ไทม์ยก "ตรวจดีเอ็นเอจากน้ำลาย" สุดยอดนวัตกรรมแห่งปี 2008 พร้อมอีก 49 ผลงานเด่น
ไทม์ยก "ตรวจดีเอ็นเอจากน้ำลาย" สุดยอดนวัตกรรมแห่งปี 2008 พร้อมอีก 49 ผลงานเด่น
นิตยสารไทม์จัดอันดับสิ่งประดิษฐ์แห่งปี 2008 ยกให้ "บริการตรวจดีเอ็นเอจากน้ำลาย" ที่สั่งซื้อได้ทางไปรษณีย์และอินเทอร์เน็ตเป็นสุดยอดสิ่งประดิษฐ์ประจำปีนี้ ตามติดมาด้วยรถสปอร์ตไฟฟ้า "เทสลาโรดสเตอร์", ยานสำรวจดวงจันทร์ของนาซา "ลูนา เรคอนเนสซองซ์ ออบิเตอร์" เว็บ Hulu.com ก็ได้ เครื่องเร่งอนุภาคขนาดยักษ์ LHC ของเซิร์นก็ด้วย
ภาพยนตร์เรื่อง "กัตตากา ฝ่ากฏโลกพันธุกรรม" (Gattaca) ที่เคยฉายเมื่อปี 2540 ได้เผยให้เห็นถึงฝันร้ายของมนุษย์แห่งโลกอนาคต ที่ถูกกำหนดชะตาชีวิตไว้แต่แรกเกิดด้วยข้อมูลทางพันธุกรรมของตัวเองที่ในยุคสมัยนั้นไม่ได้ถูกเก็บเป็นความลับอีกต่อไป และกรณีนี้ก็กำลังเป็นกลายเป็นเรื่องที่น่าวิตกกังวลกันอยู่ในปัจจุบันว่าอาจเกิดขึ้นจริงในอนาคตอันใกล้ เพราะขณะนี้เทคโนโลยีตรวจรหัสดีเอ็นเอของมนุษย์ก้าวหน้าขึ้นมากจนสามารถสร้างแผนที่จีโนมของแต่คนได้แล้ว
ทว่าเทคโนโลยีการตรวจรหัสดีเอ็นเอส่วนบุคคล (The Retail DNA Test) ของบริษัท ทเวนตีทรีแอนด์มี (23andMe) ก็ยังได้รับการเลือกให้เป็นสิ่งประดิษฐ์แห่งปี (Invention of the Year) ในการจัดอันดับสุดยอดสิ่งประดิษฐ์แห่งปี 2008 ของนิตยสารไทม์ (TIME's Best Inventions of 2008)
23andMe เป็นธุรกิจที่ร่วมกันก่อตั้งขึ้นโดยแอนน์ โวจิสคี (Anne Wojcicki : Wo-jis-key) และลินดา เอวี (Linda Avey) เพื่อดำเนินการตรวจรหัสดีเอ็นเอส่วนบุคคลของลูกค้าที่เข้ารับบริการ ผ่านการตรวจวิเคราะห์จากตัวอย่างน้ำลายของลูกค้าเพียงเล็กน้อย ก็จะได้ข้อมูลที่บ่งบอกสถานะทางพันธุกรรมของตนเองมากกว่า 90% รวมทั้งรู้ว่าเรามีความเสี่ยงต่อโรคบางโรคที่เป็นผลมาจากพันธุกรรมได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งถูกเก็บไว้ในรูปแบบดิจิทัล (the digital manifestation of you) ที่เจ้าของข้อมูลต้องมีรหัสผ่านเข้าไปดูได้ในฐานข้อมูล
ใครที่อยากใช้บริการนี้ก็สามารถสั่งซื้อชุดเก็บตัวอย่างน้ำลายจาก 23andMe ได้ในราคา 399 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 14,000 บาท) ทั้งทางออนไลน์และไปรษณีย์ แล้วส่งตัวอย่างกลับไปตรวจในห้องแล็บ เพียงเท่านี้ก็สามารถรู้ข้อมูลพันธุกรรมของตัวเองได้ไม่ยาก ธุรกิจนี้ของ 23andMe จึงนับว่าเข้าถึงประชาชนได้ง่ายและค่าใช้จ่ายไม่แพงมากจนเกินไป
อย่างไรก็ดี ขณะนี้เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคของจีโนมส่วนบุคคล ที่จะปฏิวัติวงการแพทย์ การรักษาพยาบาล และการดูแลสุขภาพที่อยู่บนพื้นฐานของข้อมูลพันธุกรรมของแต่ละคน ที่จะกลายเป็นข้อมูลส่วนตัวของคนคนนั้นด้วย
ในอดีตมีเพียงนักวิจัยระดับหัวกะทิหรืออภิมหาเศรษฐีกระเป๋าตุงเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ได้รับรู้ข้อมูลพันธุกรรมของตัวเอง แต่ตอนนี้ 23andMe ก็ทำให้ประชาชนคนธรรมดาทั่วไปเข้าถึงข้อมูลดีเอ็นเอของตนได้ไม่ยากในราคาที่เขาสามารถจ่ายได้สบาย จึงได้รับเลือกจากไทม์ให้ครองตำแหน่งสุดยอดสิ่งประดิษฐ์แห่งปี 2008 จนได้ในที่สุด
ทว่า 23andMe ก็ได้จุดชนวนให้เกิดการโต้แย้งกันในเรื่องความสำคัญของผลที่ได้มา จนถึงการป้องกันไม่ให้นำข้อมูลพันธุกรรมส่วนบุคคลมาใช้ในการเลือกปฏิบัติในทางสังคม กระทั่งเมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้ออกกฏหมายให้การใช้ข้อมูลพันธุกรรมส่วนบุคคลมาเป็นข้อกำหนดในการเลือกปฏิบัติของนายจ้างต่อลูกจ้าง และบริษัทประกันภัยต่อลูกค้า ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฏหมาย จึงทำให้สังคมคลายความกังวลต่อเรื่องนี้ได้บ้าง
ขณะที่ในมลรัฐแคลิฟอร์เนียและนิวยอร์กเคยพยายามห้ามการตรวจรหัสพันธุกรรมในธุรกิจดังกล่าวด้วยเหตุผลที่ว่ายังไม่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง แต่จนถึงปัจจุบันก็ล้มเหลว ส่วนทางด้านนักวิชาการบางส่วนก็ยังเห็นว่าการตรวจดีเอ็นเอในรูปแบบดังกล่าวยังมีข้อบกพร่องอยู่ไม่น้อย เพราะหลายโรคเกิดจากความผิดปรกติของหลายๆ ยีนรวมกัน และยังถูกกระตุ้นได้จากปัจจัยภายนอก จึงไม่ใช่เรื่องถูกต้องที่จะทำให้ประชาชนต้องเสียเงินเพียงเพื่อเข้าถึงข้อมูลดีเอ็นเอของตัวเองแค่เบื้องต้นและยังขาดความสมบูรณ์ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดหรือวิตกกังวลมากกว่าที่ควร
นอกจากนี้ไทม์ยังยกอีก 49 นวัตกรรมเป็นนวัตกรรมดีที่สุดแห่ง 2551 ซึ่งผู้จัดการวิทยาศาสตร์ขอคัดเลือกผลงานน่าสนใจมานำเสนอ
- เครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี (The Large Hadron Collider: LHC)
เครื่องเร่งอนุภาคที่ใหญ่ที่สุดในโลก ของเซิร์น (CERN) หรือองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศในทวีปยุโรปเพื่อวิจัยและพัฒนาทางด้านนิวเคลียร์ (European Center for Nuclear Research) ซึ่งจะส่งโปรตอนให้วิ่งวนเป็นวงกลมสวนทางกันที่ความเร็วเข้าใกล้ความเร็วแสง จากนั้นชนกันวินาทีละ 6,000 ครั้ง เพื่อค้นคำตอบพื้นฐาน อย่างเช่น "มวลมีอยู่ได้อย่างไร?" หรือ "เอกภพมีมิติพิเศษหรือไม่?" เป็นต้น
แม้ว่าจะเครื่องเร่งอนุภาคนี้ได้เริ่มทดลองเดินเครื่องยิงลำแสงแรกไปเมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา และเดินเครื่องหลังจากนั้นได้เพียง 10 ก็ต้องหยุดเดินเครื่องไปอย่างน้อยจนกว่าจะถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า แต่จะเป็นไรไปหากต้องใช้เวลาอีกสักหน่อยก่อนที่จะค้นหาความจริงกันต่อ
- ผ้าคลุมล่องหน (The Invisibility Cloak)
นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในเบิร์กเลย์ (UC Berkeley) ได้ก้าวไปอีกก้าวใหญ่ๆ ที่จะทำให้การซ่อนตัวของ แฮร์รี พอตเตอร์ (Harry Potter') เป็นจริง โดยพวกเขาได้พัฒนาวัสดุชนิดใหม่ 2 ชนิด ชั้นหนึ่งเป็นชั้นของโลหะที่ถักทอเป็นร่างแห และอีกชั้นเป็นสายโลหะของเงินขนาดเล็ก ซึ่งไม่สะท้อนหรือดูดกลืนแสง ส่งผลให้แสงเลี้ยวเบนไปข้างหลัง ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับการหักเหแสงของน้ำในแก้ว
- รถสปอร์ตไฟฟ้า "เทสลาโรดสเตอร์" (The Tesla Roadster)
โดยทั่วไปรถไฟฟ้ามักจะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เงียบและสะอาด แต่ปราศจาก "ความเซ็กซี่" ข้อเท็จจริงที่ว่าใช้ไม่ได้กับ "เทสลาโรดสเตอร์" (The Tesla Roadster) รถไฟฟ้าเปิดประทุนที่สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการเทคโนโลยีสะอาด นับแต่มีการป่าวประกาศถึงรถยนต์สะอาดนี้เมื่อปี 2546
รถสปอร์ตสุดเซ็กซี่นี้วิ่งด้วยพลังงานแบตเตอรีด้วยความเร็ว 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สนนราคาอยู่ที่ประมาณ 3.5 ล้านบาท ซึ่งคนเด่นคนดังอย่าง จอร์จ คลูนีย์ (George Clooney) ได้เข้าร่วมอยู่ในรายชื่อผู้จองอันยาวเหยียดกับเขาด้วย และรถไฟฟ้าสปอร์ตคันแรกได้ส่งถึงลูกค้าในปี 2551 นี้
- ซีเมนต์กินควันพิษ (Smog-Eating Cement)
ด้วยส่วนผสมของตัวเร่งปฏิกิริยาด้วยแสงอย่างไททาเนียมไดออกไซด์ ซึ่งเร่งกระบวนการในธรรมชาติเพื่อแตกตัวสารพิษให้กลายเป็นองค์ประกอบเล็กๆ ซึ่งซีเมนต์นี้พัฒนาขึ้นที่เมืองซีเกรทใกล้กับเมืองมิลานของอิตาลี โดยซีเมนต์ที่ดูดซับควันพิษนี้มีชื่อเรียกว่า "ทีเอกซ์ แอคทีฟ" (TX Active) โดยบริษัทอิตัลซีเมนติ (Italcementi) ใช้เวลา 10 ปีในการพัฒนา
ตอนนี้มีถนนที่การจราจรคับคั่งในเมืองซีเกรทที่ปูพื้นด้วย "ซีเมนต์กินควันพิษ" นี้ และทางบริษัทอิตัลซีเมนติอ้างว่า บริเวณซึ่งปูซีเมนต์ที่บริษัทพัฒนาขึ้นนั้นช่วยลดปริมาณไนทริคออกไซด์ได้มากถึง 60% และนอกจากนี้ตึกที่ใช้ซีเมนต์กินควันพิษก็ยังสะอาดด้วยเช่นกัน
- ปีศาจกินเวลา (The Time Eater Clock)
ติดหนึ่งในสุดยอดนวัตกรรมแห่งปีของไทม์ด้วย สำหรับ "นาฬิกาคอร์ปัส" (Corpus Clock) นาฬิกาไร้เข็ม-ไร้ตัวเลข ซึ่งได้รับการขนานนามว่า "ปีศาจกินเวลา" ประดิษฐ์ขึ้นโดย จอห์น เทย์เลอร์ (John Taylor) นักนวัตกรรมชาวอังกฤษ และได้รับเกียรติจากนักฟิสิกส์แห่งยุค สตีเฟน ฮอว์กิง (Stephen Hawking) ติดริบบิ้นเปิดตัว นาฬิกาเรือนนี้ได้รับการประดิษฐ์ขึ้นเพื่ออธิบายถึง "เวลาไม่อาจย้อนกลับ" ได้ ซึ่งแสดงออกโดย "การกิน" ทุกวินาทีที่ผ่านไป โดยปีศาจที่คล้ายตั๊กแตน
- ตู้เย็นของไอน์สไตน์ (Einstein's Fridge)
ผลงานของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) นักฟิสิกส์หัวฟู ทั้งเรื่องทฤษฎีสัมพัทธภาพ ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก (photoelectric effect) ล้วนเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป แต่ทฤษฎีเกี่ยวกับตู้เย็นของเขากลับถูกละเลย ดังนั้นทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด (Oxford University) สหราชอาณาจักรจึงได้รื้อฟื้นตู้เย็นที่ออกแบบโดยไอน์สไตน์และเพื่อนร่วมงานตั้งแต่ปี 2473
แทนที่จะหล่อเย็นภายในตู้เย็นด้วยฟรีออน (freon) ซึ่งเป็นอีกตัวการของภาวะโลกร้อน ไอน์ไสตน์ได้ออกแบบตู้เย็นที่ใช้แอมโมเนีย บิวเทนและน้ำ และตู้เย็นนี้ยังใช้พลังงานเพียงน้อยนิดอีกด้วย แม้ว่าตูเย็นที่ไอน์ไสตน์ออกแบบไว้นั้นจะมีคุณสมบัติไม่ครอบคลุมเท่าที่ทีมนักวิทยาศาสตร์ออกซ์ฟอร์ดพัฒนาขึ้นมา แต่ทีมวิจัยก็หยิบเอาแนวคิดบางส่วนของไอน์สไตน์ขึ้นมาพัฒนา และเชื่อด้วยว่าตู้เย็นนี้จะแข่งขันได้ในตลาด
- แขนกลไบโอนิค (The Bionic Hand)
"ไอ-ลิมบ์" (iLimb) แขนกลไบโอนิคชิ้นแรกของโลกที่ออกสู่การค้าแล้ว หลังจากใช้เวลาพัฒนาและแรงคนจำนวนมาก และพัฒนาขึ้นโดยบริษัท "ทัชไบโอนิคส์" (Touch Bionics) ซึ่งแขนกลนี้มีการเชื่อมต่อที่มากมาย แต่ละนิ้วมือของแขนกลมีมอเตอร์ขับเคลื่อนเฉพาะ ทั้งนี้ปกติแขนเทียมมักดูคล้ายตะขอเกี่ยวทำให้มีข้อจำกัดในการใช้งาน แต่ไอ-ลิมบ์มีความสามารถที่มากกว่า อาทิ การหยิบจับบัตรเครดิตหรือถือถ้วยกาแฟได้ เป็นต้น
- "ไดนามิคทาวเวอร์" ตึกระฟ้าที่ทุกชั้นหมุนได้ (The Dynamic Tower)
ทุกๆ ชั้นของตึกระฟ้า "ไดนามิคทาวเวอร์" (The Dynamic Tower) ซึ่งสูง 80 ชั้นสามารถหมุนได้ 360 องศา ด้วยความเร็วที่แตกต่างกัน นับเป็นตึกแรกของโลกที่ทำได้ ตึกดังกล่าวออกแบบโดย เดวิด ฟิเชอร์ (David Fisher) สถาปนิกอิตาลี และก่อสร้างในดูไบ ส่วนกรุงมอสโคว์ของรัสเซียเป็นเมืองต่อไปที่จะสร้างตึกลักษณะนี้
สำหรับตึกนี้ได้รับการออกแบบให้ใช้พลังงานลม รองรับการเป็นอาคารสำนักงาน โรงแรมและที่พักอาศัย ประมาณราคาของตึกนี้อยู่ที่ 24,500 ล้านบาท โดยราคาขายห้องอยู่ที่ 130 - 1,300 ล้านบาท และการก่อสร้างจะแล้วเสร็จในปี 2553
- ตึกไร้เงา (The Shadowless Skyscraper)
เพราะชาวปารีสไม่ปรารถนาให้เมืองของพวกเขาเหมือนเมืองฮุสตันในสหรัฐฯ ฌาคส์ เฮอร์ซอก (Jacques Herzog) และ (Pierre de Meuron) สถาปนิกชาวสวิส จึงได้ออกแบบตึกรูปสามเหลี่ยม "เลอโปรเจกต์ไทรแองเกิล" (Le Project Triangle) ตึกที่ผสมผสานระหว่างสำนักงานและโรงแรมที่ไม่ทำให้เกิดเงาบนถนนที่อยู่รอบๆ ลักษณะของตึกดูคล้ายคลีบของฉลามประดิษฐ์ขึ้นจากกระจกบางและเหล็กกล้ารูปสามเหลี่ยม
- รองเท้าวิ่งไฮเทค (High-Tech Running Shoes)
ไนกี้ (Nike) และอาดิดาส (Adidas) ยังคงแข่งขันเป็นเจ้าตลาดรองเท้ากีฬามาอย่างยาวนาน สำหรับปีนี้ไนกี้ได้เปิดตัวรองเท้า "ซูมวิคทอรี" (Zoom Victory) ซึ่งมีกระดาษบางที่แนบชิดผิวหนังผู้สวมใส่เหมือนเป็นผิวหนังอีกชั้น เส้นใย "เวคทราน" (Vectran) ซึ่งใช้ถักทอเป็นร่มชูชีพสำหรับยานสำรวจดวงจันทร์ ช่วยรองรับแรงกระแทกหนักๆ ตรงส้นเท้า และรองเท้ายังมีน้ำหนักน้อยกว่า 100 กรัม นับเป็นรองเท้าที่เบาที่สุด
ขณะที่อาดิดาสก็ไม่ยอมแพ้ จับมือกับ "ปอร์เช่ดีไซน์" (Porsche Design) ออกแบบรองเท้าวิ่ง "ปอร์เช่ดีไซน์สปอร์ตบาวนซ์" (Porsche Design Sport Bounce) ที่ช่วยให้ผู้สวมใส่วิ่งราวกับรถแข่ง