• user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:b7ac03ff6d8221a8b93ffbb2201fe182' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p align=\"center\">\n<strong><span style=\"color: #3366ff\"><span style=\"color: #ff0000\"> </span><span style=\"color: #3366ff\" class=\"font_normal\"><b>ตื่นตา..สุดอลังการ! แห่เข้าชม &quot;พระเมรุ&quot; 2 วันกว่า 5 แสนคน </b></span></span></strong>\n</p>\n<p align=\"center\">\n<strong><span style=\"color: #3366ff\"><span style=\"color: #3366ff\"></span></span></strong>\n</p>\n<p align=\"center\">\n<strong><span style=\"color: #3366ff\"><span style=\"color: #3366ff\"><img border=\"0\" width=\"254\" src=\"/files/u3013/1196056_6657599.jpg\" height=\"169\" /></span></span></strong>\n</p>\n<p align=\"center\">\n<strong><span style=\"color: #3366ff\"></span></strong>\n</p>\n<p><strong><span style=\"color: #3366ff\"></span></strong></p>\n<p>\n<strong><span style=\"color: #800000\">ชมพระเมรุ- นักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วไป ทั้งในกรุงเทพฯ และจากต่างจังหวัด เดินทางมาชม &quot;พระเมรุ&quot; รวมทั้งนิทรรศ การเกี่ยวกับสมเด็จพระ เจ้าพี่นางเธอฯ ซึ่งจัดแสดงไว้โดยรอบ ที่ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 20 พ.ย.</span></strong>\n</p>\n<p>\nพสกนิกรแห่เข้าชมความอลังการพระเมรุ สิ่งปลูกสร้าง อาคารประ กอบพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯไม่ขาดสาย เจ้าหน้าที่พระเจ้าพี่นางเธอฯไม่ขาดสาย เจ้าหน้าที่เผยเปิดให้เข้าชม 2 วัน มีผู้เข้าชมแล้วกว่า 5 แสนคน เจ้าหน้าที่ ต้องจัดคิวต่อแถวให้ขึ้นไปชมเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย เผยประชาชนส่วนใหญ่ต่างพากันถ่ายรูปพระเมรุเป็นที่ระลึก\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #3366ff\">เมื่อวันที่ 20 พ.ย. น.อ.อาวุธ เงินชูกลิ่น ประธานออกแบบจัดสร้างพระเมรุ สิ่งปลูกสร้างอาคารประกอบพิธี ในงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ กล่าวถึงการเปิดให้ประชาชนเข้าชมนิทรรศการสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ และพระเมรุ ว่า จากที่รัฐบาลได้เปิดนิทรรศการพระเมรุ ศิลปกรรมภาพวาดพระประวัติ พระกรณียกิจ 84 ภาพ และนิทรรศการอื่นๆ จัดขึ้นที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง มาตั้งแต่วันที่ 18 พ.ย. มีนักเรียน นักศึกษา และประชาชน จากทั่วทุกสารทิศให้ความสนใจ เข้าชมเป็นจำนวนมาก ทราบจากคณะทำงานกรมศิลปากรว่าแต่ละวันผู้เข้าชมหลายหมื่นคนที่เข้ามาชมความงามศิลปกรรมของพระเมรุ ทั้งประติ มากรรมรูปปั้นเทวดา สัตว์หิมพานต์ กินรี อัปสรสีหะ นกทัณฑิมา ที่ช่างสิบหมู่ได้สร้างสรรค์จินตนาการตามคติเขาพระสุเมรุ รวมทั้งพระที่นั่งทรงธรรม ที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์</span>\n</p>\n<p>\nน.อ.อาวุธ กล่าวอีกว่า ประชาชนที่เข้าชมพระเมรุนั้น ไม่อยากให้ชมแค่ความงามของพระเมรุเพียงอย่างเดียว แต่อยากให้ผู้เข้าชมได้รับความรู้สถาปัตยกรรมของพระเมรุด้วย ซึ่งเท่าที่คณะทำงานรายงานให้ทราบว่าฝ่ายจัดกิจกรรมได้ทำภาพร่างพระเมรุเสมือนจริง ขยายจากแบบร่างพระเมรุให้มีขนาดใหญ่ พร้อมใส่คำอธิบายและลูกศรประกอบไว้ว่าแต่ละชั้นมีชื่อเรียกอะไรบ้าง มาติดตั้งบริเวณหน้าพระเมรุด้านทิศใต้และเหนือ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี เพราะช่วยให้ผู้เข้าชมได้เข้าใจความหมายมากขึ้น ซึ่งตนเองยังไม่เห็นหน้าตาภาพร่างเสมือนจริง แต่โดยทั่วไปแล้วเมื่อมองผ่านภาพร่างพระเมรุเสมือนจริงที่มีลักษณะค่อนข้างใสจะเห็นเป็นภาพร่างพระเมรุทับซ้อนกับองค์พระเมรุจริง ทำให้รู้ว่าแต่ ละชั้นมีชื่อเรียกว่าอะไรบ้าง เช่น ชานชาลา ฐานพระเมรุ เทวดาทรงเครื่อง อักษรพระนาม กว หางหงส์ ใบระกา บันเชิงกลอนชั้น 1 ชั้น 2 ไล่ตามลำดับถึงชั้น 5 ปลี ลูกแก้ว เม็ดน้ำค้าง และยอดสัปตปฎลเศวตฉัตร <br />\nแห่ชม- นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั้งในกทม.และต่างจังหวัด เดินทางเข้าชม &quot;พระเมรุ&quot; รวมทั้งนิทรรศ การเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ที่จัดแสดงไว้ที่ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 20 พ.ย.\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #808000\">ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศบริเวณมณฑลพิธีท้องสนามหลวง ยังคงมีประชาชนเข้าชมนิทรรศการสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ และพระเมรุ อาคารประกอบ โดยมีประชาชน นักเรียน นักศึกษา ทั้งจากต่างจังหวัด และในเขตกรุงเทพฯ เดินทางเข้าชมพระเมรุตั้งแต่เวลา 10.00 น. จนทำให้พื้นที่บริเวณพระเมรุเนืองแน่นไปด้วยประชาชน ทั้งนี้ส่วนใหญ่เดินทางมากับครอบครัว และหมู่คณะ พร้อมกับกล้องถ่ายรูป โดยประชาชนส่วนใหญ่นิยมถ่ายภาพพระเมรุไว้เป็นที่ระลึก ขณะที่นิทรรศการในแต่ละส่วนก็ได้รับความนิยมจากประชาชนเข้าชมเช่นกัน นอก จากนี้ในส่วนของการเข้าชมพระเมรุนั้นยังคงมีประชาชนต่อแถวขึ้นชมความงามของพระเมรุอย่าง ต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่ต้องจัดระเบียบให้เข้าชมครั้งละประมาณ 40 คน เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย</span>\n</p>\n<p>\nนายพัฒนะ พยุงผล ชาว จ.ฉะเชิงเทรา กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้ชมพระเมรุในทางโทรทัศน์เท่านั้นว่าสวยงามแล้ว เมื่อมาเห็นของจริงยิ่งสวยงามกว่ามาก และยังเป็นบุญตาที่ได้มาเห็นงานช่างหลวงที่ยิ่งใหญ่ ทั้งยังได้รับความรู้จากแบบร่างพระเมรุเสมือนจริงอีกด้วย มีคำบรรยายและลูกศรของแต่ละส่วนประกอบชื่อเรียกอะไรบ้าง ทำให้เข้าใจสถาปัตยกรรมไทยมากขึ้น\n</p>\n<p align=\"center\">\n<img border=\"0\" width=\"254\" src=\"/files/u3013/1285582.jpg\" height=\"154\" />\n</p>\n<p align=\"center\">\n&nbsp;\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #800080\">ด้านนางเพลิน โชติวรรณ อายุ 58 ปี ชาว จ.นคร สวรรค์ กล่าวว่าเดินทางมาชมพระเมรุและนิทรรศการสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ กับญาติ ตั้งใจว่าเมื่อเสร็จงานพระราชพิธีฯ จะเข้ากรุงเทพฯ มาชมพระเมรุ เพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ปลูกสร้างตามแบบโบราณราชประเพณีและเป็นเอกลักษณ์ของไทย ที่ผ่านมาตนได้แต่ชมการถ่ายทอดสดพระราชพิธีจากทางโทรทัศน์เท่านั้น พอมาเห็นก็รู้สึกประทับใจ</span>\n</p>\n<p>\nผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ตลอดทั้งวันมี นักเรียน นักศึกษาและประชาชนเป็นจำนวนมากได้เข้าชมพระเมรุอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้จากการสอบถามเจ้าหน้าที่กองอำนวยการจัดนิทรรศการถึงยอดจำนวนผู้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 18-20 พ.ย. โดยเจ้าหน้าที่ได้ใช้เครื่องกดนับจำนวนคนที่ทางเข้าประตูชมนิทรรศการพระเมรุ ได้สรุปจำนวนผู้เข้าชมพระเมรุเมื่อวันที่ 19 พ.ย.ที่ผ่านมากว่า 300,000 คน และในวันนี้กว่า 200,000 คนรวมแล้วกว่า 500,000 คน\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #339966\">วันเดียวกัน นายปรีชา กันธิยะ เลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (กวช.) กล่าวถึงการเปิดให้ประชาชนดาวน์โหลดหนังสือกัลยาณิวัฒนาคาร วาลัย ว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) ได้จัดพิมพ์หนังสือ &quot;กัลยาณิวัฒนาคารวาลัย&quot; ราชประเพณีส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย จำนวน 100,000 เล่ม เพื่อแจกเป็นที่ระลึกให้แก่ประชาชนในงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระ เจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์นั้น ขณะนี้มีประชาชนขอรับหนังสือดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้จำนวนหนังสือหมดอย่างรวดเร็ว ซึ่งตนเห็นว่า จะไม่มีการพิมพ์เพิ่ม แต่จะให้ประชาชน นักเรียน นักศึกษา ดาวน์โหลดหนังสือ &quot;กัลยาณิวัฒนาคารวาลัย&quot; ได้ในเว็บไซต์ของสวช.ที่ </span><a href=\"http://www.culture.go.th/\"><span style=\"color: #339966\"><u>www.culture.go.th</u></span></a><span style=\"color: #339966\"> ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยมุ่งหวังให้หนังสือดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในการบันทึกประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงพระกรุณาธิคุณที่ทรงอุปถัมภ์งานด้านศิลปวัฒนธรรมอย่างอเนกอนันต์และความจงรักภักดีของมวลพสกนิกรที่มีต่อพระองค์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา ค้นคว้า และอ้างอิงสืบไป</span>\n</p>\n<p>\nนายปรีชา กล่าวต่อว่า สำหรับ หนังสือ &quot;กัลยาณิวัฒนาคารวาลัย&quot; ราชประเพณีส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย จัดพิมพ์ 4 สี ตลอดทั้งเล่ม มีความหนา 98 หน้า เนื้อ หาสาระสำคัญได้ประมวลเรื่องราวเกี่ยวกับพระกรุณา ธิคุณที่ทรงมีต่อ สวช. ในด้านงานศิลปะการแสดง โดยทรงรับวงดุริยางค์เยาวชนไทย และมูลนิธินาฏยศาลาหุ่นละครเล็ก ไว้ในพระอุปถัมภ์ฯ ทรงให้การสนับสนุนส่งเสริมดนตรีสากลในประเทศให้มีความก้าวหน้าทัดเทียมกับอารยประเทศ และทรงสนับสนุนส่งเสริมการแสดงหุ่นละครเล็ก เพื่ออนุรักษ์สืบสานศิลปะการแสดงหุ่นละครเล็กให้คงอยู่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมสืบไป นอกจากนี้ยังได้รวบรวมองค์ความรู้ที่ทรงคุณค่าจากราชประเพณีส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย เช่น วัฒนธรรมการถวายพระเพลิงพระบรมศพ ประเพณีการจัดโกศพระบรมศพ ตำนานการก่อสร้างพระเมรุ มาศ ราชรถในงานพระราชพิธี มหรสพส่งเสด็จ พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ เป็นต้น\n</p>\n<p>\n<strong>ขณะที่นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวว่า ในส่วนของวธ.ซึ่งได้จัดพิมพ์หนังสือเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒาฯ จำนวน 1,100,000 เล่ม ซีดี และดีวีดี รำลึกราชกัลยาณี จำนวน 10,000 ชุด หนังสือเทิดพระเกียรติฉบับอักษรเบรล จำนวน 2,000 ชุด ขณะนี้ได้แจกจ่ายให้กับประชาชนไปหมดแล้ว ส่วนการเปิดให้ประชาชนดาวน์โหลดเพลงรำลึกราชกัลยาณี จำนวน 22 เพลง นั้น ขณะนี้วธ.ยังเปิดให้ดาวน์โหลด อย่างต่อเนื่อง ที่ </strong><a href=\"http://www.m-culture.go.th/\"><strong><u><span style=\"color: #0000ff\">www.m-culture.go.th</span></u></strong></a><strong>  </strong>\n</p>\n<hr id=\"null\" />\n  \n<p align=\"center\">\n<strong><span style=\"color: #3366ff\"></span></strong>\n</p>\n<p align=\"center\">\n<strong><span style=\"color: #3366ff\">กษัตริย์ “จิกมี” เข้าพิธีราชาภิเษก ขึ้นครองภูฏานด้วยประชาธิปไตย </span> </strong>\n</p>\n<p align=\"center\">\n<strong></strong>\n</p>\n<p align=\"center\">\n<strong><img border=\"0\" width=\"335\" src=\"/files/u3013/551000014173803.jpg\" height=\"220\" /> </strong>\n</p>\n<p align=\"center\">\n<strong></strong>\n</p>\n<p align=\"center\">\n<strong>เอเอฟพี – สมเด็จพระราชาธิบดี จิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งราชอาณาจักรภูฏาน ทรงเข้าพิธีราชาภิเษกในวันนี้ (6) โดยจะทรงขึ้นปกครองประเทศระบอบประชาธิปไตยน้องใหม่ล่าสุดของโลกตามประเพณีอย่างเป็นทางการ<br />\n</strong>       <br />\nกษัตริย์หนุ่ม พระชนมพรรษา 28 พรรษา ซึ่งทรงจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 5 แห่งราชวงศ์วังชุก ที่ปกครองราชอาณาจักรภูฏาน และยังทรงเป็นกษัตริย์ที่ทรงพระเยาว์มากที่สุดในโลก</p>\n<p>พระองค์ทรงขึ้นครองราชสมบัติเป็นประมุขภูฏาน ในปลายปี 2006 หลังจากสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก พระมหากษัตริย์ลำดับที่ 4 แห่งราชวงศ์วังชุก พระราชบิดาของพระองค์สละราชสมบัติ และมอบอำนาจให้พระองค์สืบทอดต่อไป</p>\n<p>อดีตกษัตริย์อันทรงเป็นที่เคารพรักของประชาชน ด้วยพระชนมพรรษา 52 พรรษา ทรงตัดสินพระทัยลงจากราชบัลลังก์ ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลในการปฏิรูป และปรับประเทศให้ทันสมัย ด้วยการยุติระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่ราชวงศ์ของพระองค์ใช้ปกครองประชาชนกว่า 600,000 คนมายาวนาน</p>\n<p>ทั้งนี้ ภูฏานได้จัดการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยครั้งแรก เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี และรัฐสภาใหม่ ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยพรรคของอดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัยได้ชัยชนะไปอย่างถล่มทลาย\n</p>\n<p>ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ 6 พฤศจิกายน 2551\n</p>\n<div align=\"center\">\n<hr id=\"null\" />\n</div>\n<div align=\"center\">\n</div>\n<div align=\"center\">\n</div>\n<div align=\"center\">\n</div>\n<div align=\"center\">\n</div>\n<div align=\"center\">\n</div>\n<div align=\"center\">\n</div>\n<div align=\"center\">\n</div>\n<div align=\"center\">\n<strong><span style=\"color: #3366ff\">&quot;พอล ครุกแมน&quot; ได้โนเบลเศรษฐศาสตร์ </span></strong>\n</div>\n<div align=\"center\">\n<strong><span style=\"color: #3366ff\"></span></strong>\n</div>\n<div align=\"center\">\n<strong><span style=\"color: #3366ff\"></span></strong>\n</div>\n<div align=\"center\">\n<strong><span style=\"color: #3366ff\"></span></strong>\n</div>\n<div align=\"center\">\n<img border=\"0\" width=\"300\" src=\"/files/u3013/sommanukka.jpg\" height=\"218\" />\n</div>\n<div align=\"center\">\n</div>\n<div align=\"center\">\n</div>\n<div align=\"center\">\n</div>\n<p align=\"center\">\nคณะกรรมการรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ประกาศมอบรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ประจำปี 2008 ให้แก่พอล ครุกแมน นักเศรษฐศาสตร์ชาวสหรัฐฯ\n</p>\n<p align=\"center\">\nเอเจนซี/เอเอฟพี - นักเศรษฐศาสตร์อเมริกัน พอล ครุกแมน ผู้วิพากษ์วิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนที่สุดคนหนึ่งต่อนโยบายของคณะรัฐบาลบุช ซึ่งเขามองว่าเป็นตัวการนำมาสู่วิกฤตทางการเงินในปัจจุบัน ได้รับการประกาศเมื่อวานนี้ (13) ว่า เป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ประจำปี 2008\n</p>\n<p align=\"center\">\nคณะกรรมการรางวัลโนเบล แถลงว่า ให้รางวัลสำหรับผลงานของครุกแมนที่ช่วยอธิบายว่า ทำไมบางประเทศจึงครอบงำการค้าระหว่างประเทศ โดยที่เขาทำงานพัฒนาทฤษฎีนี้ตั้งแต่งานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ไว้เมื่อเกือบ 30 ปีก่อน\n</p>\n<p align=\"center\">\nครุกแมน ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่รู้จักกันกว้างขวาง ในฐานะเป็นคอลัมนิสต์ประจำของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ได้ถูกจับตามองมานานแล้วว่าจะได้รับรางวัลโนเบล เวลานี้เขาเป็นศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์และกิจการระหว่างประเทศ ที่มหาวิทยาลัยพรินซตัน, สหรัฐอเมริกา\n</p>\n<p align=\"center\">\n&quot;เวลานี้เรากำลังเป็นประจักษ์พยานของวิกฤตซึ่งมีความสาหัสพอๆ กับวิกฤตที่เล่นงานเอเชียในทศวรรษ 1990 วิกฤตคราวนี้มีส่วนละม้ายคล้ายคลึงบางประการกับวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำครั้งมโหฬาร (ในทศวรรษ 1930)&quot;\n</p>\n<p align=\"center\">\nเขายกย่องความพยายามของผู้นำโลกที่รีบหาทางหยุดยั้งไม่ให้เลือดไหลออกทะลักจากระบบการเงินต่อไปอีก พร้อมกับบอกว่า &quot;ผมรู้สึกสยดสยองน้อยลงหน่อยในวันนี้ เมื่อเทียบกับที่ผมรู้สึกในวันศุกร์ (10)&quot;\n</p>\n<p align=\"center\">\nทั้งนี้ บรรดาผู้วางนโยบายระดับโลกได้ประชุมหารือกันในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ตามเวทีต่างๆ ทั้งการประชุมจี 7, จี 20, ไอเอ็มเอฟ, เวิลด์แบงก์ ที่กรุงวอชิงตัน และการประชุมระดับผู้นำของกลุ่มยูโรโซนที่กรุงปารีส จากนั้นก็ประกาศใช้มาตรการอันรุนแรงในการช่วยชีวิตแบงก์และสถาบันการเงิน\n</p>\n<p align=\"center\">\nงานเขียนล่าสุดในคอลัมน์ของเขาที่นิวยอร์กไทมส์ซึ่งตีพิมพ์เมื่อวานนี้ ครุกแมนได้ยกย่องอังกฤษที่ขบคิดได้อย่างกระจ่างชัด และปฏิบัติการอย่างว่องไวเพื่อแก้ไขวิกฤต ซึ่งช่างแตกต่างไปจากสหรัฐฯ\n</p>\n<p align=\"center\">\nที่ผ่านมา ครุกแมนวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของคณะรัฐบาลประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช อย่างดุเดือด โดยบอกว่าความกระตือรือร้นอย่างเกินงามในเรื่องการลดเลิกระเบียบกฎเกณฑ์กำกับตรวจสอบ และการใช้นโยบายการคลังแบบผ่อนคลายวินัย มีส่วนช่วยจุดชนวนให้เกิดการล้มครืนของระบบการเงินในเวลานี้\n</p>\n<p align=\"center\">\nคณะกรรมการรางวัลโนเบล บอกว่า รางวัลที่มีมูลค่า 10 ล้านคราวน์ (1.4 ล้านดอลลาร์) มอบให้แก่ครุกแมน สำหรับการที่เขาได้สร้างทฤษฎีใหม่ที่ใช้อธิบายว่าอะไรเป็นแรงขับดันกระบวนการสร้างเมืองใหญ่ขึ้นในทั่วโลก\n</p>\n<p align=\"center\">\nในประกาศมอบรางวัลของคณะกรรมการรางวัลโนเบล ได้ยกย่องครุกแมนสำหรับวิธีการศึกษา &quot;ที่วางพื้นฐานอยู่บนสมมุติฐานที่ว่า สินค้าและบริการจำนวนมากสามารถที่จะผลิตได้ถูกลงมากเมื่อผลิตเป็นชุดยาวๆ อันเป็นแนวคิดที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า &quot;การประหยัดอันเกิดจากขนาด&quot; (economies of scale)&quot;\n</p>\n<p align=\"center\">\nทฤษฎีของเขาแสดงให้เห็นว่า โลกาภิวัตน์มีความโน้มเอียงที่จะเพิ่งแรงกดดันต่อการพำนักอาศัยตามเมืองใหญ่ เพราะความต้องการผู้ทำงานอย่างชำนาญเฉพาะด้าน จะดูดกลืนผู้คนให้เข้าสู่ศูนย์แห่งการรวมตัวเข้มข้นเหล่านี้ โดยผ่านกระบวนการต่างๆ ซึ่งสามารถทำให้ ใน &quot;ภูมิภาคต่างๆ ถูกแบ่งแยกออกเป็นแกนกลางลักษณะเป็นตัวเมืองใหญ่ที่มีเทคโนโลยีสูง และพื้นที่ชายขอบซึ่งมีการพัฒนาน้อยกว่า&quot; ประกาศของคณะกรรมการรางวัลโนเบลแจกแจง\n</p>\n<p align=\"center\">\nทฤษฎีการค้าเดิมๆ ถือเอาว่าความแตกต่างระหว่างประเทศต่างๆ สามารถนำมาใช้อธิบายได้ว่าทำไมบางประเทศจึงส่งออกผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ขณะที่ประเทศอื่นๆ ส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ทฤษฎีเช่นนี้เท่ากับมองภาพทิศทางเอาไว้ว่า บางประเทศสามารถที่จะปรับปรุงยกระดับสถานการณ์ของพวกเขาด้วยการแสดงตนคอยเสริมคอยเติมให้คนอื่น\n</p>\n<p align=\"center\">\nทว่า สำหรับ ครุกแมน แล้ว ทฤษฎีของเขา อธิบายอย่างชัดแจ้งว่า ทำไมในทางเป็นจริงแล้วการค้าทั่วโลกจึงถูกครอบงำโดยบางประเทศซึ่งไม่เพียงมีเงื่อนไขทำนองเดียวกันเท่านั้น แต่ยังค้าขายในผลิตภัณฑ์ทำนองเดียวกันอีกด้วย คณะกรรมการกล่าว\n</p>\n<p align=\"center\">\nสำหรับประวัติส่วนของนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลคนล่าสุดผู้นี้ ครุกแมนเกิดที่นครนิวยอร์กในปี 1953 เขาสำเร็จการศึกษาขั้นปริญญาเอกจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (เอ็มไอที) และผ่านการสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยชื่อดังหลายแห่ง ทั้งเยล,เอ็มไอที และสแตนฟอร์ด จากนั้นได้มาสอนที่พรินซตันตั้งแต่ปี 2000\n</p>\n<p align=\"center\">\nนอกเหนือจากเขียนคอลัมน์ที่นิวยอร์กไทมส์แล้ว ครุกแมน ยังเขียนหนังสือพิมพ์เป็นเล่มมา 20 เล่ม และเขียนรายงานต่างๆ มากกว่า 200 ชื้น\n</p>\n<p>\nที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ 14 ตุลาคม 2551\n</p>\n<div>\n<hr id=\"null\" />\n</div>\n<p align=\"center\">\n&nbsp;\n</p>\n<p align=\"center\">\n<strong><span style=\"color: #3366ff\">จารึกวัดโพธิ์ ได้รับเลือกเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกสิ่งใหม่ของไทย </span></strong>\n</p>\n<p align=\"center\">\nจารึกวัดโพธิ์ ได้รับการขึ้นทะเบียนรับรองให้เป็นมรดกโลกแห่งใหม่ของเมืองไทย จากยูเนสโก โดยในวันที่ 31 มี.ค.นี้ ทางวัดโพธิ์จะจัดงานรับมรดกความทรงจำแห่งโลก และงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ที่โปรดเกล้าฯให้มีการจารึกสรรพวิทยาการต่างๆ ในวัดโพธิ์แห่งนี้ควบคู่กันไป ดร.มรว.รุจยา อาภากร คณะที่ปรึกษา คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจำแห่งโลก กล่าวว่า จารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือวัดโพธิ์ ได้รับการขึ้นทะเบียนรับรองให้เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก (Memory of the World) จากองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือองค์การยูเนสโก (UNESCO) โดยได้มีการรับรองแล้วที่ประเทศออสเตรเลีย และจะมีการส่งมอบเอกสารการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกให้แก่วัดพระเชตุพนฯในวันที่ 31 มีนาคมนี้ พร้อมกับที่ทางวัดจะจัดงานรับมรดกความทรงจำแห่งโลก และงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ที่โปรดเกล้าฯให้มีการจารึกสรรพวิทยาการต่างๆ ในวัดโพธิ์แห่งนี้\n</p>\n<p align=\"center\">\nทั้งนี้ แผนงานของยูเนสโกว่าด้วยความทรงจำแห่งโลก (Memory of the World Program) เป็นแผนงานที่องค์การยูเนสโก กำหนดให้มีขึ้นเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2535 โดยการเชิญผู้เชี่ยวชาญ ด้านสารนิเทศจากองค์กรภาครัฐ และภาคเอกชนจากทั่วโลก มาประชุมหารือร่วมกันแผนงานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการอนุรักษ์ และการเผยแพร่มรดกภูมิปัญญาของโลก ที่บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกไว้ในรูปแบบใดๆ และไม่ว่าจะผลิตในประเทศใด ถือว่าเป็นแหล่งรวมความคิด ความรู้ ประสบการณ์ ที่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายทั้งในด้านของวัฒนธรรม และความคิดริเริ่มของมนุษยชาติ\n</p>\n<p>\nที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ 17 มีนาคม 2551\n</p>\n<div>\n<hr id=\"null\" />\n</div>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p align=\"center\">\n<strong><span style=\"color: #3366ff\">คลี่ปมปริศนาอนุสาวรีย์หิน &quot;สโตนเฮนจ์&quot; ที่แท้คือสุสานโบราณ</span></strong>\n</p>\n<p align=\"center\">\n<img border=\"0\" width=\"400\" src=\"/files/u3013/551000007560201.jpg\" height=\"212\" />\n</p>\n<p align=\"center\">\n&nbsp;\n</p>\n<p>\n&quot;สโตนเฮนจ์&quot; กองหินยักษ์อายุกว่า 5,000 ปี ที่อยู่ทางตอนใต้ของอังกฤษเป็นปริศนามายาวนานนับศตวรรษที่คนยุคหลังสงสัยว่าแท้จริงคือสถานที่อันใดกันแน่ บ้างก็ว่าเป็นหอดูดาว บ้างก็ว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิในสมัยโบราณ แต่ในที่สุดนักวิทยาศาสตร์ก็คลายปมจนได้ว่าที่แท้ก็เป็นสถานที่ประกอบพิธีศพของชนเผ่ามนุษย์ยุคก่อนคริสตกาล\n</p>\n<p>\nวารสารนิวไซเอนติสต์รายงานว่าคณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์ (University of Sheffield) สหราชอาณาจักร ที่นำทีมโดยไมค์ ปาร์กเกอร์ เพียร์สัน (Mike Parker Pearson) ได้พิสูจน์โครงกระดูกของมนุษย์โบราณที่ขุดค้นได้ในบริเวณที่ตั้งของ &quot;สโตนเฮนจ์&quot; (Stonehenge) กองหินขนาดยักษ์ในเมืองวิลท์ไชร์ทางตอนใต้ของอังกฤษ พบหลักฐานบ่งชี้ว่าอนุสาวรีย์หินดังกล่าวเป็นสถานที่ประกอบพิธีศพและเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความตายของกลุ่มชนชั้นสูงในยุคก่อนประวัติศาสตร์\n</p>\n<p>\nนักวิจัยใช้วิธีตรวจวัดการแผ่รังสีของธาตุคาร์บอนเพื่อคำนวณอายุของโครงกระดูกและฟันที่ขุดขึ้นมาได้จากบริเวณดังกล่าวตั้งแต่เมื่อช่วงทศวรรษที่ 50 ผลการพิสูจน์บ่งชี้ว่าโครงกระดูกเหล่านั้นถูกฝังอยู่ในบริเวณดังกล่าวตั้งแต่ประมาณเมื่อ 3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่สโตนเฮนจ์เริ่มถูกสร้างขึ้น และคาดว่าน่าจะถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีศพสำหรับชนชั้นสูงในสมัยยุคหินยาวนานต่อเนื่องกันไม่ต่ำกว่า 500 ปี ขณะที่ก่อนหน้านี้นักโบราณคดีเคยสันนิษฐานไว้ว่าบริเวณดังกล่าวถูกใช้เป็นฌาปนสถานแค่ในระหว่าง 2,800-2,700 ปีก่อนคริสต์ศักราชเท่านั้น\n</p>\n<p>\n&quot;ผมไม่คิดว่าคนธรรมดาสามัญจะได้รับการประกอบพิธีศพที่บริเวณสโตนเฮนจ์นี้แน่นอน&quot; เพียร์สันแสดงความคิดเห็นพร้อมกับแจงต่อว่านักโบราณคดีต่างสันนิษฐานกันเรื่อยมาว่าสโตนเฮนจ์อาจถูกสร้างขึ้นโดยชนชั้นปกครองหรือบางทีอาจเป็นราชวงศ์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ และจากหลักฐานใหม่ที่ได้ก็บ่งชี้ว่าเป็นตามนั้น อีกทั้งยังถูกใช้เป็นสุสานของกลุ่มคนเหล่านั้นด้วย\n</p>\n<p>\nหนังสือพิมพ์เดลิเมล์ของสหราชอาณาจักรระบุว่าสโตนเฮนจ์ส่วนแรกถูกสร้างขึ้นเมื่อราว 3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยถูกขุดให้เป็นร่องดินและกำแพงดินล้อมเป็นวงกลมที่ประกอบด้วยหลุมจำนวน 56 หลุมที่บรรจุเสาไม้ไว้ภายใน ต่อมา 2,600 ปีก่อนคริสต์ศักราช หินสีน้ำเงิน (bluestone) จำนวน 82 ก้อน ซึ่งบางก้อนหนักถึง 4 ตัน ได้ถูกลำเลียงมาตั้งไว้เป็นวงกลม 2 วงภายในกำแพงดินดังกล่าว และหลังจากนั้นอีกราว 150 ปี หินซาร์เซน (sarsen stone) จำนวนหนึ่งซึ่งแต่ละก้อนหนักราว 50 ตันก็ถูกลำเลียงมาไว้ในบริเวณเดียวกันและกลายเป็นสโตนเฮนจ์ที่เราเห็นกันในปัจจุบัน\n</p>\n<p>\nเดลิเมล์รายงานต่อว่าเมื่อช่วงหลายสิบปีก่อนนักโบราณคดีขุดค้นพบสุสานจำนวน 52 สุสานที่อยู่บริเวณรอบสโตนเฮนจ์ โดยโครงกระดูกจากสุสาน 3 แห่ง ถูกเคลื่อนย้ายนำไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ซาลิสเบอรี (Salisbury Museum) ซึ่งโครงกระดูกเหล่านี้เองที่นักวิจัยใช้เป็นตัวอย่างศึกษา โครงกระดูกที่มีอายุมากที่สุดอยู่ระหว่าง 3030-2880 ปีก่อนคริสต์ศักราช เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่หลุมฝังศพในโสตนเฮนจ์ถูกสร้างขึ้น โครงกระดูกถัดมามีอายุราว 2930-2870 ปีก่อนคริสต์ศักราช และโครงกระดูกสุดท้ายมีอายุ 2570-2340 ปีก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หินซาร์เซนถูกลำเลียงมาไว้ที่สโตนเฮนจ์\n</p>\n<p>\nกลุ่มนักวิจัยเชื่อว่าน่าจะมีร่างที่ถูกฝังอยู่ที่บริเวณสโตนเฮนจ์มากถึง 240 ร่าง ทั้งนี้เมื่อปีที่แล้วนักวิจัยทีมเดียวกันนี้เคยพบหลักฐานสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ในละแวกใกล้เคียงกับสโตนเฮนจ์ด้วย ซึ่งพวกเขาสันนิษฐานว่าสถานที่ทั้ง 2 แห่งเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทีมีความสัมพันธ์กัน\n</p>\n<p>\nอย่างไรก็ดีนิวไซเอนติสต์รายงานว่าคริสโตเฟอร์ ชิปปินเดล (Christopher Chippindale) นักวิชาการประจำพิพิธภัณฑ์โบราณคดีและมานุษยวิทยา (Museum of Archaeology and Anthropology) มหาวิทยาลัยเครมบริดจ์ (University of Cambridge) แสดงความเห็นว่า แม้ว่าผลการพิสูจน์การแผ่รังสีของธาตุคาร์บอนจากโครงกระดูกที่ถูกขุดมาจากบริเวณสโตนเฮนจ์จะบ่งชี้ว่าสโตนเฮนจ์ถูกใช้เป็นสุสาน ก็ไม่ได้หมายความว่านั่นคือจุดประสงค์แรกมนุษย์ยุคก่อนสร้างสโตนเฮนจ์ขึ้นมา\n</p>\n<p>\nเช่นเดียวกับวัดหรือโบสถ์ที่มีหลุมฝังศพจำนวนมาก แต่นั่นก็ไม่ใช่จุดประสงค์แรกที่สร้างโบสถ์นั้นขึ้นมา เขายังระบุอีกว่าความจริงเรื่องนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความน่าฉงนทั้งหมด ยังไม่ใช่คำตอนสุดท้ายที่พวกเราต้องการ\n</p>\n<p>\nที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ 15 มิถุนายน 2551 \n</p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<hr id=\"null\" />\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p>\n <strong><span style=\"color: #3366ff\">จีนเปิดตัวสะพานข้ามทะเลอ่าวหังโจว</span></strong>\n</p>\n<p>\n<strong><span style=\"color: #3366ff\"><img border=\"0\" width=\"500\" src=\"/files/u3013/551000005597301.jpg\" height=\"343\" /></span></strong>\n</p>\n<p>\nซินหัวเน็ต / เอเอฟพี /รอยเตอร์- จีนเปิดตัวสะพานข้ามทะเลที่ยาวที่สุดในโลกอย่างเป็นทางการ ในตอนบ่ายของวันพฤหัสบดี(1พ.ค.)หลังก่อสร้างมานานกว่า 5 ปี และได้เปิดทดลองให้รถวิ่งในเวลาเที่ยงคืนวันเดียวกัน\n</p>\n<p>\nสะพานดังกล่าวเป็นเส้นทางเชื่อมระหว่างเมืองเจียซิงซึ่งอยู่ใกล้กับนครเซี่ยงไฮ้ กับเมืองท่าหนิงปอของมณฑลเจ้อเจียง ด้วยความยาวทั้งสิ้น 36 กิโลเมตร งบประมาณในการก่อสร้าง 11,800 ล้านหยวน หรือ 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐ\n</p>\n<p>\nโดยสะพานดังกล่าวช่วยร่นระยะทางทางบกจากเซี่ยงไฮ้สู่หนิงปอได้กว่า 120 กิโลเมตร อีกทั้งโครงสร้างของสะพานยังสร้างเป็นถนน 6 ช่องทาง ซึ่งจีนเชื่อว่าจะสามารถเอื้อประโยชน์อย่างมากทางด้านเศรษฐกิจและช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัดที่ยังเป็นปัญหาหลักในเขตเศรษฐกิจต่างๆทางภาคใต้ของจีน\n</p>\n<p>\n <img border=\"0\" width=\"399\" src=\"/files/u3013/551000005597302.jpg\" height=\"265\" />\n</p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p>\n<img border=\"0\" width=\"500\" src=\"/files/u3013/551000005597304.jpg\" height=\"333\" />\n</p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p>\n<img border=\"0\" width=\"500\" src=\"/files/u3013/551000005597306.jpg\" height=\"320\" />\n</p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p>\nที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ 1 พฤษภาคม 2551\n</p>\n<hr id=\"null\" />\n<p>\n<span style=\"font-size: small; color: #0000ff\"></span>\n</p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: small; color: #0000ff\"> 14 สไตล์มรณะ ปัจจัยเสี่ยง&quot;มะเร็ง&quot;</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: small; color: #0000ff\"></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: small; color: #0000ff\"></span>\n</p>\n<div style=\"text-align: center\">\n<img border=\"0\" width=\"200\" src=\"/files/u3013/1285669.jpg\" height=\"201\" />\n</div>\n<p>\n<span style=\"font-size: small; color: #0000ff\"></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: small; color: #0000ff\">มะเร็งร้ายคอยแทรกตัวเข้าไปในหลอดเลือดเพื่อเกาะไปกับกระแสเลือดให้พามันไปฝังตัวตามอวัยวะสำคัญของร่างกายทุกที่ที่เลือดไปเลี้ยงถึง</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: small; color: #0000ff\">เซลล์มะเร็งเป็นคล้ายสัตว์กินเนื้อที่ดำรงชีพอยู่ได้ด้วยการแตกรากออกไปดูดกินสารอาหารจากในร่างกายจนทำให้ผ่ายผอมและกลายเป็นรังมะเร็งในที่สุด</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: small; color: #0000ff\">แต่ถ้าท่านยังไม่อยากสร้างสิ่งมหัศจรรย์ในกายประเภทสวนลอยแห่งมะเร็งไว้แข่งกับบาบิโลน ก็ขอให้เลี่ยงวิถีที่จะเปลี่ยนกายให้เป็นแม่เหล็กดูดมะเร็งชั้นดี ขอให้เลี่ยงพฤติกรรมที่มะเร็งโปรดทั้งหลายต่อไปนี้ครับ</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\"><strong>1) นอนดึก</strong></span> ทำให้ไม่มีฮอร์โมนต้านมะเร็งหลั่งออกมา นอกจากนั้นยังจะทำให้เกิดโรคร้ายอื่นได้ เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง และโรคอ้วน ด้วยว่าเมื่อนอนดึกแล้วมักจะหิวและต้องหาของขบเคี้ยวมากินแก้ปากว่างกัน\n</p>\n<p>\n<strong><span style=\"color: #0000ff\">2) คึกสูบบุหรี่และขี้เหล้า</span></strong> ทั้งสองสิ่งนี้ทำให้ปอดและตับทำงานหนัก แม้จะสูบซิการ์ซึ่งมีนิโคตินต่ำกว่าบุหรี่ก็ตามที หรือดื่มเหล้าแบบกลั่นอย่างดีของฝรั่ง แต่ตัวมันเองก็สร้าง &quot;สนิมมะเร็ง&quot; ออกมาไม่น้อย ทำให้คนที่เสพทั้งแก่เร็วและตายไวได้จากโรคมะเร็งครับ\n</p>\n<p>\n<strong><span style=\"color: #0000ff\">3) เอาแต่ไขมันเข้าปากและอยากแต่เนื้อแดง</span></strong> ไขมันอิ่มตัวและโปรตีนจากเนื้อนั้นเป็นแหล่งอาหารชั้นหนึ่งของมะเร็งที่จะใช้เจริญเติบโตได้ไม่แพ้ทารกเกิดใหม่ มันจะสร้างหลอดเลือดยื่นไปดูดกินเลือดเนื้อของเราจนแทบไม่เหลือเลือดอันสมบูรณ์ไปเลี้ยงอวัยวะอื่น ตัวเราจึงผอมเอาๆ ตรงข้ามกับมะเร็งกาฝากที่โตไวไม่มีลิมิตชีวิตหดหู่แน่\n</p>\n<p>\n<strong><span style=\"color: #0000ff\">4) แฝงด้วยเครียดจัด</span></strong> จนมีสารทุกข์หลั่งออกมาหล่อเลี้ยงมะเร็งให้โตขึ้นเร็วราวกับน้ำมันราดบนกองไฟให้คุโชนขึ้น\n</p>\n<p>\n<strong><span style=\"color: #0000ff\">5) ไวรัสตับอักเสบบีและมีภูมิแพ้ที่รักษาไม่หาย</span></strong> ดังที่กล่าวไปว่าถ้าภูมิดีก็มีพลังต้านมะเร็งได้ตั้งแต่ในเซลล์แรกที่อุตริเกิดขึ้นมา ด้วยตามปกติในกายเราก็มีเซลล์แบบมะเร็งนี้เกิดขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ ทุกวัน\n</p>\n<p>\n<strong><span style=\"color: #0000ff\">6) ปล่อยกายให้อ้วน</span></strong> สร้างให้เกิดธาตุแก่ออกมาแช่อิ่มอวัยวะภายในร่างกาย และไขมันตามตัวยังสร้างให้เกิดฮอร์โมนกระตุ้นให้มะเร็งแบ่งตัวดีขึ้นด้วย\n</p>\n<p>\n<strong><span style=\"color: #0000ff\">7) ล้วนขาดวิตามิน</span></strong> ด้วยวิตามินทำหน้าที่ต้านเชื้อมะเร็งให้ดับเป็นจุณไปก่อนที่จะเผยอหน้าขึ้นมาแบ่งตัวปนเปไปในร่างกายเรา\n</p>\n<p>\n<strong><span style=\"color: #0000ff\">8) กินของร้อนจัดไป</span></strong> เช่น ซดชาร้อนหรือกาแฟร้อนจัดประเภทควันฉุย จะไปลวกให้เซลล์หลอดอาหารอักเสบอยู่ทุกบ่อย เมื่ออักเสบเป็นอาจิณก็จะมีโอกาสเปลี่ยนไปเป็นเซลล์มะเร็งง่ายขึ้น\n</p>\n<p>\n<strong><span style=\"color: #0000ff\">9) ทำให้คอเลสเตอรอลลดต่ำ</span></strong> พบว่าถ้าต่ำเกินไปก็ไม่ดีครับ มีผลกับภูมิคุ้มกันที่แย่ลง เมื่อภูมิต่ำแล้วก็จะหมดปัญญาต้านเซลล์มะเร็งที่จะเข้ามาหา\n</p>\n<p>\n<strong><span style=\"color: #0000ff\">10) ทำกลั้นปัสสาวะ</span></strong> น้ำปัสสาวะเป็นของเสียยิ่งอยู่นิ่งเป็นเวลานานจากการอั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำนิ่งในคลองแสนแสบ ซึ่งทิ้งไว้ไม่นานจะกลายเป็นน้ำเน่า แต่ถ้าเน่าในกระเพาะฉี่เราก็มีผลให้เกิดเซลล์มะเร็งงอกขึ้นมาได้\n</p>\n<p>\n<strong><span style=\"color: #0000ff\">11) ปะทะเค็มจัด</span></strong> พบว่าสิ่งมีชีวิตที่ทานอาหารเค็มมีอัตราการเกิดมะเร็งสูงกว่า โดยเฉพาะในอาหารจำพวกเนื้อเค็ม เนื้อแห้ง หมูแดง ที่นอกจากเค็มแล้วยังมีสีแดงดีจากดินประสิวอีกด้วย\n</p>\n<p>\n<strong><span style=\"color: #0000ff\">12) ประวัติมะเร็งในครอบครัว</span></strong> มะเร็งร้ายในครอบครัวบางอย่างสามารถถ่ายทอดมาทางพันธุกรรมได้ แม้จะไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์แต่ต้องรับไว้ด้วยความไม่เต็มใจ เช่น มะเร็งเต้านม, มะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่ถ้าป้องกันไว้ดีๆ แล้วบางทีก็ไม่เกิดขึ้นมาครับ\n</p>\n<p>\n<strong><span style=\"color: #0000ff\">13) ตัวตากแดดบ่อย</span></strong> แสงแดดเป็นรังสีที่กระตุ้นอณูเซลล์ของคุณให้สะดุ้งตกใจจนเครื่องในรวนหมดครับ เมื่อเครื่องในรวนแล้วก็ไม่สามารถที่จะคุมการแบ่งตัวได้ ทำให้แบ่งต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งกลายเป็นก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ\n</p>\n<p>\n<strong><span style=\"color: #0000ff\">14) ไม่ค่อยช่วยใคร</span></strong> ถ้าพูดให้ง่ายเข้าคือ เห็นแก่ตัวและไม่ค่อยได้ทำบุญนั่นเอง เพราะเมื่อใดก็ตามที่ได้หมั่นช่วยเหลือผู้อื่นจนชินแล้วเรามักไม่ค่อยได้นึกถึงตัวเองนัก และเมื่อไม่หมกมุ่นกับตัวเองแล้วก็ไม่ค่อยเกิดความ &quot;อยาก&quot; อันนำไปสู่ความเครียดร้อนอกร้อนใจ หรือถ้าไม่มีเวลาก็แค่อนุโมทนากับบุญที่เราได้พานพบก็ทำให้มี &quot;สารสุข&quot; หลั่งออกมาเสริมภูมิรู้สู้มะเร็งแล้วครับ\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: medium; color: #0000ff\">ด้วยวิถีแห่งการมี &quot;ไลฟสไตล์มรณะ&quot; ทั้ง 14 ประการดังที่ได้กล่าวไปก็จะทำให้ได้มะเร็งมาเป็นเจ้าของอย่างง่ายดาย</span>\n</p>\n<p>\nหากท่านใดสนใจเคล็ดวิธีต้านมะเร็ง ขอเชิญไปในงานมหกรรมชีววิทยาศาสตร์ครั้งใหญ่ &quot;ไบโอเอเชีย 2008 &quot; นี้ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ ตั้งแต่วันที่ 25-27 พฤศจิกายน ซึ่งจะมีทั้งศาสตร์การคลายเครียดให้จิตใจและให้หนุ่มสาว ฯลฯ\n</p>\n<p>\n<strong>โดย นพ.กฤษดา ศิรามพุช, </strong>พบ.(จุฬาฯ) ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์อายุรวัฒน์ (American Board of Anti-aging medicine)\n</p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<hr id=\"null\" />\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p>\n<strong><span style=\"color: #3366ff\">การเดินของ &quot;มด&quot; อาจแก้ปัญหารถติดได้นะ!</span></strong>\n</p>\n<p>\n<strong><span style=\"color: #3366ff\"><img border=\"0\" width=\"200\" src=\"/files/u3013/1285584.jpg\" height=\"134\" /></span></strong>\n</p>\n<p><strong><span style=\"color: #3366ff\"></span></strong></p>\n<p>\n<strong><span style=\"font-size: small; color: #800000\">เคยเห็นไหมว่า มดมันเดินสวนกันเป็นทางยาว แต่มันเดินแบบสบายๆ เหมือนกับไม่มีการชนกัน มันทำได้อย่างไร?</span></strong>\n</p>\n<p>\nดร.เดิร์ก เฮลบิง ผู้เชี่ยวชาญด้าน Collective Intelligent หรือ <span style=\"color: #3366ff\"><strong>&quot;อัจฉริยะรวมหมู่&quot;</strong></span> ซึ่งเป็นการทำงานที่ยิ่งผู้ทำมีมากเท่าใด ยิ่งเก่งขึ้นไปเรื่อยๆ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเดรสเดน ประเทศเยอรมนี อธิบายว่า &quot;สมองของมดมีเซลล์กว่า 250,000 เซลล์ ซึ่งมากที่สุดเมื่อเทียบกับเพื่อนแมลงอื่นๆ\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #808000\">ดร.เฮลบิง ได้ทดลองเพราะเชื่อว่า การศึกษาการเดินของมด อาจช่วยแก้ปัญหารถติด ซึ่งคณะของเขาสร้าง &quot;มอเตอร์เวย์มด&quot; ขึ้นมา 2 สาย ให้มีความกว้างต่างกัน โดยทั้ง 2 สายเชื่อมระหว่างรังมดและน้ำเชื่อม</span>\n</p>\n<p>\n<strong>ผลปรากฏว่า ไม่นานนักทางสายแคบก็เกิดติดขัดขึ้นมา จนมดที่เดินสวนกันชนกัน ทำให้มดในทางที่เดินกลับไปยังรังผลักมดที่เดินออกจากรัง เพื่อให้ไปสร้างทางสายใหม่ ทางมดจึงไม่เคยติดหนักเหมือนกับทางรถยนต์</strong>\n</p>\n<p>\n ที่มาจากหนังสือพิมพ์ ข่าวสด 21 November 2008, 09:55 </p>\n<table width=\"100%\">\n<tbody>\n<tr>\n<td align=\"right\">\n<!-- poll --><!-- poll --></td>\n</tr>\n</tbody>\n</table>\n\n<hr id=\"null\" />\n\n<p>\n<strong><span style=\"color: #3366ff\"></span></strong>\n</p>\n<p>\n<strong><span style=\"color: #3366ff\"></span></strong>\n</p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n', created = 1719051855, expire = 1719138255, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:b7ac03ff6d8221a8b93ffbb2201fe182' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.

!!~~Evention Update~~!!

รูปภาพของ sss26792

 ตื่นตา..สุดอลังการ! แห่เข้าชม "พระเมรุ" 2 วันกว่า 5 แสนคน 

ชมพระเมรุ- นักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วไป ทั้งในกรุงเทพฯ และจากต่างจังหวัด เดินทางมาชม "พระเมรุ" รวมทั้งนิทรรศ การเกี่ยวกับสมเด็จพระ เจ้าพี่นางเธอฯ ซึ่งจัดแสดงไว้โดยรอบ ที่ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 20 พ.ย.

พสกนิกรแห่เข้าชมความอลังการพระเมรุ สิ่งปลูกสร้าง อาคารประ กอบพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯไม่ขาดสาย เจ้าหน้าที่พระเจ้าพี่นางเธอฯไม่ขาดสาย เจ้าหน้าที่เผยเปิดให้เข้าชม 2 วัน มีผู้เข้าชมแล้วกว่า 5 แสนคน เจ้าหน้าที่ ต้องจัดคิวต่อแถวให้ขึ้นไปชมเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย เผยประชาชนส่วนใหญ่ต่างพากันถ่ายรูปพระเมรุเป็นที่ระลึก

เมื่อวันที่ 20 พ.ย. น.อ.อาวุธ เงินชูกลิ่น ประธานออกแบบจัดสร้างพระเมรุ สิ่งปลูกสร้างอาคารประกอบพิธี ในงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ กล่าวถึงการเปิดให้ประชาชนเข้าชมนิทรรศการสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ และพระเมรุ ว่า จากที่รัฐบาลได้เปิดนิทรรศการพระเมรุ ศิลปกรรมภาพวาดพระประวัติ พระกรณียกิจ 84 ภาพ และนิทรรศการอื่นๆ จัดขึ้นที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง มาตั้งแต่วันที่ 18 พ.ย. มีนักเรียน นักศึกษา และประชาชน จากทั่วทุกสารทิศให้ความสนใจ เข้าชมเป็นจำนวนมาก ทราบจากคณะทำงานกรมศิลปากรว่าแต่ละวันผู้เข้าชมหลายหมื่นคนที่เข้ามาชมความงามศิลปกรรมของพระเมรุ ทั้งประติ มากรรมรูปปั้นเทวดา สัตว์หิมพานต์ กินรี อัปสรสีหะ นกทัณฑิมา ที่ช่างสิบหมู่ได้สร้างสรรค์จินตนาการตามคติเขาพระสุเมรุ รวมทั้งพระที่นั่งทรงธรรม ที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์

น.อ.อาวุธ กล่าวอีกว่า ประชาชนที่เข้าชมพระเมรุนั้น ไม่อยากให้ชมแค่ความงามของพระเมรุเพียงอย่างเดียว แต่อยากให้ผู้เข้าชมได้รับความรู้สถาปัตยกรรมของพระเมรุด้วย ซึ่งเท่าที่คณะทำงานรายงานให้ทราบว่าฝ่ายจัดกิจกรรมได้ทำภาพร่างพระเมรุเสมือนจริง ขยายจากแบบร่างพระเมรุให้มีขนาดใหญ่ พร้อมใส่คำอธิบายและลูกศรประกอบไว้ว่าแต่ละชั้นมีชื่อเรียกอะไรบ้าง มาติดตั้งบริเวณหน้าพระเมรุด้านทิศใต้และเหนือ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี เพราะช่วยให้ผู้เข้าชมได้เข้าใจความหมายมากขึ้น ซึ่งตนเองยังไม่เห็นหน้าตาภาพร่างเสมือนจริง แต่โดยทั่วไปแล้วเมื่อมองผ่านภาพร่างพระเมรุเสมือนจริงที่มีลักษณะค่อนข้างใสจะเห็นเป็นภาพร่างพระเมรุทับซ้อนกับองค์พระเมรุจริง ทำให้รู้ว่าแต่ ละชั้นมีชื่อเรียกว่าอะไรบ้าง เช่น ชานชาลา ฐานพระเมรุ เทวดาทรงเครื่อง อักษรพระนาม กว หางหงส์ ใบระกา บันเชิงกลอนชั้น 1 ชั้น 2 ไล่ตามลำดับถึงชั้น 5 ปลี ลูกแก้ว เม็ดน้ำค้าง และยอดสัปตปฎลเศวตฉัตร
แห่ชม- นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั้งในกทม.และต่างจังหวัด เดินทางเข้าชม "พระเมรุ" รวมทั้งนิทรรศ การเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ที่จัดแสดงไว้ที่ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 20 พ.ย.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศบริเวณมณฑลพิธีท้องสนามหลวง ยังคงมีประชาชนเข้าชมนิทรรศการสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ และพระเมรุ อาคารประกอบ โดยมีประชาชน นักเรียน นักศึกษา ทั้งจากต่างจังหวัด และในเขตกรุงเทพฯ เดินทางเข้าชมพระเมรุตั้งแต่เวลา 10.00 น. จนทำให้พื้นที่บริเวณพระเมรุเนืองแน่นไปด้วยประชาชน ทั้งนี้ส่วนใหญ่เดินทางมากับครอบครัว และหมู่คณะ พร้อมกับกล้องถ่ายรูป โดยประชาชนส่วนใหญ่นิยมถ่ายภาพพระเมรุไว้เป็นที่ระลึก ขณะที่นิทรรศการในแต่ละส่วนก็ได้รับความนิยมจากประชาชนเข้าชมเช่นกัน นอก จากนี้ในส่วนของการเข้าชมพระเมรุนั้นยังคงมีประชาชนต่อแถวขึ้นชมความงามของพระเมรุอย่าง ต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่ต้องจัดระเบียบให้เข้าชมครั้งละประมาณ 40 คน เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย

นายพัฒนะ พยุงผล ชาว จ.ฉะเชิงเทรา กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้ชมพระเมรุในทางโทรทัศน์เท่านั้นว่าสวยงามแล้ว เมื่อมาเห็นของจริงยิ่งสวยงามกว่ามาก และยังเป็นบุญตาที่ได้มาเห็นงานช่างหลวงที่ยิ่งใหญ่ ทั้งยังได้รับความรู้จากแบบร่างพระเมรุเสมือนจริงอีกด้วย มีคำบรรยายและลูกศรของแต่ละส่วนประกอบชื่อเรียกอะไรบ้าง ทำให้เข้าใจสถาปัตยกรรมไทยมากขึ้น

 

ด้านนางเพลิน โชติวรรณ อายุ 58 ปี ชาว จ.นคร สวรรค์ กล่าวว่าเดินทางมาชมพระเมรุและนิทรรศการสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ กับญาติ ตั้งใจว่าเมื่อเสร็จงานพระราชพิธีฯ จะเข้ากรุงเทพฯ มาชมพระเมรุ เพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ปลูกสร้างตามแบบโบราณราชประเพณีและเป็นเอกลักษณ์ของไทย ที่ผ่านมาตนได้แต่ชมการถ่ายทอดสดพระราชพิธีจากทางโทรทัศน์เท่านั้น พอมาเห็นก็รู้สึกประทับใจ

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ตลอดทั้งวันมี นักเรียน นักศึกษาและประชาชนเป็นจำนวนมากได้เข้าชมพระเมรุอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้จากการสอบถามเจ้าหน้าที่กองอำนวยการจัดนิทรรศการถึงยอดจำนวนผู้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 18-20 พ.ย. โดยเจ้าหน้าที่ได้ใช้เครื่องกดนับจำนวนคนที่ทางเข้าประตูชมนิทรรศการพระเมรุ ได้สรุปจำนวนผู้เข้าชมพระเมรุเมื่อวันที่ 19 พ.ย.ที่ผ่านมากว่า 300,000 คน และในวันนี้กว่า 200,000 คนรวมแล้วกว่า 500,000 คน

วันเดียวกัน นายปรีชา กันธิยะ เลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (กวช.) กล่าวถึงการเปิดให้ประชาชนดาวน์โหลดหนังสือกัลยาณิวัฒนาคาร วาลัย ว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) ได้จัดพิมพ์หนังสือ "กัลยาณิวัฒนาคารวาลัย" ราชประเพณีส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย จำนวน 100,000 เล่ม เพื่อแจกเป็นที่ระลึกให้แก่ประชาชนในงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระ เจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์นั้น ขณะนี้มีประชาชนขอรับหนังสือดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้จำนวนหนังสือหมดอย่างรวดเร็ว ซึ่งตนเห็นว่า จะไม่มีการพิมพ์เพิ่ม แต่จะให้ประชาชน นักเรียน นักศึกษา ดาวน์โหลดหนังสือ "กัลยาณิวัฒนาคารวาลัย" ได้ในเว็บไซต์ของสวช.ที่ www.culture.go.th ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยมุ่งหวังให้หนังสือดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในการบันทึกประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงพระกรุณาธิคุณที่ทรงอุปถัมภ์งานด้านศิลปวัฒนธรรมอย่างอเนกอนันต์และความจงรักภักดีของมวลพสกนิกรที่มีต่อพระองค์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา ค้นคว้า และอ้างอิงสืบไป

นายปรีชา กล่าวต่อว่า สำหรับ หนังสือ "กัลยาณิวัฒนาคารวาลัย" ราชประเพณีส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย จัดพิมพ์ 4 สี ตลอดทั้งเล่ม มีความหนา 98 หน้า เนื้อ หาสาระสำคัญได้ประมวลเรื่องราวเกี่ยวกับพระกรุณา ธิคุณที่ทรงมีต่อ สวช. ในด้านงานศิลปะการแสดง โดยทรงรับวงดุริยางค์เยาวชนไทย และมูลนิธินาฏยศาลาหุ่นละครเล็ก ไว้ในพระอุปถัมภ์ฯ ทรงให้การสนับสนุนส่งเสริมดนตรีสากลในประเทศให้มีความก้าวหน้าทัดเทียมกับอารยประเทศ และทรงสนับสนุนส่งเสริมการแสดงหุ่นละครเล็ก เพื่ออนุรักษ์สืบสานศิลปะการแสดงหุ่นละครเล็กให้คงอยู่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมสืบไป นอกจากนี้ยังได้รวบรวมองค์ความรู้ที่ทรงคุณค่าจากราชประเพณีส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย เช่น วัฒนธรรมการถวายพระเพลิงพระบรมศพ ประเพณีการจัดโกศพระบรมศพ ตำนานการก่อสร้างพระเมรุ มาศ ราชรถในงานพระราชพิธี มหรสพส่งเสด็จ พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ เป็นต้น

ขณะที่นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวว่า ในส่วนของวธ.ซึ่งได้จัดพิมพ์หนังสือเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒาฯ จำนวน 1,100,000 เล่ม ซีดี และดีวีดี รำลึกราชกัลยาณี จำนวน 10,000 ชุด หนังสือเทิดพระเกียรติฉบับอักษรเบรล จำนวน 2,000 ชุด ขณะนี้ได้แจกจ่ายให้กับประชาชนไปหมดแล้ว ส่วนการเปิดให้ประชาชนดาวน์โหลดเพลงรำลึกราชกัลยาณี จำนวน 22 เพลง นั้น ขณะนี้วธ.ยังเปิดให้ดาวน์โหลด อย่างต่อเนื่อง ที่ www.m-culture.go.th  


 

กษัตริย์ “จิกมี” เข้าพิธีราชาภิเษก ขึ้นครองภูฏานด้วยประชาธิปไตย  

 

เอเอฟพี – สมเด็จพระราชาธิบดี จิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งราชอาณาจักรภูฏาน ทรงเข้าพิธีราชาภิเษกในวันนี้ (6) โดยจะทรงขึ้นปกครองประเทศระบอบประชาธิปไตยน้องใหม่ล่าสุดของโลกตามประเพณีอย่างเป็นทางการ
       
กษัตริย์หนุ่ม พระชนมพรรษา 28 พรรษา ซึ่งทรงจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 5 แห่งราชวงศ์วังชุก ที่ปกครองราชอาณาจักรภูฏาน และยังทรงเป็นกษัตริย์ที่ทรงพระเยาว์มากที่สุดในโลก

พระองค์ทรงขึ้นครองราชสมบัติเป็นประมุขภูฏาน ในปลายปี 2006 หลังจากสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก พระมหากษัตริย์ลำดับที่ 4 แห่งราชวงศ์วังชุก พระราชบิดาของพระองค์สละราชสมบัติ และมอบอำนาจให้พระองค์สืบทอดต่อไป

อดีตกษัตริย์อันทรงเป็นที่เคารพรักของประชาชน ด้วยพระชนมพรรษา 52 พรรษา ทรงตัดสินพระทัยลงจากราชบัลลังก์ ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลในการปฏิรูป และปรับประเทศให้ทันสมัย ด้วยการยุติระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่ราชวงศ์ของพระองค์ใช้ปกครองประชาชนกว่า 600,000 คนมายาวนาน

ทั้งนี้ ภูฏานได้จัดการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยครั้งแรก เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี และรัฐสภาใหม่ ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยพรรคของอดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัยได้ชัยชนะไปอย่างถล่มทลาย

ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ 6 พฤศจิกายน 2551


"พอล ครุกแมน" ได้โนเบลเศรษฐศาสตร์

คณะกรรมการรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ประกาศมอบรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ประจำปี 2008 ให้แก่พอล ครุกแมน นักเศรษฐศาสตร์ชาวสหรัฐฯ

เอเจนซี/เอเอฟพี - นักเศรษฐศาสตร์อเมริกัน พอล ครุกแมน ผู้วิพากษ์วิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนที่สุดคนหนึ่งต่อนโยบายของคณะรัฐบาลบุช ซึ่งเขามองว่าเป็นตัวการนำมาสู่วิกฤตทางการเงินในปัจจุบัน ได้รับการประกาศเมื่อวานนี้ (13) ว่า เป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ประจำปี 2008

คณะกรรมการรางวัลโนเบล แถลงว่า ให้รางวัลสำหรับผลงานของครุกแมนที่ช่วยอธิบายว่า ทำไมบางประเทศจึงครอบงำการค้าระหว่างประเทศ โดยที่เขาทำงานพัฒนาทฤษฎีนี้ตั้งแต่งานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ไว้เมื่อเกือบ 30 ปีก่อน

ครุกแมน ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่รู้จักกันกว้างขวาง ในฐานะเป็นคอลัมนิสต์ประจำของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ได้ถูกจับตามองมานานแล้วว่าจะได้รับรางวัลโนเบล เวลานี้เขาเป็นศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์และกิจการระหว่างประเทศ ที่มหาวิทยาลัยพรินซตัน, สหรัฐอเมริกา

"เวลานี้เรากำลังเป็นประจักษ์พยานของวิกฤตซึ่งมีความสาหัสพอๆ กับวิกฤตที่เล่นงานเอเชียในทศวรรษ 1990 วิกฤตคราวนี้มีส่วนละม้ายคล้ายคลึงบางประการกับวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำครั้งมโหฬาร (ในทศวรรษ 1930)"

เขายกย่องความพยายามของผู้นำโลกที่รีบหาทางหยุดยั้งไม่ให้เลือดไหลออกทะลักจากระบบการเงินต่อไปอีก พร้อมกับบอกว่า "ผมรู้สึกสยดสยองน้อยลงหน่อยในวันนี้ เมื่อเทียบกับที่ผมรู้สึกในวันศุกร์ (10)"

ทั้งนี้ บรรดาผู้วางนโยบายระดับโลกได้ประชุมหารือกันในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ตามเวทีต่างๆ ทั้งการประชุมจี 7, จี 20, ไอเอ็มเอฟ, เวิลด์แบงก์ ที่กรุงวอชิงตัน และการประชุมระดับผู้นำของกลุ่มยูโรโซนที่กรุงปารีส จากนั้นก็ประกาศใช้มาตรการอันรุนแรงในการช่วยชีวิตแบงก์และสถาบันการเงิน

งานเขียนล่าสุดในคอลัมน์ของเขาที่นิวยอร์กไทมส์ซึ่งตีพิมพ์เมื่อวานนี้ ครุกแมนได้ยกย่องอังกฤษที่ขบคิดได้อย่างกระจ่างชัด และปฏิบัติการอย่างว่องไวเพื่อแก้ไขวิกฤต ซึ่งช่างแตกต่างไปจากสหรัฐฯ

ที่ผ่านมา ครุกแมนวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของคณะรัฐบาลประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช อย่างดุเดือด โดยบอกว่าความกระตือรือร้นอย่างเกินงามในเรื่องการลดเลิกระเบียบกฎเกณฑ์กำกับตรวจสอบ และการใช้นโยบายการคลังแบบผ่อนคลายวินัย มีส่วนช่วยจุดชนวนให้เกิดการล้มครืนของระบบการเงินในเวลานี้

คณะกรรมการรางวัลโนเบล บอกว่า รางวัลที่มีมูลค่า 10 ล้านคราวน์ (1.4 ล้านดอลลาร์) มอบให้แก่ครุกแมน สำหรับการที่เขาได้สร้างทฤษฎีใหม่ที่ใช้อธิบายว่าอะไรเป็นแรงขับดันกระบวนการสร้างเมืองใหญ่ขึ้นในทั่วโลก

ในประกาศมอบรางวัลของคณะกรรมการรางวัลโนเบล ได้ยกย่องครุกแมนสำหรับวิธีการศึกษา "ที่วางพื้นฐานอยู่บนสมมุติฐานที่ว่า สินค้าและบริการจำนวนมากสามารถที่จะผลิตได้ถูกลงมากเมื่อผลิตเป็นชุดยาวๆ อันเป็นแนวคิดที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า "การประหยัดอันเกิดจากขนาด" (economies of scale)"

ทฤษฎีของเขาแสดงให้เห็นว่า โลกาภิวัตน์มีความโน้มเอียงที่จะเพิ่งแรงกดดันต่อการพำนักอาศัยตามเมืองใหญ่ เพราะความต้องการผู้ทำงานอย่างชำนาญเฉพาะด้าน จะดูดกลืนผู้คนให้เข้าสู่ศูนย์แห่งการรวมตัวเข้มข้นเหล่านี้ โดยผ่านกระบวนการต่างๆ ซึ่งสามารถทำให้ ใน "ภูมิภาคต่างๆ ถูกแบ่งแยกออกเป็นแกนกลางลักษณะเป็นตัวเมืองใหญ่ที่มีเทคโนโลยีสูง และพื้นที่ชายขอบซึ่งมีการพัฒนาน้อยกว่า" ประกาศของคณะกรรมการรางวัลโนเบลแจกแจง

ทฤษฎีการค้าเดิมๆ ถือเอาว่าความแตกต่างระหว่างประเทศต่างๆ สามารถนำมาใช้อธิบายได้ว่าทำไมบางประเทศจึงส่งออกผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ขณะที่ประเทศอื่นๆ ส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ทฤษฎีเช่นนี้เท่ากับมองภาพทิศทางเอาไว้ว่า บางประเทศสามารถที่จะปรับปรุงยกระดับสถานการณ์ของพวกเขาด้วยการแสดงตนคอยเสริมคอยเติมให้คนอื่น

ทว่า สำหรับ ครุกแมน แล้ว ทฤษฎีของเขา อธิบายอย่างชัดแจ้งว่า ทำไมในทางเป็นจริงแล้วการค้าทั่วโลกจึงถูกครอบงำโดยบางประเทศซึ่งไม่เพียงมีเงื่อนไขทำนองเดียวกันเท่านั้น แต่ยังค้าขายในผลิตภัณฑ์ทำนองเดียวกันอีกด้วย คณะกรรมการกล่าว

สำหรับประวัติส่วนของนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลคนล่าสุดผู้นี้ ครุกแมนเกิดที่นครนิวยอร์กในปี 1953 เขาสำเร็จการศึกษาขั้นปริญญาเอกจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (เอ็มไอที) และผ่านการสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยชื่อดังหลายแห่ง ทั้งเยล,เอ็มไอที และสแตนฟอร์ด จากนั้นได้มาสอนที่พรินซตันตั้งแต่ปี 2000

นอกเหนือจากเขียนคอลัมน์ที่นิวยอร์กไทมส์แล้ว ครุกแมน ยังเขียนหนังสือพิมพ์เป็นเล่มมา 20 เล่ม และเขียนรายงานต่างๆ มากกว่า 200 ชื้น

ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ 14 ตุลาคม 2551


 

จารึกวัดโพธิ์ ได้รับเลือกเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกสิ่งใหม่ของไทย

จารึกวัดโพธิ์ ได้รับการขึ้นทะเบียนรับรองให้เป็นมรดกโลกแห่งใหม่ของเมืองไทย จากยูเนสโก โดยในวันที่ 31 มี.ค.นี้ ทางวัดโพธิ์จะจัดงานรับมรดกความทรงจำแห่งโลก และงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ที่โปรดเกล้าฯให้มีการจารึกสรรพวิทยาการต่างๆ ในวัดโพธิ์แห่งนี้ควบคู่กันไป ดร.มรว.รุจยา อาภากร คณะที่ปรึกษา คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจำแห่งโลก กล่าวว่า จารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือวัดโพธิ์ ได้รับการขึ้นทะเบียนรับรองให้เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก (Memory of the World) จากองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือองค์การยูเนสโก (UNESCO) โดยได้มีการรับรองแล้วที่ประเทศออสเตรเลีย และจะมีการส่งมอบเอกสารการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกให้แก่วัดพระเชตุพนฯในวันที่ 31 มีนาคมนี้ พร้อมกับที่ทางวัดจะจัดงานรับมรดกความทรงจำแห่งโลก และงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ที่โปรดเกล้าฯให้มีการจารึกสรรพวิทยาการต่างๆ ในวัดโพธิ์แห่งนี้

ทั้งนี้ แผนงานของยูเนสโกว่าด้วยความทรงจำแห่งโลก (Memory of the World Program) เป็นแผนงานที่องค์การยูเนสโก กำหนดให้มีขึ้นเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2535 โดยการเชิญผู้เชี่ยวชาญ ด้านสารนิเทศจากองค์กรภาครัฐ และภาคเอกชนจากทั่วโลก มาประชุมหารือร่วมกันแผนงานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการอนุรักษ์ และการเผยแพร่มรดกภูมิปัญญาของโลก ที่บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกไว้ในรูปแบบใดๆ และไม่ว่าจะผลิตในประเทศใด ถือว่าเป็นแหล่งรวมความคิด ความรู้ ประสบการณ์ ที่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายทั้งในด้านของวัฒนธรรม และความคิดริเริ่มของมนุษยชาติ

ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ 17 มีนาคม 2551


 

คลี่ปมปริศนาอนุสาวรีย์หิน "สโตนเฮนจ์" ที่แท้คือสุสานโบราณ

 

"สโตนเฮนจ์" กองหินยักษ์อายุกว่า 5,000 ปี ที่อยู่ทางตอนใต้ของอังกฤษเป็นปริศนามายาวนานนับศตวรรษที่คนยุคหลังสงสัยว่าแท้จริงคือสถานที่อันใดกันแน่ บ้างก็ว่าเป็นหอดูดาว บ้างก็ว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิในสมัยโบราณ แต่ในที่สุดนักวิทยาศาสตร์ก็คลายปมจนได้ว่าที่แท้ก็เป็นสถานที่ประกอบพิธีศพของชนเผ่ามนุษย์ยุคก่อนคริสตกาล

วารสารนิวไซเอนติสต์รายงานว่าคณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์ (University of Sheffield) สหราชอาณาจักร ที่นำทีมโดยไมค์ ปาร์กเกอร์ เพียร์สัน (Mike Parker Pearson) ได้พิสูจน์โครงกระดูกของมนุษย์โบราณที่ขุดค้นได้ในบริเวณที่ตั้งของ "สโตนเฮนจ์" (Stonehenge) กองหินขนาดยักษ์ในเมืองวิลท์ไชร์ทางตอนใต้ของอังกฤษ พบหลักฐานบ่งชี้ว่าอนุสาวรีย์หินดังกล่าวเป็นสถานที่ประกอบพิธีศพและเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความตายของกลุ่มชนชั้นสูงในยุคก่อนประวัติศาสตร์

นักวิจัยใช้วิธีตรวจวัดการแผ่รังสีของธาตุคาร์บอนเพื่อคำนวณอายุของโครงกระดูกและฟันที่ขุดขึ้นมาได้จากบริเวณดังกล่าวตั้งแต่เมื่อช่วงทศวรรษที่ 50 ผลการพิสูจน์บ่งชี้ว่าโครงกระดูกเหล่านั้นถูกฝังอยู่ในบริเวณดังกล่าวตั้งแต่ประมาณเมื่อ 3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่สโตนเฮนจ์เริ่มถูกสร้างขึ้น และคาดว่าน่าจะถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีศพสำหรับชนชั้นสูงในสมัยยุคหินยาวนานต่อเนื่องกันไม่ต่ำกว่า 500 ปี ขณะที่ก่อนหน้านี้นักโบราณคดีเคยสันนิษฐานไว้ว่าบริเวณดังกล่าวถูกใช้เป็นฌาปนสถานแค่ในระหว่าง 2,800-2,700 ปีก่อนคริสต์ศักราชเท่านั้น

"ผมไม่คิดว่าคนธรรมดาสามัญจะได้รับการประกอบพิธีศพที่บริเวณสโตนเฮนจ์นี้แน่นอน" เพียร์สันแสดงความคิดเห็นพร้อมกับแจงต่อว่านักโบราณคดีต่างสันนิษฐานกันเรื่อยมาว่าสโตนเฮนจ์อาจถูกสร้างขึ้นโดยชนชั้นปกครองหรือบางทีอาจเป็นราชวงศ์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ และจากหลักฐานใหม่ที่ได้ก็บ่งชี้ว่าเป็นตามนั้น อีกทั้งยังถูกใช้เป็นสุสานของกลุ่มคนเหล่านั้นด้วย

หนังสือพิมพ์เดลิเมล์ของสหราชอาณาจักรระบุว่าสโตนเฮนจ์ส่วนแรกถูกสร้างขึ้นเมื่อราว 3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยถูกขุดให้เป็นร่องดินและกำแพงดินล้อมเป็นวงกลมที่ประกอบด้วยหลุมจำนวน 56 หลุมที่บรรจุเสาไม้ไว้ภายใน ต่อมา 2,600 ปีก่อนคริสต์ศักราช หินสีน้ำเงิน (bluestone) จำนวน 82 ก้อน ซึ่งบางก้อนหนักถึง 4 ตัน ได้ถูกลำเลียงมาตั้งไว้เป็นวงกลม 2 วงภายในกำแพงดินดังกล่าว และหลังจากนั้นอีกราว 150 ปี หินซาร์เซน (sarsen stone) จำนวนหนึ่งซึ่งแต่ละก้อนหนักราว 50 ตันก็ถูกลำเลียงมาไว้ในบริเวณเดียวกันและกลายเป็นสโตนเฮนจ์ที่เราเห็นกันในปัจจุบัน

เดลิเมล์รายงานต่อว่าเมื่อช่วงหลายสิบปีก่อนนักโบราณคดีขุดค้นพบสุสานจำนวน 52 สุสานที่อยู่บริเวณรอบสโตนเฮนจ์ โดยโครงกระดูกจากสุสาน 3 แห่ง ถูกเคลื่อนย้ายนำไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ซาลิสเบอรี (Salisbury Museum) ซึ่งโครงกระดูกเหล่านี้เองที่นักวิจัยใช้เป็นตัวอย่างศึกษา โครงกระดูกที่มีอายุมากที่สุดอยู่ระหว่าง 3030-2880 ปีก่อนคริสต์ศักราช เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่หลุมฝังศพในโสตนเฮนจ์ถูกสร้างขึ้น โครงกระดูกถัดมามีอายุราว 2930-2870 ปีก่อนคริสต์ศักราช และโครงกระดูกสุดท้ายมีอายุ 2570-2340 ปีก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หินซาร์เซนถูกลำเลียงมาไว้ที่สโตนเฮนจ์

กลุ่มนักวิจัยเชื่อว่าน่าจะมีร่างที่ถูกฝังอยู่ที่บริเวณสโตนเฮนจ์มากถึง 240 ร่าง ทั้งนี้เมื่อปีที่แล้วนักวิจัยทีมเดียวกันนี้เคยพบหลักฐานสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ในละแวกใกล้เคียงกับสโตนเฮนจ์ด้วย ซึ่งพวกเขาสันนิษฐานว่าสถานที่ทั้ง 2 แห่งเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทีมีความสัมพันธ์กัน

อย่างไรก็ดีนิวไซเอนติสต์รายงานว่าคริสโตเฟอร์ ชิปปินเดล (Christopher Chippindale) นักวิชาการประจำพิพิธภัณฑ์โบราณคดีและมานุษยวิทยา (Museum of Archaeology and Anthropology) มหาวิทยาลัยเครมบริดจ์ (University of Cambridge) แสดงความเห็นว่า แม้ว่าผลการพิสูจน์การแผ่รังสีของธาตุคาร์บอนจากโครงกระดูกที่ถูกขุดมาจากบริเวณสโตนเฮนจ์จะบ่งชี้ว่าสโตนเฮนจ์ถูกใช้เป็นสุสาน ก็ไม่ได้หมายความว่านั่นคือจุดประสงค์แรกมนุษย์ยุคก่อนสร้างสโตนเฮนจ์ขึ้นมา

เช่นเดียวกับวัดหรือโบสถ์ที่มีหลุมฝังศพจำนวนมาก แต่นั่นก็ไม่ใช่จุดประสงค์แรกที่สร้างโบสถ์นั้นขึ้นมา เขายังระบุอีกว่าความจริงเรื่องนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความน่าฉงนทั้งหมด ยังไม่ใช่คำตอนสุดท้ายที่พวกเราต้องการ

ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ 15 มิถุนายน 2551 

 


 

 จีนเปิดตัวสะพานข้ามทะเลอ่าวหังโจว

ซินหัวเน็ต / เอเอฟพี /รอยเตอร์- จีนเปิดตัวสะพานข้ามทะเลที่ยาวที่สุดในโลกอย่างเป็นทางการ ในตอนบ่ายของวันพฤหัสบดี(1พ.ค.)หลังก่อสร้างมานานกว่า 5 ปี และได้เปิดทดลองให้รถวิ่งในเวลาเที่ยงคืนวันเดียวกัน

สะพานดังกล่าวเป็นเส้นทางเชื่อมระหว่างเมืองเจียซิงซึ่งอยู่ใกล้กับนครเซี่ยงไฮ้ กับเมืองท่าหนิงปอของมณฑลเจ้อเจียง ด้วยความยาวทั้งสิ้น 36 กิโลเมตร งบประมาณในการก่อสร้าง 11,800 ล้านหยวน หรือ 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐ

โดยสะพานดังกล่าวช่วยร่นระยะทางทางบกจากเซี่ยงไฮ้สู่หนิงปอได้กว่า 120 กิโลเมตร อีกทั้งโครงสร้างของสะพานยังสร้างเป็นถนน 6 ช่องทาง ซึ่งจีนเชื่อว่าจะสามารถเอื้อประโยชน์อย่างมากทางด้านเศรษฐกิจและช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัดที่ยังเป็นปัญหาหลักในเขตเศรษฐกิจต่างๆทางภาคใต้ของจีน

 

 

 

 

 

ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ 1 พฤษภาคม 2551


 

 14 สไตล์มรณะ ปัจจัยเสี่ยง"มะเร็ง"

มะเร็งร้ายคอยแทรกตัวเข้าไปในหลอดเลือดเพื่อเกาะไปกับกระแสเลือดให้พามันไปฝังตัวตามอวัยวะสำคัญของร่างกายทุกที่ที่เลือดไปเลี้ยงถึง

เซลล์มะเร็งเป็นคล้ายสัตว์กินเนื้อที่ดำรงชีพอยู่ได้ด้วยการแตกรากออกไปดูดกินสารอาหารจากในร่างกายจนทำให้ผ่ายผอมและกลายเป็นรังมะเร็งในที่สุด

แต่ถ้าท่านยังไม่อยากสร้างสิ่งมหัศจรรย์ในกายประเภทสวนลอยแห่งมะเร็งไว้แข่งกับบาบิโลน ก็ขอให้เลี่ยงวิถีที่จะเปลี่ยนกายให้เป็นแม่เหล็กดูดมะเร็งชั้นดี ขอให้เลี่ยงพฤติกรรมที่มะเร็งโปรดทั้งหลายต่อไปนี้ครับ

1) นอนดึก ทำให้ไม่มีฮอร์โมนต้านมะเร็งหลั่งออกมา นอกจากนั้นยังจะทำให้เกิดโรคร้ายอื่นได้ เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง และโรคอ้วน ด้วยว่าเมื่อนอนดึกแล้วมักจะหิวและต้องหาของขบเคี้ยวมากินแก้ปากว่างกัน

2) คึกสูบบุหรี่และขี้เหล้า ทั้งสองสิ่งนี้ทำให้ปอดและตับทำงานหนัก แม้จะสูบซิการ์ซึ่งมีนิโคตินต่ำกว่าบุหรี่ก็ตามที หรือดื่มเหล้าแบบกลั่นอย่างดีของฝรั่ง แต่ตัวมันเองก็สร้าง "สนิมมะเร็ง" ออกมาไม่น้อย ทำให้คนที่เสพทั้งแก่เร็วและตายไวได้จากโรคมะเร็งครับ

3) เอาแต่ไขมันเข้าปากและอยากแต่เนื้อแดง ไขมันอิ่มตัวและโปรตีนจากเนื้อนั้นเป็นแหล่งอาหารชั้นหนึ่งของมะเร็งที่จะใช้เจริญเติบโตได้ไม่แพ้ทารกเกิดใหม่ มันจะสร้างหลอดเลือดยื่นไปดูดกินเลือดเนื้อของเราจนแทบไม่เหลือเลือดอันสมบูรณ์ไปเลี้ยงอวัยวะอื่น ตัวเราจึงผอมเอาๆ ตรงข้ามกับมะเร็งกาฝากที่โตไวไม่มีลิมิตชีวิตหดหู่แน่

4) แฝงด้วยเครียดจัด จนมีสารทุกข์หลั่งออกมาหล่อเลี้ยงมะเร็งให้โตขึ้นเร็วราวกับน้ำมันราดบนกองไฟให้คุโชนขึ้น

5) ไวรัสตับอักเสบบีและมีภูมิแพ้ที่รักษาไม่หาย ดังที่กล่าวไปว่าถ้าภูมิดีก็มีพลังต้านมะเร็งได้ตั้งแต่ในเซลล์แรกที่อุตริเกิดขึ้นมา ด้วยตามปกติในกายเราก็มีเซลล์แบบมะเร็งนี้เกิดขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ ทุกวัน

6) ปล่อยกายให้อ้วน สร้างให้เกิดธาตุแก่ออกมาแช่อิ่มอวัยวะภายในร่างกาย และไขมันตามตัวยังสร้างให้เกิดฮอร์โมนกระตุ้นให้มะเร็งแบ่งตัวดีขึ้นด้วย

7) ล้วนขาดวิตามิน ด้วยวิตามินทำหน้าที่ต้านเชื้อมะเร็งให้ดับเป็นจุณไปก่อนที่จะเผยอหน้าขึ้นมาแบ่งตัวปนเปไปในร่างกายเรา

8) กินของร้อนจัดไป เช่น ซดชาร้อนหรือกาแฟร้อนจัดประเภทควันฉุย จะไปลวกให้เซลล์หลอดอาหารอักเสบอยู่ทุกบ่อย เมื่ออักเสบเป็นอาจิณก็จะมีโอกาสเปลี่ยนไปเป็นเซลล์มะเร็งง่ายขึ้น

9) ทำให้คอเลสเตอรอลลดต่ำ พบว่าถ้าต่ำเกินไปก็ไม่ดีครับ มีผลกับภูมิคุ้มกันที่แย่ลง เมื่อภูมิต่ำแล้วก็จะหมดปัญญาต้านเซลล์มะเร็งที่จะเข้ามาหา

10) ทำกลั้นปัสสาวะ น้ำปัสสาวะเป็นของเสียยิ่งอยู่นิ่งเป็นเวลานานจากการอั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำนิ่งในคลองแสนแสบ ซึ่งทิ้งไว้ไม่นานจะกลายเป็นน้ำเน่า แต่ถ้าเน่าในกระเพาะฉี่เราก็มีผลให้เกิดเซลล์มะเร็งงอกขึ้นมาได้

11) ปะทะเค็มจัด พบว่าสิ่งมีชีวิตที่ทานอาหารเค็มมีอัตราการเกิดมะเร็งสูงกว่า โดยเฉพาะในอาหารจำพวกเนื้อเค็ม เนื้อแห้ง หมูแดง ที่นอกจากเค็มแล้วยังมีสีแดงดีจากดินประสิวอีกด้วย

12) ประวัติมะเร็งในครอบครัว มะเร็งร้ายในครอบครัวบางอย่างสามารถถ่ายทอดมาทางพันธุกรรมได้ แม้จะไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์แต่ต้องรับไว้ด้วยความไม่เต็มใจ เช่น มะเร็งเต้านม, มะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่ถ้าป้องกันไว้ดีๆ แล้วบางทีก็ไม่เกิดขึ้นมาครับ

13) ตัวตากแดดบ่อย แสงแดดเป็นรังสีที่กระตุ้นอณูเซลล์ของคุณให้สะดุ้งตกใจจนเครื่องในรวนหมดครับ เมื่อเครื่องในรวนแล้วก็ไม่สามารถที่จะคุมการแบ่งตัวได้ ทำให้แบ่งต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งกลายเป็นก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

14) ไม่ค่อยช่วยใคร ถ้าพูดให้ง่ายเข้าคือ เห็นแก่ตัวและไม่ค่อยได้ทำบุญนั่นเอง เพราะเมื่อใดก็ตามที่ได้หมั่นช่วยเหลือผู้อื่นจนชินแล้วเรามักไม่ค่อยได้นึกถึงตัวเองนัก และเมื่อไม่หมกมุ่นกับตัวเองแล้วก็ไม่ค่อยเกิดความ "อยาก" อันนำไปสู่ความเครียดร้อนอกร้อนใจ หรือถ้าไม่มีเวลาก็แค่อนุโมทนากับบุญที่เราได้พานพบก็ทำให้มี "สารสุข" หลั่งออกมาเสริมภูมิรู้สู้มะเร็งแล้วครับ

ด้วยวิถีแห่งการมี "ไลฟสไตล์มรณะ" ทั้ง 14 ประการดังที่ได้กล่าวไปก็จะทำให้ได้มะเร็งมาเป็นเจ้าของอย่างง่ายดาย

หากท่านใดสนใจเคล็ดวิธีต้านมะเร็ง ขอเชิญไปในงานมหกรรมชีววิทยาศาสตร์ครั้งใหญ่ "ไบโอเอเชีย 2008 " นี้ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ ตั้งแต่วันที่ 25-27 พฤศจิกายน ซึ่งจะมีทั้งศาสตร์การคลายเครียดให้จิตใจและให้หนุ่มสาว ฯลฯ

โดย นพ.กฤษดา ศิรามพุช, พบ.(จุฬาฯ) ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์อายุรวัฒน์ (American Board of Anti-aging medicine)

 

 


 

การเดินของ "มด" อาจแก้ปัญหารถติดได้นะ!

เคยเห็นไหมว่า มดมันเดินสวนกันเป็นทางยาว แต่มันเดินแบบสบายๆ เหมือนกับไม่มีการชนกัน มันทำได้อย่างไร?

ดร.เดิร์ก เฮลบิง ผู้เชี่ยวชาญด้าน Collective Intelligent หรือ "อัจฉริยะรวมหมู่" ซึ่งเป็นการทำงานที่ยิ่งผู้ทำมีมากเท่าใด ยิ่งเก่งขึ้นไปเรื่อยๆ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเดรสเดน ประเทศเยอรมนี อธิบายว่า "สมองของมดมีเซลล์กว่า 250,000 เซลล์ ซึ่งมากที่สุดเมื่อเทียบกับเพื่อนแมลงอื่นๆ

ดร.เฮลบิง ได้ทดลองเพราะเชื่อว่า การศึกษาการเดินของมด อาจช่วยแก้ปัญหารถติด ซึ่งคณะของเขาสร้าง "มอเตอร์เวย์มด" ขึ้นมา 2 สาย ให้มีความกว้างต่างกัน โดยทั้ง 2 สายเชื่อมระหว่างรังมดและน้ำเชื่อม

ผลปรากฏว่า ไม่นานนักทางสายแคบก็เกิดติดขัดขึ้นมา จนมดที่เดินสวนกันชนกัน ทำให้มดในทางที่เดินกลับไปยังรังผลักมดที่เดินออกจากรัง เพื่อให้ไปสร้างทางสายใหม่ ทางมดจึงไม่เคยติดหนักเหมือนกับทางรถยนต์

 ที่มาจากหนังสือพิมพ์ ข่าวสด 21 November 2008, 09:55


 

สร้างโดย: 
น.ส.มนทยา จงชัยเดชวงศ์

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ใหญ่ใจดี
 

 ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ 
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ 
ไม่ถูกปิดเสียก่อน

ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 
มีผลบังคับใช้แล้ว 
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

 

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 740 คน กำลังออนไลน์