโรมันเนื่องจากโรมันได้ขยายดินแดนออกกว้างขวางมากขึ้น จึงแบ่งการปกครองดังนี้ คือ1. ที่คาบสมุทรอิตาลี ให้ปกครองตนเอง ขุนพลชาวโรมันในกรุงโรม มีฐานะร่ำรวย มีชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย2. นอกคาบสมุทรอิตาลี ตั้งเป็นมณฑล เช่น กรีซ เปอร์เชีย เป็นต้น อยู่ใต้อำนาจโรมัน ถูกปลดอาวุธ แต่ต้องส่งบรรณาการเป็นเงินหรือของอื่น ๆ ให้โรมัน ข้าหลวงแต่งตั้งโดยวุฒิสภา ซึ่งข้าหลวงมีสิทธิเต็มที่ในดินแดนที่ได้รับมอบหมาย เก็บภาษีอย่างเข้มงวด ทหารมีส่วนได้ทรัพย์สินของข้าศึก พ่อค้าและทหารผ่านศึกจะได้รับสิทธิพิเศษ ส่วนสามัญชนทุกข์ ยากลำบาก การเพาะปลูกไม่ได้ผล ต้องขายที่ดินลูกจ้างหรือเป็นทาส
การทหารในระยะแรก ฟาแลงซ์ กองทหารราบโรมัน ประกอบด้วยทหารเดินเท้าประมาณ 8000 คน แบ่งเป็นกองร้อย เวลารบจะเดินเข้าหาข้าศึกอย่างเป็นระเบียบ ทหารกองร้อยแนวหน้ามีโล่และอาวุธที่ดี ส่วนทหารกองหลัง ๆ จะลดประสิทธิภาพลงเป็นลำดับ (ดูกองทหารราบ หัวข้ออารยธรรมกรีกประกอบ)
ต่อมากองทหารโรมันเปลี่ยนเป็นแบบเลจัน มีทะหารประมาณ 3600-4000 คน แบ่งเป็นหมู่ย่อยประมาณ 60-120 คน เวลารบต่างหมู่ต่างสู้รบเป็นพวก ตอนแรก ผู้จะเป็นทหารโรมันจะต้องเป็นพลเมืองโรมัน มีอายุระหว่าง 17-46 ปี ให้การฝึกอย่างมีระเบียบวินัย มีการลงโทษและให้รางวัลในโอกาสต่างๆ เช่น ให้อาวุธแก่ทหารผู้ที่มีความสามารถทำให้ศัตรูบาดเจ็บให้ถ้วยแก่ทหารที่ฆ่าศัตรูได้และให้มงกุฎแก่ผู้ปีนค่ายข้าศึกเป็นคนแรก การเปลี่ยนแปลงการปกครองของพี่น้องตระกูลแกรคคัส โครงการปฏิรูปที่ดินของไทเบริอัส แกรคคัส พี่ชายเป็นทรีบูนปี 133 ก่อนคริสต์ศักราช และน้องชายชื่อ กายอัส แกรคคัส โดยเป็นทรีบูน ประมาณปี 123-122 ก่อนคริสต์ศักราช ทั้งสองพี่น้องเสนอให้ปรับปรุงเศรษฐกิจและสังคมแก่ผู้ยากจน คือ ไทเบริอัส เมื่อได้รับเลือกตั้งให้เป็นทรีบูน ปี 133 ก่อนคริสต์ศักราช ได้เสนอให้ที่ดินแก่เจ้าของที่ดินคนละไม่เกิน 300 เอเคอร์ และให้อีก 150 เอเคอร์แก่ลูกแต่ละคนในครอบครัวหนึ่ง ๆ ส่วนที่เหลือให้นำไปแจกจ่ายแก่ผู่ไม่มีที่ดิน แต่โครงการของไทเบริอัสได้ถูกขุนนางนักอนุรักษ์หัวรุนแรงขัดขวาง ในที่สุดเค้าก็ถูกลอบฆ่าตายพร้อมกับพรรคพวกของเค้าจำนวนมากในปี 132 ก่อนคริสต์ศักราช น้องชายของเขา คือ กายอัส ก็ได้ต่อสู้ช่วยเหลือคนยากจนต่อ โดย 9 ปี ต่อมาก็ได้รับเลือกตั้งให้เป็นทรีบูน และในปี 123 ก่อนคริสต์ศักราช และได้รับเลือกตั้งอีกในปีรุ่งขึ้น กายอัสได้พยายามออกกฎหมายเพื่อช่วยผู้ด้อยโอกาส เช่น ประกันราคาข้าวให้มั่นคง ควบคุมข้าหลวงในมณฑล คนที่ถูกสงสัยว่าจะฉ้อราษฎร์บังหลวง การกระทำของกายอัสทำให้วุฒิสภาโกรธแค้นและประกาศเค้าให้อยู่นอกกฎหมาย และให้กงสุลดำเนินการกับเขาเพื่อป้องกันสาธารณรัฐไว้ จากการขัดแย้งดังกล่าว เข้าก็ถูกฆ่าตาย และพรรคพวกของเขาประมาณ 3000 คน ก็ถูกฆ่าตายจากผลการกวาดล้างครั้งนั้น ภายหลังจากพี่น้องตระกูลแกรคคัสสิ้นชีวิตไป มีผู้นำทางทหารสองคนที่ปกครองโรมันต่อมา คือ เมริอัส เป็นกงสุลปี 107 ก่อนคริสต์ศักราชได้รับการเลือกตั้ง 6 ครั้งต่อมา ได้ยกเลิกกฏหมายบางอย่างของการมาเป็นทหารและยอมให้ผู้ไม่มีที่ดินเป็นทหารได้ นายทหารต่อมาคือ ซัลลา ต่อมาเมริอัสทะเลาะกับซัลเลอ เพราะวุฒิสภาได้มอบให้ซัลลาไปปราบกษัตริย์มิเทรอเดทัส แห่งเมืองพอนทัส ที่เอเชียไมเนอร์ ซึ่งก่อความวุ่นวาย ส่วนเมริอัสได้รับมอบหมายจากสภา สามัญให้ไปปราบ จึงปะทะกัน เมริอัสเสียชีวิตปี 86 ก่อนคริสต์ศักราช ซัลลาจึงได้ตำแหน่งผู้เผด็จการนำทัพไปปราบกษัตริย์มิเธรอเดทัส ได้สำเร็จอย่างโหดร้ายและกลับมาก็ได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้เผด็จการต่อไปอีก 4 ปี เข้าเป็นผู้คัดค้านพี่น้องตระกูลแกรคคัสและตัดทอนสิทธิของพวกพลีเบียบส์ ต่อมาผู้นำโรมัน ได้ตั้งเป็นพันธมิตรเป็นผู้มีอำนาจสามคน 2 ครั้ง ดังนี้ไตรพันธมิตรครั้งแรก และไตรพันธมิตรครั้งที่สอง1. ไตรพันธมิตร ครั้งแรก เป็นสัญญาพันธมิตรระหว่างผู้มีอำนาจ 3 คน คือ กายอัส จูเลียส ซีซาร์ เป็นกงสุล เกรคัส ปอมเปอัส เมกนัส หรือปอมปี รบชนะแถบเอเชียไมเนอร์ ต่อมา ได้แต่งงานกับธิดาของซีซาร์ มาคัส ลิซิเนียส แครนซัส เป็นผู้จัดหาเงินทั้งสามคนได้ปกครองร่วมกันและเมื่อแครสซัสตายในการรบในเมโสโปเตเมียปี 53 ก่อนคริสต์ศักราช ก่อนซีซาร์และปอมปีจังเกิดแตกกันในปีรุ่งขึ้น ปอมปีสามารถรบชนะซีเรียและปาเลสไตน์ ส่วนซีซาร์ได้ต่อต้านพวกกอล ทำให้โรมันได้ตะวันตกของยุโรป (ปัจจุบัน คือ เบลเยี่ยม เยอรมนีฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไรน์และฝรั่งเศส) ปี 52 ก่อนคริสต์ศักราช หลังจากที่กรุงโรมมีความสงบ วุฒิสภาเข้ากับปอมปี จึงตั้งเขาเป็นกงสุลเพียงผู้เดียว ส่วนซีซาร์ถูกประณามว่าเป็นศัตรูของรัฐ ปอมปีต้องการกำจัดซีซาร์จากอำนาจทางการเมือง จึงทำให้เกิดสงครามระหว่างสองครขึ้น ปี 48 ก่อนคริสต์ศักราชของกำลังซีซาร์และปอมปีได้พบกับที่เมืองฟาร์เซลัส ในกรีซ ปอมปีแพ้ ต่อมาถูกตัวแทนของกษัตริย์อียิปต์ฆ่าตายในปี 44 ก่อนคริสต์ศักราชจูเลียส ซีซาร์และผลงาน ซีซาร์ได้ปราบปรามความวุ่นวายในอียิปต์และช่วยให้พระนางคลีโอพัตรา ได้ปกครองอียิปต์กับพระนางคลีโอพัตรา เมื่อซีซาร์จากพระนางคลีโอพัตรากำลังทรง ครรภ์อยู่ แล้วเข้าก็ยกทัพไปรบที่เอเชียไมเนอร์ โดยได้รับชัยชนะอย่างรวดเร็วจนเขากล่าวประโยคสำคัญว่า “ข้าพเจ้าได้มา ข้าพเจ้าได้เห็น ข้าพเจ้าชนะ” หลังจากเขาได้กลับมาถึงกรุงโรม ก็ได้อำนาจตามที่เขาต้องการ ปี 46 ก่อนคริสต์ศักราช จูเลียส ซีซาร์ ก็ได้เป็นผู้เผด็จการ 10 ปี และอีก 2 ปีต่อมาก็ได้ตำแหน่งนี้ตลอดชีพ ในที่สุด จูเลียส ซีซาร์มีอำนาจทุกด้าน เป็นทั้งกงสุล ทรีบูน เผด็จการ หัวหน้าทางศาสนา อย่างไรก็ดี เขาถูกฆ่าตายในวันที่ 15 มีนาคม ปี 44 ก่อนคริสต์ศักราช โดยกลุ่มผู้ก่อกบฏภายใต้การนำของบลูทัส และแคสซิอัส ซึ่งหลังจากให้กรุงโรมกลับไปสู่การปกครองแบบสาธารณรัฐอีก ผลงานที่สำคัญของ จูเลียส ซีซาร์ 1. เขาได้ปรับปรุงปฏิทินปีหนึ่งมี 365 วันและมีพิเศษอีก 1 วัน เติมลงในเดือนกุมภาพันธ์ทุก 4 ปี ปฏิทินจูเลียน ถูกปรับปรุงต่อมาโดยสัตฃนตะปาปาเกรกอรีที่ 13 ปี ค.ศ. 1582 ซึ่งยังใช้อยู่ในปัจจุบันและในเดือนที่ 7 ของปี จะเรียกตามชื่อของ Julius คือ จูลาย (July) 2. มอบความเป็นพลเมืองแก่ชาวสเปนและกอล 3. ขจัดความแตกต่างระหว่างชาวอิตาเลียนและคนตามมณฑลต่างๆ 4. ขจัดความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจ โดยจัดที่ดินที่ไม่ได้ใช้แก่ทหารผ่านศึกของเขาและคนในเมืองที่ยากจน 5. ได้ขยายอาณาเขตไปทางตะวันตกและดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือของยุโรป ทำให้โรมันมีความร่ำรวยจากการทำการเกษตรกรรมและขยายวัฒนธรรมโรมันไปสู่ดินแดนเหล่านี้ด้วย 6. ทำนุบำรุงบ้านเมืองจัดการระบายน้ำ ทำถนน ฯลฯ 7. เขียนหนังสือเกี่ยวกับสงครามในแคว้นกอล นับเป็นผลงานที่ดีในด้านประวัติศาสตร์ ภายหลังการตายของจูเลียส ซีซาร์ กรุงโรมเกิดความวุ่นวาย จูเลียส ซีซาร์ ได้ทำพินัยกรรมยกตำแหน่งให้แก่หลานชาย ชื่อ ออคเทเวียน บุตรบุญธรรมของ จูเลียส ซีซาร์ ขณะนั้นมีมาร์ค แอนโทนี ร่วนกันปกครองโรมให้เป็นระเบียบ ไตรพันธมิตรครั้งที่สอง เป็นสัญญาพันธมิตรระหว่างสามคน คือ ออคเทเวียน ปกครองอิตาลีและดินแดนตะวันตก มาร์ค แอนโทนี ปกครองตะวันออก และเลพิดัส ปกครองแอฟริกา ต่อมาเลพิดัสยอมสวามิภักดิ์ต่อออคเทเวียน ประมาณ 36 ก่อนคริสต์ศักราช เกิดการแย่งอำนาจกันระหว่างแอนโทนีและออคเทเวียน แอนโทนีได้แต่งงานกับออคเทเวีย พี่สาวของออคเทเวียน แต่อย่ากัน และไปสนใจพระนางคลีโอพัตรา เมื่อเกิดการสู้รบครั้งสำคัญขึ้น ระหว่างออคเทเวียนและอาโทนีทางเรือที่เมืองแอคทิอัม แถมคาบสมุทรกรีซ ปี 31 ก่อนคริสต์ศักราช แอนโทนีแพ้จึงทำอัตวินิบาตกรรมพร้อมพระนางคลีพัตรา จากนั้นมาออคเทเวียนก็ครองอำนาจมาแต่เพียงผู้เดียว สมัยจักรวรรดิโรมันออคเทเวียนได้เป็นจักรพรรดิองค์แรกของจักรวรรดิโรมัน คือเป็นพรินซิเพต แปลว่า พลเมืองคนที่หนึ่ง ต่อมามีคนเรียกว่า ออกัสทัส พระองค์ได้ปกครองจักรวรรดิโรมัน ซึ่งประกอบด้วยคาบสมุทรอิตาลีและมณฑลต่างๆเป็นเวลา 44 ปี ตอนต้นพระองค์ทรงปกครองโดยใช้กำลังทหารและความยินยิมของประชาชน แต่ในปลายสมัยสาธารณรัฐ แต่หลังปี 27 ก่อนคริสต์ศักราช พระองค์ปกครองในฐานะเป็นจักรพรรดิของโรมัน ผลงานของพระองค์ในฐานะรัฐบุรุษไม่แพ้จูเลียส ซีซาร์ออคเทเวียนและผลงานที่สำคัญ (ออคัสตัส) มีดังนี้ คือ1. สร้างเหรียญกษาปณ์ใหม่มาใช้ทั่วจักรวรรดิโรมัน2. จัดบริการสาธารณูปโภคภายในกรุงโรม รวมทั้งตำรวจและหน่วยดับเพลิง3. ให้ปกครองตนเองในเมืองและมณฑลต่าง ๆ4. ยกเลิกระบบการเก็บภาษีแบบเก่าเป็นการเก็บเงินแทนเปอร์เซ็นต์ผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งเป็นการคดโกงง่าย พระองค์ได้ทรงแต่งตั้งตัวแทนไปเก็บภาษี โดยจ่ายเป็นเงินเดือนไห้แกตัวแทนเหล่านี้ พระองค์ทรงควบคุมอย่างใกล้ชิด5. พระองค์ได้เริ่มขยายดินแดนใหม่เป็นการหาอาณานิคมตามมณฑลต่างๆ เพื่อกระจายพลเมืองออกไปสู่ดินแดนที่ไม่มีพลเมืองหนาแน่น เป็นการแก้ปัญกาทางเศรษฐกิจและการเมือง ทำให้อาณาจักรสงบสุข “สันติสุขโรมัน” กรุงโรม แม้เกือบจะไม่มีจักรพรรดิที่มีความสามารถสูงใน 1 ศตวรรษแรก ยกเว้น จักพรรดิคลอดิอัส ผู้สืบต่อมาทำให้กรุงโรมเสียชื่อเสียงมาก คือ คาลิกูลาและเนโร เป็นจักร วรรดิโหดร้ายใช้จ่ายเงินทองอย่างฟุ่มเฟือย กรุงโรมอยู่ในสภาพวุ่นวายเต็มไปด้วยการต่อสู้กัน จักรพรรดิ เฟลวิอัส ซาบินัสเวสปาเชียนัส ได้มีการสร้างสนามกีฬาใหญ่ในกรุงโรม เรียกชื่อว่า คอลอสเซียม หรือ เฟลเวียน แอมฟิเธียเตอร์ ไททัส ภูเขาไฟวิซูเวียส ระเบิดในปี ค.ศ. 79 ถล่ม และทับถมเมืองปอมเปอีและเมืองเฮอคูเลเนียมทาวตอนใต้ของคาบสมุทรอิตาลี ต่อมาเริ่มในปี ค.ศ. 96-180 เป็นยุคที่มีจักรวรรดิผู้ทรงความดี 5 พระองค์ “The Five good emperors” และทำให้โรมันเข้มแข็งและเจริญรุ่งเรืองสงบสุข มีดังนี้ คือ 1. เนอร์วา ทรงเริ่มใช่วิธีการคัดเลือกผู้ที่ฉลาดและจงรักภักดี เข้ามาเป็นบุตรบุญธรรม และเป็นรัชทายาท วิธนี้ใช้ปฏิบัติต่อมาจนสิ้นสมัยสันติสุขโรมัน 2. ทราจัน ทรงมีเชื้อสายสเปน ไม่ใช่โรมันกำเนิด แต่มีความสามารถในการ ปกครองทหาร ขยายดินแดนกว้างขวางมาก อาณาจักรที่พระองค์ตีได้ คือ เดเชีย อาร์มีเนีย แอสสิเรีย บาบิโลเนีย อารเบีย บริเวณคาบสมุทรไซไน อาณาจักรโรมัน กว้างขวางที่สุดในสมัยจักรวรรดิทราจัน 3. เฮเดรียน ไม่ทรงโปรดการทำสงคราม ทรงทำนุบำรุงการทหาร ยึดสุภาษิตว่า “หากต้องการสันติภาพ ก็จงแสดงว่าต้องการทำสงคราม” ทรงต่อเรือรบ สร้างป้อม กำแพงเมือง โรงพยาบาล รวบรวมกฎหมายและทรงปราบกบฏแถบยูเดีย และอียิปต์ 4. แอนโทนินัส ไพอัส ปรับปรุงเรื่องสิทธิของประชาชน ทำนุบำรุงศิลปวิทยาและการกงสุล5. มาร์คัส ออเรอัส ทรงเป็นนักปราชญ์ สโตอิค ทรงพยายามป้องกันภัยจากอนารยชนแถบลุ่มแม่น้ำไรน์และดานูบ เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ โอรสของจักรพรรดิมาคัส ออเรอัส คือ คอมโมดัส ขึ้นครองราชย์เป็นการยกเลิกระบบเลือกทายาท จักรพรรดิคอมโมดัส สนพระทัยการแข่งรถ ฟันดาบ ต่อมาเกิดความยุ่งยากและถูกลอบปลงพระชนม์ จักรวรรดิทั้ง 5 พระองค์ทรงปกครองอาณาจักเข้ากับวุฒิสภาเป็นอย่างดี เป็นนักบริหารที่มีความสามารถ จักรวรรดิโรมันเจริญสูงสุดในการขยายอาณาจักหลังศตวรรษที่ 3 เป็นต้นมา กำลังการขยายอาราจักเริ่มลดลง สันติสุขโรมันในช่วงประมาณ 2 ศตวรรษนี้ จากสมัยจักรพรรดิออกัสทัสถึงจักรพรรดิมาร์คัส ออเรลีอัส เป็นยุคที่โรมันประสบความสำเร็จมาก ดังนักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ ชื่อ เอดวาร์ด กิบบอน กล่าวว่า “จักวรรดิโรมัน ได้รวมส่วนที่สวยงามที่สุดของโลก และส่วนที่มีอารยธรรมมากที่สุดของมนุษย์ชาติ” คำว่า “สันติสุขโรมัน” เป็นคำที่มีชื่อเสียงมาก ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนถูกควบคุมโดยโรมันเพียงอำนาจเดียว และไม่มีการรบทางเรือหลายศัตวรรษ ส่วนบนบกเจ้าหน้าที่โรมันปกครองโดยตลอดตั้งแต่ชายแดนของสกอตแลนด์ไปถึงเปอร์เชีย แต่หลังปี ค.ศ. 180 จักรพรรดิโรมันอ่อนแอ มีการแย่งอำนาจกัน และฆ่าฟันกันตลอด จึงเป็นการสิ้นสุดยุคสันติสุขโรมัน การปกครองสมัยจักรวรรดิ ใช้วิธีที่เหมาะสมกับแต่ละท้องถิ่น คือ คาบสมุทรกรีก ปกครองแบบนครรัฐ ด้วยตนเอง แถบอียิปต์ ปกครองตนเอง สเปนและดินแดนตะวันตก โรมเข้าไปควบคุมใกล้ชิด ปกครองทั้งแบบโยงอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง และการกระจายอำนาจ โดยมีสิ่งที่ผูกพันให้อยู่ในอาณาจักรเดียวกัน 8 คือ 1. ใช้เงินตราเดียวกัน 2. ใช้ภาษาเดียวกัน คือ ภาษากรีกหรือลาติน 3. นับถือจักรพรรดิร่วมกัน 4. เป็นพลเมืองโรมันแต่แบ่งเป็น 2 ชนชั้น คือ 4.1 พลเมืองโรมันโดยสมบูรณ์ 4.2 พลเมืองที่ไม่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง หรือดำรงตำแหน่งราชการ 5. อยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน