• user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:66704869cc5c2bb70137eae9c2800605' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p align=\"center\">\n<span style=\"color: #ff0000\"><strong>ห้ามลบ</strong> </span><span style=\"color: #0610f8\">ขอให้เจ้าของผลงานประกวด แก้ไขข้อมูลได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2551 เวลา 23.30 น.<br />\nหากเลยกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว ท่านเข้ามาแก้ไขข้อมูล ถือว่าโมฆะในการพิจารณาได้รับรางวัล<br />\nซึ่งระบบของ Thaigoodview สามารถตรวจสอบได้ว่า ผลงานแต่ละชิ้น มีการแก้ไขเวลาใดบ้าง</span> <br />\nครูพูนศักดิ์ สักกทัตติยกุล\n</p>\n<hr id=\"null\" />\n<p align=\"center\">\n<span style=\"font-size: small\"><span style=\"font-size: large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: medium\"><span style=\"color: #ffcc99\"><span style=\"background-color: #993300\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\"><img border=\"0\" src=\"/sites/all/modules/tinymce/tinymce/jscripts/tiny_mce/plugins/emotions/images/smiley-foot-in-mouth.gif\" alt=\"Foot in mouth\" title=\"Foot in mouth\" />สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา (</span><st1:place><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\">Bermuda</span></st1:place><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"> Triangle)<img border=\"0\" src=\"/sites/all/modules/tinymce/tinymce/jscripts/tiny_mce/plugins/emotions/images/smiley-smile.gif\" alt=\"Smile\" title=\"Smile\" /></span></span></span></span></span></span> </span>\n</p>\n<p><span style=\"font-size: large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><span style=\"font-size: large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: small\"><span> </span><span style=\"font-size: small\"><span lang=\"TH\">เป็นบริเวณสมมติในมหาสมุทรแอตแลนติก มีเนื้อที่ประมาณ </span>1.2<span lang=\"TH\"> ตร.กม. อยู่ระหว่างจุด </span>3<span lang=\"TH\"> จุดที่ไม่เป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า ได้แก่ เปอร์โตริโก ปลายสุดของมลรัฐฟลอริดาในสหรัฐอเมริกา และเกาะเบอร์มิวดาซึ่งเป็นดินแดนในปกครองของสหราชอาณาจักร สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นที่รู้จักทางสื่อมวลชนอย่างแพร่หลาย หลังจากที่ค้นพบว่าคุณสมบัติทางฟิสิกส์ต่างๆ ไม่เป็นไปตามกฎพื้นฐาน</span><o:p></o:p></span></span></span></span></span><span style=\"font-size: small\"><span style=\"font-size: small\"><span style=\"font-size: large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เริ่มเป็นที่รู้จักในปี พ.ศ. </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\">2494 (<span lang=\"TH\">ค.ศ. </span>1951) <span lang=\"TH\">หลังจากที่มีเรือขนาดใหญ่หายสาบสูญภายในบริเวณสามเหลี่ยม รวมถึงเครื่องบินและเรือขนาดเล็กอื่นๆ จนได้รับขนานนามว่า &quot;สามเหลี่ยมปีศาจ&quot; (</span>The Devil\'s Triangle)<o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-size: large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ศัพท์คำว่า &quot;สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา&quot; หรือ &quot;</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\">Bermuda Triangle&quot; <span lang=\"TH\">นี้ มีที่มาจากบทความนิตยสารอาร์กอสซี่ เจ้าของบทความชื่อ </span>Vincent H. Gaddis <span lang=\"TH\">ได้นำเสนอเรื่องราวของเรือและเครื่องบินที่สาบสูญไปอย่างลึกลับโดยปราศจากคำอธิบายในนิตยสารดังกล่าว เมื่อปี ค.ศ. </span>1964<span lang=\"TH\"> แต่ แกดดิส ไม่ได้เป็นคนแรกที่สังเกตเรื่องนี้ ก่อนหน้าในปี ค.ศ. </span>1952<span lang=\"TH\"> นาย </span>George X. Sands <span lang=\"TH\">เสนอเรื่องทำนองนี้เช่นกันในนิตยสาร </span>Fate <span lang=\"TH\">เนื้อหากล่าวถึงปริมาณของเรือและเครื่องบินที่สาบสูญไปอย่างผิดปกติในบริเวณน่านน้ำดังกล่าว ซึ่งยอดสูญหายนี้มันมากเกินไปกว่าที่จะสันนิษฐานว่าเป็นอุบัติเหตุ</span><o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-size: large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ต่อมาถัดมาในปี ค.ศ. </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\">1969<span lang=\"TH\"> นายวอลเลซ สเปนเซอร์ ได้เขียนหนังสือว่าด้วยสามเหลี่ยมปริศนานี้โดยเฉพาะออกจำหน่ายในชื่อว่า &quot;</span>Limbo of the Lost&quot; <span lang=\"TH\">ถัดจากนั้นก็มีหนังสือออกจำหน่ายตามมาอีกมากมายเกี่ยวกับความลึกลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ซึ่งก็มียอดจำหน่ายดีแทบทุกเล่ม ที่มีชื่อเสียงเป็นพิเศษคือบทความที่มีชื่อว่า &quot;</span>The Devil\'s Triangle&quot; <span lang=\"TH\">ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. </span>1974<span lang=\"TH\"> ซึ่งเนื้อหาสำหรับเป็นที่ชื่นชอบความลึกลับเกี่ยวกับสามเหลี่ยเบอร์มิวดาเป็นอันมาก เป็นที่น่าสังเกตคือ หนังสือแทบทุกเล่มมุ่งประเด็นไปยังมุมมองที่ว่า เบื้องหลังของการสูญหายนี้ มาจากเทคโนโลยีของสิ่งทรงภูมิปัญญามากกว่าประเด็นอื่น เช่นมาจากมนุษย์ต่างดาว หรือมนุษย์ที่อาศัยอยู่ใต้มหาสมุทรบริเวณนั้น ต่างก็หาหลักฐานและทฤษฎีมาถกเถียงกันและบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดามีอาณาบริเวณที่กว้างมากจาก ฟลอริด้า-เปอร์โต ริโก-เกาะเบอร์มิวดา กินพื้นที่ประมาณ ห้าแสนตารางไมล์ เพราะฉะนั้นการจะค้นหาอะไรๆจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็มีองค์กรของรัฐ เอกชน ต่างให้ความสนใจในการสำรวจ โดยหวังว่าจะเจอหลักฐานอะไรก็ตามที่นำมาใช้ไขปริศนาของดินแดนบริเวณนี้ได้ . และมีนักบินขี่เครื่องบินสามลำแล้วหายไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา</span><o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-size: large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">มีนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ นักสมุทรวิทยา และอีกหลายอาชีพ ให้ความเห็นและทฤษฎีเกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา มาดังนี้</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-size: large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ทฤษฎีที่ว่า อาจจะเป็นไปได้ที่บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้น ตั้งอยู่ในจุดสมดุลของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า กับพลังของสนามแห่งแรงโน้มถ่วงพอดี ซึ่งทำให้เกิดช่องว่างของอีกมิติหนึ่งในห้วงเวลาอวกาศ และเมื่อเรือหรือเครื่องบินแล่นเข้าสู่ช่องว่างแห่งนี้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางมิติหายลับไปทันที แต่เนื่องจากว่าวิทยาการทางเทคนิคของเราในปัจจุบันนี้ยังไม่มีความรู้พอที่จะแก้ไขสถานการณ์อันนี้ได้ การหายสาบสูญของพวกเรา ก็เป็นไปในทำนอง เดินทางเดียว เท่านั้น คือเมื่อมิติถูกเปลี่ยนไปแล้ว ก็ไม่อาจจะทำให้กลับคืนสู่มิติเดิมได้ ส่วนสิ่งมีชีวิตปัญญาสูงจากนอกโลกที่มาจากจานบิน คงจะทราบและเข้าใจในกฎเกณฑ์อันนี้เป็นอย่างดีจึงได้ใช้ช่องว่างที่เกิดจากสมดุลอันนี้ เป็น ประตู ทางเข้าออกในการเปลี่ยนแปลงทางมิติเพื่อเข้าสู่โลก ด้วยเหตุจึงมีผู้พบเห็นจานบินบ่อยๆ (สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นสถานที่ซึ่งมีผู้พบเห็นจานบินบ่อยที่สุดและมากที่สุดในโลก) และมันจะหายตัวไปแบบฉับพลัน ซึ่งตอนนั้นเองที่จานบินเปิดประตูมิติ เรือหรือเครื่องบินผ่านมาบริเวณนั้นพอดี ก็เลยแล่นเข้าสู่ประตูมิติ </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-size: large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ทฤษฎีที่ว่า บริเวณใต้สามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้นเป็นจุดที่ อาณาจักรแอตแลนติสจมลง ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าชาวแอตแลนติสมีความเจริญรุ่งเรืองมาก ต้องมีพลังงานอะไรบางอย่างที่ชาวแอตแลนติสสร้างเอาไว้ ทำให้เรือและเครื่องบินบริเวณนั้นหายสาบสูญแบบไร้ร่องรอย </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-size: large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ทฤษฎีที่ว่า บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เป็นเหมือนสถานีที่สิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญากว่ามาสร้างเอาไว้ เพราะหลายต่อหลายครั้งที่มีผู้คนพบเห็นแสงไฟจากใต้น้ำบ้าง จานบินใต้น้ำบ้างและก็มีผู้พบเห็นจานบินโผล่ขึ้นมาจากน้ำ ดำดิ่งลงไปในน้ำ ความเร็ว </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\">150<span lang=\"TH\"> นอตต่อชั่วโมงเท่ากับเฮลิคอปเตอร์ และในปัจจุบันก็ยังไม่มีเรือดำน้ำให้ทำความเร็วได้ขนาดนั้น บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นจุดที่พบเห็นจานบินบ่อยและมากที่สุดในโลก เพราะบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นจุดบอดของสนามแม่เหล็กจึงสามารถทำให้สามารถนำยานลงจอดซึ่งมีไม่กี่แห่งบนโลก </span><o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-size: large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ทฤษฎีที่ว่า มีสิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญาอยู่ใต้ท้องมหาสมุทร ตามหลักของชีววิทยา สิ่งมีชีวิตจะเริ่มต้นมาจากทะเลก่อน และเนื่องมากจากท้องทะเลมีอาณาเขตมากกว่าพื้นดินถึงสองเท่า มนุษย์ใต้มหาสมุทรเหล่านี้จึงมีเนื้อที่สำหรับ การแพร่ขยายพันธุ์มากกว่าเรา และจากเหตุที่พวกนี้ได้เกิดขึ้นก่อนมนุษย์เรา ดังนั้น การพัฒนาทางเทคนิคของพวก เขาก็คงล้ำหน้าไปกว่าเรามากทีเดียว เท่าที่ผ่านมาเป็นเวลานาน มนุษย์ใต้สมุทรเหล่านี้จะไม่ติดต่อเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเรา ถือว่าต่างคนต่างอยู่ แต่จากความก้าวหน้าทางเทคนิคของพวกเราในปัจจุบัน อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อสภาพแวดล้อมของพวกเขาได้ พวกนี้จึงเปลี่ยน นโยบายที่ว่าต่างคนต่างอยู่ ออกมาสังเกตความเป็นไปของชาวเรา ที่อยู่บนพื้นโลกอย่างลับๆและเงียบสงบ ซึ่งบางทีบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา อาจเป็นบริเวณที่สะดวกที่สุดที่พวกเขาจะออกมาสำรวจโลกเบื้องบน </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-size: large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ทฤษฎีที่ว่า เป็นจุดที่มีแรงดึงดูดของโลกมากที่สุด เนื่องจากแรงดึงดูดของบริเวณนี้สูงกว่าบริเวณอื่น จะทำให้เครื่องบิน หรือเรือ จมลงทะเล </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-size: large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ทฤษฎีที่ว่า เป็นบริเวณที่สนามแม่เหล็กมีความเข้มข้นสูงที่สุด ซึ่งจะทำให้เครื่องบิน หรือเรือที่ใช้เครื่องยนต์ โดนสนามแม่เหล็กทำให้เครื่องยนต์เสียหาย และจมลงในที่สุด </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-size: large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ทฤษฏีที่ว่า เป็นบริเวณของประตูเวลาที่เกิดขึ้นโดยตัวเรายังคงอยู่ที่เดิมในขณะที่กาลเวลาเปลี่ยนแปลงไป[</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\">1] <span lang=\"TH\">หรือที่เรารู้จักมักคุ้นกันในนามของ ไทม์แมชชีน นั่นเอง ซึ่งหลังจากที่ประตูเวลาปิดตัวลง เมื่อนั้นเวลาก็จะคืนกลับสู่ความเป็นปัจจุบัน เราจึงไม่สามารถหาสถานที่แห่งนั้นได้พบ </span><o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-size: large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ท้องทะเลแห่งความพรั่นพรึง</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-size: large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">เรือเดินทะเลที่หายสาบสูญไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้น ส่วนมากจะเกิดขึ้นในบริเวณที่เรียกว่า &quot;ทะเลซากัสโซ&quot; และสาเหตุที่ท้องมหาสมุทรแห่งนี้มีนามว่าทะเลซากัสโซ ก็เพราะอาณาเขตบริเวณแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วย สาหร่ายทะเลชนิดหนึ่งซึ่งมีชื่อว่าสาหร่ายซากัสซั่ม สาหร่ายชนิดนี้เป็นอุปสรรคต่อการเดินเรืออย่างยิ่ง และ เหตุการณ์ประหลาดลึกลับทางทะเลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่โบราณกาล มักจะมีต้นตอมาจาก ทะเลซากัสโซเสียเป็นส่วนมาก ชาวฟีนีเชียนโบราณซึ่งเคยใช้เรือเดินทางผ่านท้องทะเลมหาภัยแห่งนี้มา ตั้งแต่หลายพันปีก่อน ได้บันทึกปรากฏการณ์ประหลาดต่าง ๆ ไว้เป็นจำนวนมาก<span>     </span>ท้องทะลซากัสโซ่ มีอาณาเขตบริเวณกว้างใหญ่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแอ๊ตแลนติค บริเวณแห่งนี้จะเต็มไปด้วย สาหร่ายทะเลลอยฟ่องเต็มไปหมด เมื่อตอนที่โคลัมบัสแล่นเรือผ่านท้องทะเลแห่งนี้เป็นครั้งแรก กลาสีเรือต่างตื่นเต้นที่คิดว่าเรือคงแล่นเข้าใกล้ฝั่งแห่งใดแห่งหนึ่งเข้าไปแล้ว แต่แม้จะแล่นเรือต่อไปอีกนาน อาณาเขตของ สาหร่ายแห่งนี้ก็หาหมดลงไปไม่ อีกอย่างหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ประจำของทะเลซากัสโซ คือ ภูเขาทะเล ภูเขาทะเลคือภูเขาที่อยู่ใต้พื้นน้ำ แต่มีส่วนยอดแบนราบโผล่ขึ้นมาเหนือพื้นน้ำเล็กน้อย มองดูคล้ายเกาะ แต่ไม่มีพืชพันธ ์ใด ๆ นอกจากตระใคร่น้ำเกาะอยู่เท่านั้นทะเลซากัสโซไม่เพียงแต่เป็นท้องทะเลที่เต็มไปด้วยสาหร่ายยากแก่การเดินเรือ เท่านั้น แต่กิตติศัพย์ในความน่าสะพรึงกลัวของมันได้ถูกกล่าวขานกันอยู่เสมอ บ้างก็ให้เชื่อว่าเป็นทะเลแห่งความหายนะ หรือสุสานของเรือเดินสมุทรบ้างก็ว่าเป็นที่สิงสถิตของภูติผีปีศาจทะเล หรือสัตว์ร้ายดึกดำบรรพ์ เรื่องราวต่าง ๆ ที่พวกชาวเรือชอบนำมาเล่าสู่กันฟังเกี่ยวกับท้องทะเลจำนวนนับไม่ถ้วน ถูกยึดนิ่งสงบรวมอยู่ในใจกลางของทะเลซากัสโซ่ ตั้งแต่สมัยการการเดินทางโดยทะเลของพวกฟินีเชียน ไวกิ้ง โรมัน หรือแม้แต่เรือต่าง ๆ ในสมัยกลางของยุโรป พวกเหล่านี้เชื่อว่าเรือเหล่านี้ลอยกองรวมกันพร้อมด้วยสมบัติมหาศาลที่บรรทุกอยู่เหตุที่ไม่จมเพราะมีสาหร่ายจำนวนหนาแน่นรองรับอยู่ข้างใต้ มนุษย์ผู้พบท้องทะเลแห่งนี้เป็นพวกแรกเข้าใจว่าจะต้องเป็นพวกฟินีเชียนและพวกคาร์ธายิเนียนโบราณ เพราะเป็นเวลา หลายพันปีแล้วที่พวกนี้เดินทางข้ามมหาสมุทรแอ๊ตแลนติคสู่อเมริกาหลักฐานที่ปรากฏคือรอยแกะสลักบนแผ่นหินของ พวกฟินีเชียน ที่พบอยู่ในประเทศบราซิลขณะนี้ และศิลาจารึกในสุสานฝังศพของพวกคาร์ธายิเนียน เมื่อราว </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\">500<span lang=\"TH\"> ปี ก่อนคริศศักราชระบุว่า</span><o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><span style=\"font-size: large\"><span style=\"color: #000000\">....<span lang=\"TH\">เหนือท้องทะเลแห่งนี้มีแต่ความอ้างว้างเงียบเหงา คล้ายกับสุสานใหญ่ที่มองจรดขอบฟ้าไปทุกด้าน ไม่มีแรงลม พอที่จะพัดพาเรือให้แล่นไปได้ ใต้พื้นน้ำเต็มไปด้วยสาหร่ายทะเลอย่างหนาทึบ ซึ่งยึดเรือ</span><o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-size: large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ทั้งหลายให้หยุดนิ่งอย่างกับกำลังมหาศาลของหนวดปลาหมึกยักษ์.....</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-size: large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ท้องทะเลบางแห่งตื้นเขินซึ่งเป็นที่อาศัยของสัตว์ประหลาดมหึมาหลายสิบชนิด และบางครั้งมันก็ว่ายน้ำ เข้ามาทำลายเรือทั้งลำให้กลายเป็นผุยผงไปในพริบตา</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><o:p></o:p></span></span></span></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><span style=\"font-size: large\"><span style=\"color: #000000\"><o:p></o:p></span></span></span> <span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><o:p><span style=\"font-size: large; color: #000000\"> </span></o:p></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><o:p><span style=\"font-size: large; color: #000000\"> </span></o:p></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><o:p><span style=\"font-size: large; color: #000000\"> </span></o:p></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><o:p><span style=\"font-size: large; color: #000000\"> </span></o:p></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><o:p><span style=\"font-size: large; color: #000000\"> </span></o:p></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><o:p><span style=\"font-size: large; color: #000000\"> </span></o:p></span> </span></p>\n', created = 1719806089, expire = 1719892489, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:66704869cc5c2bb70137eae9c2800605' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.

สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า

ห้ามลบ ขอให้เจ้าของผลงานประกวด แก้ไขข้อมูลได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2551 เวลา 23.30 น.
หากเลยกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว ท่านเข้ามาแก้ไขข้อมูล ถือว่าโมฆะในการพิจารณาได้รับรางวัล
ซึ่งระบบของ Thaigoodview สามารถตรวจสอบได้ว่า ผลงานแต่ละชิ้น มีการแก้ไขเวลาใดบ้าง

ครูพูนศักดิ์ สักกทัตติยกุล


Foot in mouthสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา (Bermuda Triangle)Smile

 เป็นบริเวณสมมติในมหาสมุทรแอตแลนติก มีเนื้อที่ประมาณ 1.2 ตร.กม. อยู่ระหว่างจุด 3 จุดที่ไม่เป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า ได้แก่ เปอร์โตริโก ปลายสุดของมลรัฐฟลอริดาในสหรัฐอเมริกา และเกาะเบอร์มิวดาซึ่งเป็นดินแดนในปกครองของสหราชอาณาจักร สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นที่รู้จักทางสื่อมวลชนอย่างแพร่หลาย หลังจากที่ค้นพบว่าคุณสมบัติทางฟิสิกส์ต่างๆ ไม่เป็นไปตามกฎพื้นฐานสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เริ่มเป็นที่รู้จักในปี พ.ศ. 2494 (ค.ศ. 1951) หลังจากที่มีเรือขนาดใหญ่หายสาบสูญภายในบริเวณสามเหลี่ยม รวมถึงเครื่องบินและเรือขนาดเล็กอื่นๆ จนได้รับขนานนามว่า "สามเหลี่ยมปีศาจ" (The Devil's Triangle)ศัพท์คำว่า "สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา" หรือ "Bermuda Triangle" นี้ มีที่มาจากบทความนิตยสารอาร์กอสซี่ เจ้าของบทความชื่อ Vincent H. Gaddis ได้นำเสนอเรื่องราวของเรือและเครื่องบินที่สาบสูญไปอย่างลึกลับโดยปราศจากคำอธิบายในนิตยสารดังกล่าว เมื่อปี ค.ศ. 1964 แต่ แกดดิส ไม่ได้เป็นคนแรกที่สังเกตเรื่องนี้ ก่อนหน้าในปี ค.ศ. 1952 นาย George X. Sands เสนอเรื่องทำนองนี้เช่นกันในนิตยสาร Fate เนื้อหากล่าวถึงปริมาณของเรือและเครื่องบินที่สาบสูญไปอย่างผิดปกติในบริเวณน่านน้ำดังกล่าว ซึ่งยอดสูญหายนี้มันมากเกินไปกว่าที่จะสันนิษฐานว่าเป็นอุบัติเหตุต่อมาถัดมาในปี ค.ศ. 1969 นายวอลเลซ สเปนเซอร์ ได้เขียนหนังสือว่าด้วยสามเหลี่ยมปริศนานี้โดยเฉพาะออกจำหน่ายในชื่อว่า "Limbo of the Lost" ถัดจากนั้นก็มีหนังสือออกจำหน่ายตามมาอีกมากมายเกี่ยวกับความลึกลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ซึ่งก็มียอดจำหน่ายดีแทบทุกเล่ม ที่มีชื่อเสียงเป็นพิเศษคือบทความที่มีชื่อว่า "The Devil's Triangle" ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1974 ซึ่งเนื้อหาสำหรับเป็นที่ชื่นชอบความลึกลับเกี่ยวกับสามเหลี่ยเบอร์มิวดาเป็นอันมาก เป็นที่น่าสังเกตคือ หนังสือแทบทุกเล่มมุ่งประเด็นไปยังมุมมองที่ว่า เบื้องหลังของการสูญหายนี้ มาจากเทคโนโลยีของสิ่งทรงภูมิปัญญามากกว่าประเด็นอื่น เช่นมาจากมนุษย์ต่างดาว หรือมนุษย์ที่อาศัยอยู่ใต้มหาสมุทรบริเวณนั้น ต่างก็หาหลักฐานและทฤษฎีมาถกเถียงกันและบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดามีอาณาบริเวณที่กว้างมากจาก ฟลอริด้า-เปอร์โต ริโก-เกาะเบอร์มิวดา กินพื้นที่ประมาณ ห้าแสนตารางไมล์ เพราะฉะนั้นการจะค้นหาอะไรๆจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็มีองค์กรของรัฐ เอกชน ต่างให้ความสนใจในการสำรวจ โดยหวังว่าจะเจอหลักฐานอะไรก็ตามที่นำมาใช้ไขปริศนาของดินแดนบริเวณนี้ได้ . และมีนักบินขี่เครื่องบินสามลำแล้วหายไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดามีนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ นักสมุทรวิทยา และอีกหลายอาชีพ ให้ความเห็นและทฤษฎีเกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา มาดังนี้ทฤษฎีที่ว่า อาจจะเป็นไปได้ที่บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้น ตั้งอยู่ในจุดสมดุลของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า กับพลังของสนามแห่งแรงโน้มถ่วงพอดี ซึ่งทำให้เกิดช่องว่างของอีกมิติหนึ่งในห้วงเวลาอวกาศ และเมื่อเรือหรือเครื่องบินแล่นเข้าสู่ช่องว่างแห่งนี้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางมิติหายลับไปทันที แต่เนื่องจากว่าวิทยาการทางเทคนิคของเราในปัจจุบันนี้ยังไม่มีความรู้พอที่จะแก้ไขสถานการณ์อันนี้ได้ การหายสาบสูญของพวกเรา ก็เป็นไปในทำนอง เดินทางเดียว เท่านั้น คือเมื่อมิติถูกเปลี่ยนไปแล้ว ก็ไม่อาจจะทำให้กลับคืนสู่มิติเดิมได้ ส่วนสิ่งมีชีวิตปัญญาสูงจากนอกโลกที่มาจากจานบิน คงจะทราบและเข้าใจในกฎเกณฑ์อันนี้เป็นอย่างดีจึงได้ใช้ช่องว่างที่เกิดจากสมดุลอันนี้ เป็น ประตู ทางเข้าออกในการเปลี่ยนแปลงทางมิติเพื่อเข้าสู่โลก ด้วยเหตุจึงมีผู้พบเห็นจานบินบ่อยๆ (สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นสถานที่ซึ่งมีผู้พบเห็นจานบินบ่อยที่สุดและมากที่สุดในโลก) และมันจะหายตัวไปแบบฉับพลัน ซึ่งตอนนั้นเองที่จานบินเปิดประตูมิติ เรือหรือเครื่องบินผ่านมาบริเวณนั้นพอดี ก็เลยแล่นเข้าสู่ประตูมิติ ทฤษฎีที่ว่า บริเวณใต้สามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้นเป็นจุดที่ อาณาจักรแอตแลนติสจมลง ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าชาวแอตแลนติสมีความเจริญรุ่งเรืองมาก ต้องมีพลังงานอะไรบางอย่างที่ชาวแอตแลนติสสร้างเอาไว้ ทำให้เรือและเครื่องบินบริเวณนั้นหายสาบสูญแบบไร้ร่องรอย ทฤษฎีที่ว่า บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เป็นเหมือนสถานีที่สิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญากว่ามาสร้างเอาไว้ เพราะหลายต่อหลายครั้งที่มีผู้คนพบเห็นแสงไฟจากใต้น้ำบ้าง จานบินใต้น้ำบ้างและก็มีผู้พบเห็นจานบินโผล่ขึ้นมาจากน้ำ ดำดิ่งลงไปในน้ำ ความเร็ว 150 นอตต่อชั่วโมงเท่ากับเฮลิคอปเตอร์ และในปัจจุบันก็ยังไม่มีเรือดำน้ำให้ทำความเร็วได้ขนาดนั้น บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นจุดที่พบเห็นจานบินบ่อยและมากที่สุดในโลก เพราะบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นจุดบอดของสนามแม่เหล็กจึงสามารถทำให้สามารถนำยานลงจอดซึ่งมีไม่กี่แห่งบนโลก ทฤษฎีที่ว่า มีสิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญาอยู่ใต้ท้องมหาสมุทร ตามหลักของชีววิทยา สิ่งมีชีวิตจะเริ่มต้นมาจากทะเลก่อน และเนื่องมากจากท้องทะเลมีอาณาเขตมากกว่าพื้นดินถึงสองเท่า มนุษย์ใต้มหาสมุทรเหล่านี้จึงมีเนื้อที่สำหรับ การแพร่ขยายพันธุ์มากกว่าเรา และจากเหตุที่พวกนี้ได้เกิดขึ้นก่อนมนุษย์เรา ดังนั้น การพัฒนาทางเทคนิคของพวก เขาก็คงล้ำหน้าไปกว่าเรามากทีเดียว เท่าที่ผ่านมาเป็นเวลานาน มนุษย์ใต้สมุทรเหล่านี้จะไม่ติดต่อเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเรา ถือว่าต่างคนต่างอยู่ แต่จากความก้าวหน้าทางเทคนิคของพวกเราในปัจจุบัน อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อสภาพแวดล้อมของพวกเขาได้ พวกนี้จึงเปลี่ยน นโยบายที่ว่าต่างคนต่างอยู่ ออกมาสังเกตความเป็นไปของชาวเรา ที่อยู่บนพื้นโลกอย่างลับๆและเงียบสงบ ซึ่งบางทีบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา อาจเป็นบริเวณที่สะดวกที่สุดที่พวกเขาจะออกมาสำรวจโลกเบื้องบน ทฤษฎีที่ว่า เป็นจุดที่มีแรงดึงดูดของโลกมากที่สุด เนื่องจากแรงดึงดูดของบริเวณนี้สูงกว่าบริเวณอื่น จะทำให้เครื่องบิน หรือเรือ จมลงทะเล ทฤษฎีที่ว่า เป็นบริเวณที่สนามแม่เหล็กมีความเข้มข้นสูงที่สุด ซึ่งจะทำให้เครื่องบิน หรือเรือที่ใช้เครื่องยนต์ โดนสนามแม่เหล็กทำให้เครื่องยนต์เสียหาย และจมลงในที่สุด ทฤษฏีที่ว่า เป็นบริเวณของประตูเวลาที่เกิดขึ้นโดยตัวเรายังคงอยู่ที่เดิมในขณะที่กาลเวลาเปลี่ยนแปลงไป[1] หรือที่เรารู้จักมักคุ้นกันในนามของ ไทม์แมชชีน นั่นเอง ซึ่งหลังจากที่ประตูเวลาปิดตัวลง เมื่อนั้นเวลาก็จะคืนกลับสู่ความเป็นปัจจุบัน เราจึงไม่สามารถหาสถานที่แห่งนั้นได้พบ ท้องทะเลแห่งความพรั่นพรึงเรือเดินทะเลที่หายสาบสูญไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้น ส่วนมากจะเกิดขึ้นในบริเวณที่เรียกว่า "ทะเลซากัสโซ" และสาเหตุที่ท้องมหาสมุทรแห่งนี้มีนามว่าทะเลซากัสโซ ก็เพราะอาณาเขตบริเวณแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วย สาหร่ายทะเลชนิดหนึ่งซึ่งมีชื่อว่าสาหร่ายซากัสซั่ม สาหร่ายชนิดนี้เป็นอุปสรรคต่อการเดินเรืออย่างยิ่ง และ เหตุการณ์ประหลาดลึกลับทางทะเลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่โบราณกาล มักจะมีต้นตอมาจาก ทะเลซากัสโซเสียเป็นส่วนมาก ชาวฟีนีเชียนโบราณซึ่งเคยใช้เรือเดินทางผ่านท้องทะเลมหาภัยแห่งนี้มา ตั้งแต่หลายพันปีก่อน ได้บันทึกปรากฏการณ์ประหลาดต่าง ๆ ไว้เป็นจำนวนมาก     ท้องทะลซากัสโซ่ มีอาณาเขตบริเวณกว้างใหญ่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแอ๊ตแลนติค บริเวณแห่งนี้จะเต็มไปด้วย สาหร่ายทะเลลอยฟ่องเต็มไปหมด เมื่อตอนที่โคลัมบัสแล่นเรือผ่านท้องทะเลแห่งนี้เป็นครั้งแรก กลาสีเรือต่างตื่นเต้นที่คิดว่าเรือคงแล่นเข้าใกล้ฝั่งแห่งใดแห่งหนึ่งเข้าไปแล้ว แต่แม้จะแล่นเรือต่อไปอีกนาน อาณาเขตของ สาหร่ายแห่งนี้ก็หาหมดลงไปไม่ อีกอย่างหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ประจำของทะเลซากัสโซ คือ ภูเขาทะเล ภูเขาทะเลคือภูเขาที่อยู่ใต้พื้นน้ำ แต่มีส่วนยอดแบนราบโผล่ขึ้นมาเหนือพื้นน้ำเล็กน้อย มองดูคล้ายเกาะ แต่ไม่มีพืชพันธ ์ใด ๆ นอกจากตระใคร่น้ำเกาะอยู่เท่านั้นทะเลซากัสโซไม่เพียงแต่เป็นท้องทะเลที่เต็มไปด้วยสาหร่ายยากแก่การเดินเรือ เท่านั้น แต่กิตติศัพย์ในความน่าสะพรึงกลัวของมันได้ถูกกล่าวขานกันอยู่เสมอ บ้างก็ให้เชื่อว่าเป็นทะเลแห่งความหายนะ หรือสุสานของเรือเดินสมุทรบ้างก็ว่าเป็นที่สิงสถิตของภูติผีปีศาจทะเล หรือสัตว์ร้ายดึกดำบรรพ์ เรื่องราวต่าง ๆ ที่พวกชาวเรือชอบนำมาเล่าสู่กันฟังเกี่ยวกับท้องทะเลจำนวนนับไม่ถ้วน ถูกยึดนิ่งสงบรวมอยู่ในใจกลางของทะเลซากัสโซ่ ตั้งแต่สมัยการการเดินทางโดยทะเลของพวกฟินีเชียน ไวกิ้ง โรมัน หรือแม้แต่เรือต่าง ๆ ในสมัยกลางของยุโรป พวกเหล่านี้เชื่อว่าเรือเหล่านี้ลอยกองรวมกันพร้อมด้วยสมบัติมหาศาลที่บรรทุกอยู่เหตุที่ไม่จมเพราะมีสาหร่ายจำนวนหนาแน่นรองรับอยู่ข้างใต้ มนุษย์ผู้พบท้องทะเลแห่งนี้เป็นพวกแรกเข้าใจว่าจะต้องเป็นพวกฟินีเชียนและพวกคาร์ธายิเนียนโบราณ เพราะเป็นเวลา หลายพันปีแล้วที่พวกนี้เดินทางข้ามมหาสมุทรแอ๊ตแลนติคสู่อเมริกาหลักฐานที่ปรากฏคือรอยแกะสลักบนแผ่นหินของ พวกฟินีเชียน ที่พบอยู่ในประเทศบราซิลขณะนี้ และศิลาจารึกในสุสานฝังศพของพวกคาร์ธายิเนียน เมื่อราว 500 ปี ก่อนคริศศักราชระบุว่า....เหนือท้องทะเลแห่งนี้มีแต่ความอ้างว้างเงียบเหงา คล้ายกับสุสานใหญ่ที่มองจรดขอบฟ้าไปทุกด้าน ไม่มีแรงลม พอที่จะพัดพาเรือให้แล่นไปได้ ใต้พื้นน้ำเต็มไปด้วยสาหร่ายทะเลอย่างหนาทึบ ซึ่งยึดเรือทั้งหลายให้หยุดนิ่งอย่างกับกำลังมหาศาลของหนวดปลาหมึกยักษ์.....ท้องทะเลบางแห่งตื้นเขินซึ่งเป็นที่อาศัยของสัตว์ประหลาดมหึมาหลายสิบชนิด และบางครั้งมันก็ว่ายน้ำ เข้ามาทำลายเรือทั้งลำให้กลายเป็นผุยผงไปในพริบตา       

สร้างโดย: 
นาง รัชญา ไชยนา

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ใหญ่ใจดี
 

 ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ 
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ 
ไม่ถูกปิดเสียก่อน

ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 
มีผลบังคับใช้แล้ว 
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

 

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 588 คน กำลังออนไลน์