คำต่าง ๆ ในภาษาของเรา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คือ คำที่ใช้เรียกชื่อ บุคคล สัตว์ สิ่งของ สถานที่ |
|
คำนามแบ่งออกเป็น ๕ ชนิด ดังนี้ | |
๑. นามทั่วไป หรือสามานยนาม |
เป็นคำนามที่ไม่ชี้เฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น คน นักเรียน ครู กีฬา |
๒. นามชื่อเฉพาะ หรือวิสามานยนาม |
เป็นชื่อเฉพาะของบุคคล หรือ สถานที่ เช่น อัญชลีพร ตาก ลำปาง |
๓. นามบอกลักษณะ หรือลักษณนาม |
เป็นคำนามบอกลักษณะ เช่น อัน แท่ง ผล ตัว |
๔. นามบอกหมวดหมู่ หรือสมุหนาม |
เป็นคำนามบอกหมวดหมู่ หมู่ เหล่า โขลง ฝูง |
๕. นามบอกอาการ หรืออาการนาม |
เป็นคำนามที่เกิดจากคำกริยาหรือคำวิเศษณ์ ที่มีคำว่า การ หรือ ความ นำหน้า เช่น การนอน ความจริง ความดี |
|
คือคำที่ใช้แทนคำนาม เพื่อไม่ต้องกล่าวคำนามนั้นซ้ำ ๆ คำสรรพนามแบ่งออกเป็น ๗ ชนิด ดังนี้ | |
๑. บรุษสรรพนาม เป็นสรรพนามที่ใช้แทนนามมี ๓ ชนิด ดังนี้ | |
สรรพนามบุรุษที่ ๑ ใช้เรียกแทนผู้พูด เช่น ข้า ข้าพเจ้า ดิฉัน ฉัน ผม สรรพนามบุรุษที่ ๒ ใช้เรียกแทนผู้ฟัง เช่น เธอ ท่าน คุณ สรรพนามบุรุษที่ ๓ ใช้เรียกแทนผู้ถูกกล่าวถึง เช่น มัน เขา ท่าน |
|
๒. | สรรพนามชี้ระยะ เป็นสรรพนามที่กำหนดให้เรารู้ว่า คน สัตว์ สิ่งของ หรือสถานที่ที่กล่าวถึงนั้นอยู่ในระยะใกล้ไกลเพียงใด เช่น นี่ ใช้กับสิ่งที่อยู่ใกล้ที่สุด นั่น ใช้กับสิ่งที่อยู่ห่างออกไป |
๓. | สรรพนามใช้ถาม ใช้แทนคำนามที่ผู้ถามต้องการคำตอบ ได้แก่ อันไหน สิ่งใด ใคร อะไร เช่น เธอชอบอันไหน คุณเลือกสิ่งใดในตู้นี้ |
๔. | สรรพนามบอกความไม่เจาะจง ใช้แทนคำนามที่กล่าวถึง โดยไม่ต้องการคำตอบ ได้แก่ ใคร อะไร สิ่งใด หรืออาจจะใช้คำซ้ำ เช่น ฉันไม่เห็นใครขยันอย่างเขา รู้สิ่งใด หรือจะสู้รู้วิชา |
๕. | สรรพนามบอกความชี้ซ้ำ ใช้แทนคำนามที่กล่าวมาก่อนแล้ว และต้องการกล่าวซ้ำอีกโดยไม่ต้องเอ่ยคำนามนั้นอีกครั้ง ได้แก่ บ้าง ต่าง กัน เช่น ประชาชนต่างไปลงคะแนนเสียงเลือกผู้แทนราษฎร (ความหมายแยกแต่ทำในสิ่งเดียวกัน) |
๖. | สรรพนามเชื่อมประโยค ใช้แทนคำนามที่อยู่ข้างหน้า และเมื่อต้องการกล่าวซ้ำ ทำหน้าที่เชื่อมประโยค ๒ เข้าด้วยกัน ได้แก่ ที่ ซึ่ง อัน ผู้ เช่น คน ที่ เดินมาเป็นน้องฉัน เมื่อแยกประโยคจะได้ดังนี้ คนเดินมา และน้องฉัน ส่วนคำว่า ที่ แทนคำว่า คน |
๗. | สรรพนามใช้เน้นนามตามความรู้สึกของผู้พูด ใช้หลังคำนามเพื่อบอกความรู้สึกของผู้พูดที่มีต่อบุคคลที่กล่าวถึง เช่น เด็ก ๆ แก หัวเราเสียงดัง (บอกความรู้สึกเอ็นดู) คุณใบไฝ่เธอ ดีกับทุกคน (บอกความรู้สึกยกย่อง) |
|
|
คือ คำที่แสดงอาการ หรือสภาพ หรือการกระทำในประโยค บางคำมี ความหมายสมบูรณ์ แต่บางคำต้องอาศัยคำอื่นมาประกอบ หรือใช้ประกอบคำอื่นเพื่อให้ความหมายชัดเจน | |
คำนามแบ่งออกเป็น ๕ ชนิด ดังนี้ | |
๑. กริยาที่มีความหมายสมบูรณ์ | เรียกว่า อกรรมกริยา เช่น เดิน วิ่ง ร้องไห้ |
๒. กริยาที่ต้องอาศัยกรรม มาทำให้สมบูรณ์ |
เรียกว่า สกรรมกริยา เช่น ทำ ซื้อ กิน |
๓. กริยาที่ช่วยให้กริยาอื่น มีความหมายชัดเจนขึ้น |
เรียกว่า กริยานุเคราะห์ เช่น คง จะ น่า แล้ว อาจ นะ ต้อง ทำให้ความหมายชัดเจนขึ้น |
๔. กริยาที่ต้องอาศัยส่วนเติม เต็มเพื่อให้มีความหมายสมบูรณ์ |
ส่วนเติมเต็มนี้ ไม่ใช่กรรม คำกริยาดังกล่าวได้แก่ เป็น เหมือน คล้าย เท่า คือ |
๕. กริยาที่ทำหน้าที่คล้ายนาม | อาจเป็นประธาน กรรม หรือบทขยายประโยค คำกริยาชนิดนี้มักละคำว่า “การ” ไว้ เช่น พูด อย่างเดียว ไม่ทำให้งานสำเร็จหรอก |
คือคำที่ช่วยขยายคำอื่น ให้มีเนื้อความชัดเจนยิ่งขึ้นหน้าที่ ของคำวิเศษณ์ มีดังนี้ |
|
๑.ประกอบคำนาม | เช่น คนงาม ชายหนุ่ม มะพร้าวอ่อน ผ้าบาง |
๒.ประกอบคำสรรพนาม | เช่น เขาสูง เธอสวย มันดุ |
๓.ประกอบคำกริยา | เช่น วิ่งเร็ว อยู่ไกล นอกมาก |
๔.ประกอบคำวิเศษณ์ | เช่น อากาศร้อนมาก เธอดื่มน้ำเย็นจัด |
คือ คำที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงคำหนึ่ง หรือกลุ่มคำหนึ่งให้สัมพันธ์กับคำอื่น หรือกลุ่มคำอื่น เพื่อบอกสถานที่ เวลา แสดงอาการ หรือแสดงความเป็นเจ้าของ เช่น กับ แก่ แต่ ต่อ จาก เพื่อ โย จน บน ใต้ กลาง ของ สำหรับ ระหว่าง เฉพาะ เช่น |
|
แม่ทำเพื่อลูก | เพื่อเป็นบุพบุทแสดงอาการ |
เขามาเมื่อเช้านี้ | เมื่อ เป็นบุพบทบอกเวลา |
นกอยู่บนต้นไม้ี่ | บน เป็นบุพบทบอกสถานท |
ฉันเดินกับเขา | กับ เป็นบุพบทบอกความเกี่ยวเนื่องกัน |
|
คือคำที่ใช้เชื่อมประโยคกับประโยค ข้อความที่มีคำสันธานเชื่อมอยู่นั้น มันจะแยกออกได้เป็นประโยคมากว่าหนึ่งประโยค |
|
เช่น
|
ใบบัวอ่านหนังสือแต่ ใบไฝ่เล่นเกม |
ติ๊กและสมต้องเป็นเด็กมีน้ำใจ | |
ครูให้อภัยเขาเพราะเขาสำนึกผิด | |
บ้านและโรงเรียนควรร่วมมือกันแก้ปัญหาเรื่องเด็ก | |
คือคำที่เปล่งออกมาเพื่อแสดงอารมณ์ หรือความรู้สึกของผู้พูด ส่วนมากจะไม่มีความหมายตรงตามถ้อยคำ แต่จะมีความหมายทางเน้น ความรู้สึกและอารมณ์ของผู้พูดเป็นสำคัญ |
|
คำอุทานแบ่งเป็น ๓ ประเภทได้แก่ | |
๑.คำอุทานบอกอาการ ใช้บอกอาการในการพูดจากัน เช่น โธ่ ! ไม่น่าเลย โอ๊ย! น่ากลัวจริง เอ๊ะ! ทำอย่างนี้ได้อย่างไร ตายแล้ว! ทำไมเป็นอย่างนี้ คำอุทานบอกอาการจะมีเครื่องหมายอัศเจรีย์ (!) กำกับอยู่ คำอุทาน |
|
๒. คำอุทานในบทร้อยกรองคำอุทานเหล่านี้จะปรากฎอยู่
โอ้ดวงเดือนก่ำฟ้า ชวนฝัน ยิ่งเอย จตุภูมิ วงษ์แก้ว |
|
๓. อุทานเสริมบท ใช้กล่าวเป็นการเสริมคำในการพูดเพื่อเน้นความหมาย ให้ชัดเจนขึ้น ทำให้สนุกในการออกเสียงให้น่าฟังขึ้น เช่น |
|
เธอไม่สบายต้องกินหยูกกินยานะ เข้ามาดื่มน้ำดื่มท่าเสียก่อน |
ช่วยหยิบถ้วยโถโอชามให้ด้วย ทำไมบ้านช่องถึงสกปรกอย่างนี้ |
|
||||||
|
||||||
|
||||||
สิ่งที่ต้องมีในการบันทึกเหตุการณ์ คือ ๑)วัน เดือน ปี ที่บันทึก ๒)แหล่งที่มาของเรื่องราวที่ได้พบเห็นมา ๓)บันทึกเรื่อง โดยสรุปย่อสาระสำคัญด้วยสำนวนภาษา ของตน ซึ่งอาจจะแสดงข้อคิดเห็น และสรุปไว้ด้วย |
การเขียนบันทึกจากการค้นคว้า เป็นการสร้างนิสัยรักการอ่าน ฝึกย่อความป้องกันการลืม และประหยัดเวลา |
๒. ข้อควรปฎิบัติในการเขียนบันทึก ๑) ทำความเข้าใจ เรียงลำดับความคิดและเนื้อเรื่อง ๒) บันทึกด้วยสำนวนภาษาของตนเอง ให้อ่านง่ายและเป็นระเบียบ ๓) บันทึกเฉพาะสาระสำคัญ ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร ทำไม เป็นต้น ๔) ฝึกบันทึกอย่างรวดเร็ว เช่น ใช้เครื่องหมายและอักษรย่อ ขีดเส้นใต้ หัวข้อและประเด็นสำคัญ |
๓. วิธีการเขียนบันทึก ๑) ลำดับความให้เชื่อมโยงต่อเนื่องกัน ไม่วกวน เช่น |
|
ตอนบ่ายง่วงนอนเพราะดูทีวีจนดึก จึงนั่งสัปหงก มาลีชวนไปเล่นวิ่งเปี้ยวเลยหายง่วง เลิกเรียนแล้วกลับบ้าน และช่วยคุณแม่ทำกับข้าว กลางคืนทำการบ้านเสร็จ แล้วรีบเข้านอน | |
๒) ลำดับเหตุการณ์ เช่น | |
วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๑ เวลา ๑๑.๐๐ น. เสียงร้องเพลงดังรบกวนขณะฉันกำลังดูหนังสือ เวลา ๑๑.๓๐ น. เสียงร้องเพลงดังกว่าเดิม จึงตะโกนถามและบอกให้ลดเสียง เวลา ๑๑.๔๐ น. เสียงร้องเพลงดังมากขึ้นเหมือนจงใจจะแกล้งฉันเลยหยุดดูหนังสือ ไปทำงานอื่นแทน |
|
๓) การเชื่อมโยง เช่น | |
ตอนสายเสียงร้องเพลงดัง เวลาต่อมาเสียงร้องเพลงดังมากขึ้น ต่อมาจึงหยุดดูหนังสือ | |
๔) การเน้นใจความสำคัญ เช่น | |
เริ่มเรื่อง ร้องเพลงเสียงดัง ตะโกนถาม ผล เสียงร้องเพลงดังขึ้น สรุป เลิกดูหนังสือ หันไปทำงานอื่น ผล เหตุการณ์สงบ |
|
|
|||
กระทรวงการคลังได้ข้อยุติในมาตรการลดหย่อนภาษีเพื่อ ช่วยเหลือ สังคม และพัฒนาศักยภาพในการแข่งขันให้แก่ผู้ ประกอบการไทย รมว. คลังได้สั่งให้กรมสรรพากรหักค่าลดหย่อน สำหรับการเลี้ยงดูบุพการี โดยคนที่เลี้ยงดูพ่อแม่ของตัวเอง สามารถนำ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นมาหักเป็น ค่าลดหย่อนได้ คนละ ๓0,000 บาท โดยบุพการีที่เลี้ยงดูนั้นไม่จำเป็น ต้องมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน |
|||
|
|||
วันนี้ฉันไปโรงเรียนตั้งแต่ ๖.๕๔ น. เพื่อไปรดน้ำผักบุ้งที่แปลงผัก หลังอาคารเรียน ฉันยืนมองผักบุ้งที่แตกยอดอวบงามแล้วรู้สึกภูมิใจมาก ที่ฉันสามารถปลูกผักได้งอกงามด้วยมือของตัวฉัน ๘.๐๐ น. เรียนวิชาภาษาไทยกับคุณครูอัญชลีพร วันนี้เราเรียนเรื่อง การใช้สำนวนภาษาในการสื่อสารกัน คุณครูอัญชลีพรให้ฉันยกตัวอย่าง สำนวน ๑ สำนวน ฉันยกตัวอย่างสำนวนว่า “เป็นฟืนเป็นไฟ” ซึ่งหมายถึง อาการโกรธอย่างรุนแรง เพื่อน ก็หัวเราะ และล้อฉันว่าฉันคงโกรธ เป็นฟืนเป็นไฟ ถ้าหากใครไปทำให้แปลงผักบ้งเสียหาย ฉันยิ้มรับและหัวเราะ |
|||
. | |||
คือ การเขียนเพื่ออธิบายความหมายให้กระจ่าง หรือขยายความ
จำเป็นต้องฝึกตนเองให้เป็นคนช่างสังเกต จดจำข้อมูลให้เม่นยำ
|
||
|
||
นกภูหงอนหัวน้ำตาลแดง เป็นนกที่มีขนาดเล็กมาก(๑๔ ซม.) หงอนขนบนหัวมีขนาดสั้น ลำตัวผอมบาง ด้านบนลำตัวมีขีดลายสีขาว ขนบริเวณหูสีน้ำตาลแดงมีลายขัดสีขาว ขนปลายหางสีขาว และด้านล่างลำตัวขาว ในประเทศไทยพบในภาคเหนือ เช่น ที่ดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม ่ และในภาคกลาง เช่น อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ เป็นต้น |
||
๒.การเขียนอธิบายจากการสังเกตพฤติกรรมของบุคคล
เป็นการเขียนอธิบายถึงความคิดที่สัมพันธ์กับการกระทำ ตลอดจนวิธีทำ |
||
|
||
ข้าวหน้าไก่นึ่งกุนเชียงเห็ดหอม
|
||
|
|
||||
|
||||
พระธรรมโกศาจาย์ (ปัญญานันทภิกขุ) |
||||
|
|
||||
|
จัดทำโดย นางอัญชลีพร ลาบุญ
เอกสารอ้างอิง
เอกรินทร์ สี่มหาศาล และคณะ. กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ป ๖. กรุงเทพฯ. อักษรเจริญ อจก. ๒๕๔๔.