แผนการสอนวิทยาศาตร์พื้นฐาน(เคมี)
5) ผลของปฏิกิริยาเคมีที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม(............คาบ )
ขั้นนำ
1. ครูนำเข้าสู่บทเรียนโดยการทบทวนความรู้เดิมเรื่องประโยชน์ของปฏิกิริยาเคมี เคมีเพื่อนำเข้าสู่เรื่องผลของปฏิกิริยาเคมีที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม
ขั้นสอน
2. ครูแบ่งกลุ่มนักเรียน ออกเป็นกลุ่มๆ ละ 5-6 คน โดยให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม เป็นนักเรียนที่มี
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแตกต่างกัน คือมีทั้ง เก่ง ปานกลาง และอ่อน
3. นักเรียนแต่ละกลุ่ม คัดเลือกสมาชิกกลุ่มเป็น ประธาน เลขา และกรรมการ
4. ครูแจกใบงานที่ ให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม พร้อมแจ้งเรื่อง จุดประสงค์ของกิจกรรมให้นักเรียนได้รู้
5. ครูอธิบายขั้นตอน กิจกรรมการเรียนรู้เรื่องผลของปฏิกิริยาเคมีที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมดังนี้นักเรียนเขียนชื่อเรื่อง, วัน-เดือน-ปี , สมาชิกกลุ่ม , จุดประสงค์ของกิจกรรมสื่อลงในใบงาน
6. นักเรียนภายในกลุ่มร่วมมือกันศึกษา ค้นคว้า หรือ ทำกิจกรรมตามขั้นตอนในใบงานอภิปรายผลร่วมกัน และบันทึกผล
7.นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนนำเสนอ ผลของการศึกษา ค้นคว้าหรือทำกิจกรรมหน้าชั้นเรียน
ขั้นสรุป
8. ครูและนักเรียนทุกคนร่วมกันอภิปรายผล จากการนำเสนอเพื่อหาข้อสรุป
9. นักเรียนแต่ละคนศึกษา ค้นคว้าเพิ่มเติมในเรื่องผลของปฏิกิริยาเคมีที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม
10. วัดผลการเรียนรู้
6 ) อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี (............คาบ )
ขั้นนำ
1. ครูนำเข้าสู่บทเรียนโดยการทบทวนความรู้เดิมเรื่องผลของปฏิกิริยาเคมีที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมเพื่อนำเข้าสู่เรื่อง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
ขั้นสอน
2. ครูแบ่งกลุ่มนักเรียน ออกเป็นกลุ่มๆ ละ 5-6 คน โดยให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม เป็นนักเรียนที่มี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแตกต่างกัน คือมีทั้ง เก่ง ปานกลาง และอ่อน
3. นักเรียนแต่ละกลุ่ม คัดเลือกสมาชิกกลุ่มเป็น ประธาน เลขา และกรรมการ
4. ครูแจกใบงานที่ ให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม พร้อมแจ้งเรื่อง จุดประสงค์ของกิจกรรมให้นักเรียนได้รู้
5. ครูอธิบายขั้นตอน กิจกรรมการเรียนรู้เรื่องอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ดังนี้นักเรียนเขียนชื่อเรื่อง, วัน-เดือน-ปี , สมาชิกกลุ่ม , จุดประสงค์ของกิจกรรมสื่อลงในใบงาน
6. นักเรียนภายในกลุ่มร่วมมือกันศึกษา ค้นคว้า หรือ ทำกิจกรรมตามขั้นตอนในใบงานอภิปรายผลร่วมกัน และบันทึกผล
7. นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนนำเสนอ ผลของการศึกษา ค้นคว้าหรือทำกิจกรรมหน้าชั้นเรียน
ขั้นสรุป
8. ครูและนักเรียนทุกคนร่วมกันอภิปรายผล จากการนำเสนอเพื่อหาข้อสรุป
9. นักเรียนแต่ละคนศึกษา ค้นคว้าเพิ่มเติมในเรื่องอัตรากา
10. วัดผลการเรียนรู้
9. การวัดผลและประเมินผล
วิธีการ
1. สังเกตพฤติกรรมของนักเรียน
2. สังเกตการมีส่วนร่วมและความกระตือรือร้นในการปฏิบัติงาน
3. สังเกตการนำเสนอผลงานทั้งในรูปแบบการเขียนรายงาน การบอกเล่าหรือการอธิบาย
4. สังเกตการตอบคำถามและการอภิปรายในชั้นเรียน
5. ประเมินชิ้นงานที่มอบหมายให้ทำ
6. ประเมินผลที่ได้จากการทำกิจกรรมต่างๆ
เครื่องมือ
1. แบบประเมินความรู้
2. แบบสังเกตุพฤติกรรม
3. แบบประเมินชิ้นงาน
ใบความรู้
เรื่องปฏิกิริเคมีในชีวิตประจำวัน
รายวิชา วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2551
ปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวัน
ปฏิกิริยาการสลายตัวของโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต ( NaHCO3 )
โซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนตหรือโซเดียมไบคาร์บอเนต หรือเรียกกันทั่วไปว่า โซดาทำขนม เป็นสารเคมีที่นำมาใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง เช่น ทำคาราเมล ใส่ในน้ำต้มผักทำให้ผักมีสีเขียว ใช้เป็นส่วนผสมของผงฟู
มีการนำผงฟูไปใช้ทำขนมอะไรได้บ้าง เพราะเหตุใดขนมจึงฟูได้
ผงฟูเมื่อได้รับความร้อน โซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนตจะสลายให้ CO2 ดังนี้
2NaHCO3 ความร้อน Na2CO3 + H2O + CO2
โซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนตนอกจากใช้ทำขนมหลายชนิดแล้ว ยังใช้ประโยชน์ในการดับ
ไฟป่า โดยโปรยผง NaHCO3 จากเครื่องบินลงบริเวณเหนือไฟป่า ความร้อนจากไฟป่าจะทำให้สาร NaHCO3 สลายตัวให้แก๊ส CO2 ดังนี้
2NaHCO3 ความร้อน Na2CO3 + H2O + CO2
แก๊ส CO2 ที่เกิดขึ้นเป็นแก๊สที่หนักกว่าอากาศ จึงปกคลุมไม่ให้เชื้อเพลิงได้รับแก๊สออกซิเจน ทำให้บรรเทาหรือหยุดการเผาไหม้ลงได้
ปฏิกิริยาการสลายตัวของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ( H2O2 )
ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ เป็นสารใช้ฟอกสีผมและฆ่าเชื้อโรค โดยปกติจะสลายตัวไปเองอย่างช้า ๆ ให้น้ำและออกซิเจนเกิดขึ้น ดังสมการ แสงสว่างและความร้อนจะช่วยเร่งให้เกิดการสลายตัวเร็วขึ้น ดังนั้นจึงต้องเก็บไว้ในที่มืด หรือในภาชนะสีน้ำตาลเข้ม และในที่เย็น
2H2O2 2H2O + O2
ปฏิกิริยาการสลายตัวของแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3)
ปฏิกิริยาการสลายตัวของหินปูน (CaCO3) ด้วยความร้อน ให้แก๊ส CO2 และปูนขาว ( CaO) นำมาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตปูนซีเมนต์ ซึ่งมีปูนขาวเป็นส่วนผสมหลัก ปฏิกิริยาระหว่างหินปูนหรือแคลเซียมคาร์บอเนตกับกรดกำมะถันหรือกรดดินประสิว ซึ่งมีอยู่ในฝนกรด เกิดเป็นแคลเซียมซัลเฟต ( CaSO4) หรือแคลเซียมไนเตรต Ca(NO3)2 และแก๊ส CO2 ดังสมการ ปฏิกิริยานี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รูปปั้น รูปแกะสลัก ตึมรามบ้านช่อง และสิ่งก่อสร้างที่ทำด้วยหินปูนหรือหินอ่อนเกิดการสึกกร่อน
CaCO3 + H2SO4 CaSO4 + CO2 + H2O
CaCO3 + 2HNO3 Ca(NO3)2 + CO2 + H2O
ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ( SO2 ) และออกไซด์ของไนโตรเจน
ซัลเฟอร์ไดออกไซด์เป็นแก๊สที่ไม่มีสี มีกลิ่น
กรด มีจุดเดือด –10 องศาเซลเซียส แหล่งที่มาของ
ซัลเฟอร์ไดออกไซด์มาจากสองแหล่งคือ จากการ
กระทำของมนุษย์ และจากธรรมชาติ แหล่งจากการ
กระทำของมนุษย์สูงถึง ของปริมาณที่มาจาก
แหล่งธรรมชาติ สำคัญที่สุดได้แก่ การเผา
ไหม้เชื้อเพลิง (fossil fuel) เช่นถ่านหิน และน้ำมัน
ปิโตรเลียม เพราะเชื้อเพลิงเหล่านี้มีสารประกอบ
ของซัลเฟอร์ (S) ปะปนอยู่ด้วย ถ่านหินจากบาง
แหล่งมีปริมาณกำมะถันสูงถึงร้อยละ 3 โดยมวล ส่วนน้ำมันปิโตรเลียมมีประมาณร้อยละ 0.5 โดยมวลฉะนั้นเมื่อเผาไหม้เชื้อเพลงที่มีกำมะถัน จึงได้แก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ดังสมการ
S + O2 SO2
การเผาไหม้บางครั้งอาจเกิดซัลเฟอร์ไตรออกไซด์ ( SO3 ) ขึ้นบ้างแต่ปริมาณไม่มากนัก ถ้าอากาศชื้นมาก SO2 อาจรวมกับ H2O ไปเป็นกรดซัลฟิวรัสซึ่งสามารถเปลี่ยนไปเป็นกรดซัลฟิวริกได้ H2SO4 ถ้ากรด H2SO4 ที่รวมกับน้ำ กลายเป็นฝนและตกลงมาบนพื้นดินก็จะกลายเป็นฝนกรด
ไนโตรเจนสามารถรวมกับออกซิเจนเกิดเป็นออกไซด์ได้หลายออกไซด์ ในบรรดาออกไซด์ทั้งหมดของไนโตรเจน มีเพียง 2 ชนิดเท่านั้น คือ NO และ NO2 ที่ปล่อยสู่บรรยากาศเป็นปริมาณโดยน้ำมือของมนุษย์ ได้แก่ การเผาไหม้ของเชื้อเพลิง เช่น การเผาไหม้น้ำมันเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์หรือเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม แก๊ส NO ที่เกิดขึ้น สามารถเกิดปฏิกิริยากับ O2 หรือ O3 ไปเป็นแก๊ส NO2 ซึ่งรวมกับละอองน้ำในอากาศหรือน้ำฝนไปเป็นกรดไนตริก HNO3 ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้น้ำฝนมีสมบัติเป็นกรด จึงก่อให้เกิดมลภาวะกับสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกับกรดซัลฟิวริก
ปฏิกิริยาการเกิดสนิมเหล็ก
สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ที่มีเหล็กเป็นองค์ประกอบ เมื่อเหล็กสัมผัสกับน้ำและความชื้น จะค่อย ๆ สึกกร่อน กลายเป็นเหล็กออกไซด์ หรือที่เรารู้จักกันว่า สนิมเหล็ก (Fe2O3.H2O )
ดังสมการ
4Fe + 3O2 + H2O 2Fe2O3.H2O
www.rmutphysics.com
- « แรก
- ‹ หน้าก่อน
- 1
- 2
- 3