เศรษฐกิจและสังคมสมัยจักรวรรดิโรมัน
ชาวโรมันเป็นชาวนามาตั้งแต่ดั้งเดิมอาศัยอยู่บริเวณลาติอุมมีแม่น้ำไทเบอร์ไหลผ่าน พืชที่ทำการปลูกมีข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต มะกอก องุ่น กระเทียม มีอุตสาหกรรมย่อยๆ เช่น การ ปั้นหม้อ เหมืองแร่ การทำเครื่องโลหะ โรมมีเนื้อที่เพาะปลูกประมาณ 5 หมื่นตารางไมล์ แต่ไม่สามารถผลิตธัญพืชเลี้ยงประชากรได้อย่างเพียงพอ จึงอาศัยการค้ากับต่างแดนและการหาอาณานิคมเพื่อยึดพืชผล และทรัพย์สมบัติสู่กรุงโรม เช่น การรบชนะสงครามปิวนิคทำให้โรมได้ครอบครองซิซิลี คาร์เทจ ซึ่งในคาร์เทจมีข้าวสาลี ปศุสัตว์ และไร่องุ่น
โรมันได้รับเอาระบบเกษตรกรรมแบบลาติฟุนเดียม (Latifundium) ของกรีกมาใช้ในบริเวณภาคกลางและภาคใต้ ลักษณะของลาติฟุนเดียมมีลักษณะเป็นฟาร์มขนาดใหญ่ มีบ้านหรูหราอยู่ตรงกลาง มีโรงทาส คอกสัตว์ โรงทำผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เช่น โรงเหล้า ทำเพื่อการค้าและ ใช้แรงงานทาส พืชผลที่ปลูกส่วนใหญ่ได้แก่ องุ่นเพื่อทำเหล้าองุ่น และมะกอกเพื่อทำน้ำมันมะกอก ภายหลังการขยายระบบการใช้ที่ดินแบบนี้ทำให้ชาวนารายย่อยไม่มีที่ดินเท่ากับต้องอพยพเข้าสู่กรุงโรม
ทางด้านสังคม ชาวโรมันเป็นคนเชื้อสายอินโด – ยูโรเปียน ตามโครงสร้างสังคมแบ่งพลเมืองออกเป็น 2 กลุ่ม คือ พวกแพทริเชียน (Patricians) และพวกเพลเบียน (Plebeians)
พวกแพทริเชียน คือ กลุ่มผู้ดีมีสกุล มีความมั่งคั่ง ร่ำรวย มีสิทธิในการปกครองสาธารณรัฐ และพยายามรักษาฐานะของตนไว้ด้วยการห้ามแต่งงานกับชนชั้นสามัญ
การค้าภายในประเทศและการค้าระหว่างประเทศ
การค้าภายในของโรมันมีเอกชนเป็นผู้ดำเนินการ รัฐเรียกเก็บกำไรหรือภาษีจาก พ่อค้าและเก็บค่าเช่าจากเจ้าของที่ดิน ชาวโรมันส่วนใหญ่ยึดอาชีพปิ้งขนมปัง ตัดเย็บเสื้อผ้า ก่อสร้าง ผลิตสินค้าฟุ่มเฟือย รับจ้างขนถ่ายสินค้าทางเรือ ศิลปิน รับจ้างในบ้านหรือราชสำนัก และทุกคนต้องเสียภาษีอากรให้แก่รัฐบาล
ตรวจแล้ว