ความทรงจำที่อยากเล่า
![รูปภาพของ souw999 รูปภาพของ souw999](http://202.44.68.33/files/profilepic/picture-2443.jpg)
ขุนอุปภัมภ์นรากร (พุ่ม) เกิดวันศุกร์ เดือน ๔ ขึ้น ๗ ค่ำ เวลา ๑๑ นาฬิกา ปีเถาะ พ.ศ.๒๔๓๔ เป็นบุตร นายเงิน นางชุม ช่วยพูลเงิน เกิด ณ บ้านเกาะม่วง หมู่ที่ ๒ ตำบลดอนทราย อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง เมื่ออายุได้ ๗ ปี บิดาก็ถึงแก่กรรม มารดาก็ย้ายมาอยู่บ้านชายคลอง ตำบลชะมวง อำเภอเดียวกัน เมื่ออายุได้ ๑๑ ปี มารดาได้นำไปฝากให้เข้าเรียนในสำนักท่านพระครูกาเดิม (หนู) ณ วัดวิหารเบิก ตำบลลำปำ อำเภอเมืองพัทลุง เพื่อศึกษาเล่าเรียนหนังสือไทย อยู่ที่นั่นไม่นาน พระครูกาเดิม (หนู) ไปกรุงเทพฯ ท่านต้องกลับมาอยู่บ้านเดิมต่อมาได้มีผู้มาชักนำท่านไปทางขับร้อง ฟ้อนรำ ได้อุตส่าห์ฝึกฝนพากเพียรเรียนวิชาการรำโนรา กับ นายชุม ที่ตำบลป่าพะยอมอยู่ประมาณ ๒ ปี ยังหาความชำนาญไม่ได้ก็ไปเล่าเรียนเพิ่มเติมกับนายลูกโก ซึ่งเป็นโนราอยู่บ้านไม้เสียบ ตำบลท่าประจะ อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช เรียนวิชานี้อยู่ประมาณ ๘ ปี ก็สำเร็จวิชาทางรำโนรา บริบูรณ์ดี ท่านก็กลับมาอยู่บ้านตามเดิม
เมื่ออายุได้ ๒๑ ปี ได้เข้าถวายตัวเป็นอันเตวาสิกกับท่านพระครูกาชาติ (แก้ว) ณ วัดพิกุลทอง ศึกษาเล่าเรียนทางฝ่ายพระศาสนา และได้อุปสมบทที่วัดพิกุลทอง โดยมีท่านพระครูกาเดิม (หนู) เป็นอุปัชฌาย์ เมื่ออุปสมบทแล้วได้พยายามปฎิบัติธรรมในพระศาสนาตามพระวินัยแห่งพุทธบัญญัติตามกำลัง ต่อจากนั้นได้ลาออกจากเพศบรรพชิตมาอยู่อาศัยกับนางพลับผู้เป็นพี่ของข้าพเจ้า (ท่านพี่น้องร่วมบิดา มารดาเดียวกัน ๒ คนคือ พี่พลับกับตัวท่าน) เมื่อท่านมีอายุได้ ๒๘ ปี ได้แต่งงานกับนางแหม้ว และได้ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน อาชีพของข้าพเจ้าคือ ทำนา ดำเนินการไปตามชอบธรรม อยู่เป็นสุขตลอดมา
พ.ศ.๒๔๖๘ ท่านอายุได้ ๓๕ ปี ในระหว่างนั้นกำนันตำบลชะมวง ว่างลง โดยเหตุที่กำนันพุ่ม นาคะวิโรจน์ ลาออก รองอำมาตย์โทขุนเทพภัคดี นายอำเภอควนขนุน จึงเรียกประชุมผู้ใหญ่บ้านทุกนายเพื่อเลือกกำนัน ที่ประชุมลงความเห็นชอบเลือกท่านเป็นกำนันตำบลชะมวง ท่านได้รับหน้าที่ราชการ ได้พยายามปฎิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตธรรม มีพรหมวิหาร ๔ เป็นที่ตั้ง เพื่อผดุงไว้ซึ่งชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ อันเป็นสถาบันที่ท่านเคารพเทิดทูนเป็นที่สุด
พ.ศ.๒๔๗๕ เมื่อท่านรับราชการมาได้ ๖ ปี ก็ได้รับแต่งตั้งจากเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยเป็น " ขุนอุปถัมภ์นรากร "
พ.ศ.๒๔๗๕ ท่านได้รับพระราชทานเหรียญพระพุทธยอดฟ้า พระปกเกล้าฯ เนื่องในงานเฉลิมฉลองพระนครครบ ๑๕๐ ปี
พ.ศ.๒๔๗๗ ราษฎรในตำบลชะมวงเลือกท่านเป็นผู้แทนตำบลชะมวงไปรับพระราชทานเข็ม เรียกว่า "เข็มผู้แทนตำบล "
พ.ศ.๒๔๗๘ รัฐบาลได้มอบเงินรางวัลจำนวน ๑๐๐ บาท เป็นรางวัลที่ ๑ สำหรับกำนันในจังหวัดพัทลุง เพื่อตอบแทนความดีความชอบที่ทำงานตรงหน้าที่ ซื่อสัตย์ สุจริต พร้อมมอบประกาศนียบัตร 1 ฉบับเป็นหลักฐานแห่งความดี
พ.ศ.๒๔๘๐ ท่านได้ร้องเรียนต่อคณะกรรมการอำเภอควนขนุนว่า ควรจะตัดถนนจากตำบลชะมวง ไปติดต่อกับตำบลป่าพะยอม ต่อกับถนนสายควนขนุน ทางอำเภอเห็นดีด้วย จึงได้ชักนำให้ท่านนำราษฎรมาช่วยกันทำถนนจากตำบลชะมวง ไปตำบลป่าพะยอม มีเจ้าของที่ดินบางคนขัดข้อง ท่านจึงได้ไปขอความช่วยเหลือจากท่านพระครูกัลยาฯ เจ้าคณะแขวงอำเภอควนขนุน และท่านพระครูศิริรัตโนภาส เจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง ได้ช่วยพูดคุยกับเจ้าของที่ดิน บางคนก็ได้ตกลง การทำถนนจึงดำเนินไปได้ตามความประสงค์โดยได้พูนดินเป็นตัวถนนบ้าง และได้ตัดทางไปติดต่อกับตำบลป่าพะยอม ได้สำเร็จ
พ.ศ.๒๔๘๑ ทางราชการได้จัด ให้นำข้าวพื้นเมืองไปประกวดในงานปีใหม่ ณ จังหวัดพัทลุง ท่านได้นำข้าวในครัวเรือนไปประกวด คือ " ข้าวนางงาม " ในการประกวดนั้นได้รับรางวัลที่ ๑ ได้รับรางวัล ไถเกษตร ๑ เครื่อง กับเงิน ๑๕ บาท
พ.ศ.๒๔๘๕ ท่านได้ลาออกจากตำแหน่งกำนัน รวมเวลาอยู่ในตำแหน่งนี้ ๒๐ ปี ออกไปประกอบอาชีพทำนา ค้าขายและทำสวน ในระหว่างนี้ได้ซื้อช้างไปขายที่จังหวัดยะลา และไปซื้อช้างที่จังหวัดชุมพรและระนองมาใช้งานลากไม้ ได้ทำงานนี้อยู่ ๑๐ ปี ในปีนี้และได้มอบที่ดิน ๑ แปลงยาว ๑ เส้น กว้าง ๑๐ วา ให้แก่วัดพิกุลทองเพื่อเป็นสมบัติของสงฆ์
พ.ศ.๒๔๙๘ ได้รับการคัดเลือกจากอำเภอให้เป็นคนขยันของชาติ ในตำบลชะมวง ได้รับรางวัลแหวน ๑ วง เป็นตัวเงินเรือนทอง จารึกอักษรไว้ที่หัวแหวนว่า "เป็นคนขยันของชาติ" และได้รับบัตรประจำตัวลดค่าโดยสารรถไฟครึ่งราคา
พ.ศ.๒๔๙๙ ท่านได้ไปถวายตัวกับท่านเจ้าคุณพุทธิธรรมธาดา เข้าวิปัสสนากรรมฐาน ณ วัดสุวรรณวิชัย รู้สึกว่าได้รับผลอย่างดี เป็นที่ปลื้มใจอย่างยิ่ง
พ.ศ.๒๕๐๐ ท่านพระครูสิริรัตโนภาส ได้จัดทำสะพานข้ามคลองเข้าวัด ได้นำเงินส่วนตัวถวาย ๑,๐๐๐ บาท เพราะถือว่าเป็นบุญจริงๆ พร้อมกับช่วยขอจากผู้มีจิตศรัทธา ๔,๐๐๐ บาท ลูกศิษย์เก่ามารำโนรา ๒ ครั้งได้เงิน ๑๐,๐๐๐ บาทเศษ ได้นำถวายท่านพระครูศิริรัตโนภาส เจ้าอาวาสวัดพิกุลทองเพื่อสมทบทุนทำสะพานและพระอุโบสถ ในโอกาสนี้พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเฉลิมพลทิฆัมพร บริจาคเพื่อสร้างประตูเหล็กพระอุโบสถเป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท
ระยะการรำโนรา
เมื่อเรียนวิชารำโนราแล้วก็เที่ยวรำโนรา จนมีชื่อเสียงมากเป็นที่ชอบใจพอใจของผู้ดูผู้ชม ประชาชนได้ตั้งชื่อให้ว่า "โนราพุ่มเทวา" คือรำเหมือนเทวดาลงมาจากสวรรค์ ท่านมาหยุดรำโนรา เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๘ เพราะงานในตำแหน่งกำนันมีมากไม่มีเวลา จากนั้นก็ได้รำอีกครั้งหนึ่ง เพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๒ เมื่อคราวพระองค์เสด็จเยี่ยมราษฎรจังหวัดพัทลุง
พ.ศ.๒๕๐๗ อาจารย์ใหญ๋โรงเรียนสตรีฝึกหัดครูสงขลา (สมบุญ ศรียาภัย) ได้ให้อาจารย์ภิญโญ จิตต์ธรรม มาขอร้องให้ไปเป็นอาจารย์พิเศษสอนรำโนราให้นักเรียน ท่านก็ไปให้ตามความประสงค์ และได้สอนที่วิทยาลัยครูสงขลาจนกระทั่งถึงประมาณปี พ.ศ.๒๕๑๕
พ.ศ.๒๕๑๓ พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเฉลิมพลทิฆัมพร สั่งให้หลวงคเชนทรามาตย์นำข้าพเจ้าไปรำถวายที่โรงเรียนนาฏศิลป์ รำออกโทรทัศน์ช่อง ๔ และ รำเพื่อทำภาพยนต์ที่หนองแขม
พ.ศ.๒๕๑๔ ผู้อำนวยการวิทยาลัยครูสงขลา (สมบุญ ศรียาภัย) ได้นำข้าพเจ้าไปรำให้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช และคณะโขนธรรมศาสตร์ดู ณ โรงแรมสมิหลา สงขลา
รำถวายหน้าพระที่นั่ง ๕ ครั้ง
๑.พ.ศ.๒๔๕๘ รำถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ณ พลับพลานาวง อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง
๒.พ.ศ.๒๔๕๘ รำถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ณ หน้าวังสมเด็จฯ สงขลา
๓.พ.ศ.๒๔๗๖ รำถวายสมเด็จกรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ เสด็จแทนพระองค์ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ ณ ภัตตาคารลำปำ จังหวัดพัทลุง ได้รับพระราชทานรางวัลเป็นเงิน ๕๐๐ บาท
๔.พ.ศ.๒๕๐๒ รำถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ และ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ณ หน้าศาลากลางจังหวัดพัทลุง ได้รับพระราชทานเหรียญที่ระลึก ๑ เหรียญ
๕.พ.ศ.๒๕๑๔ รำถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ได้รับพระราชทานเหรียญ ภ.ป.ร. ในการรำครั้งนี้ข้าพเจ้าและคณะได้มีโอกาสเข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด
ได้รับยกย่องและเชิดชูเกียรติ
จากคุณความดีที่ท่านได้ปฎิบัติมาแต่ต้น นักข่าวหนังสือพิมพ์วารสาร โทรทัศน์ช่อง ๑๐ หาดใหญ่ ได้นำประวัติของท่านไปลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ดังกล่าว โดยยกย่องว่าเป็น "คนดีชาวใต้"
นอกจากหนังสือพิมพ์ดังกล่าวยังมีหนังสือพิมพ์อื่นๆ เช่น สยามรัฐรายวัน วารสารศิลปวัฒนธรรม ฯลฯ
ได้รับเชิดชูเกียรติ
เมื่อท่านอายุได้ ๙๐ ปี สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติพร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา วิทยาลัยครูสงขลา มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ สงขลา วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราข ได้ร่วมกันพิจารณาเห็นว่า "ขุนอุปถัมภ์นรากร" เป็นบุคคลที่สมควรได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติศิลปินภาคใต้ในการำโนรา ได้ฝึกลูกศิษย์ไว้มากมาย เป็นการรักษาศิลปะการรำประจำภาคใต้ไว้มิให้สูญหาย ประกอบกับขุนอุปถัมภ์นรากร เป็นบุคคลที่มีคุณธรรม ไม่ยุ่งกับอบายมุขมีผลงานดีเด่น จึงมีมติให้จัดงานเชิดชูเกียรติให้เป็น ศิลปินประจำภาคใต้ แก่ ขุนอุปถัมภ์นรากร ที่จังหวัดพัทลุง เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๒๓ โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาเป็นองค์ประธาน
ได้รับพระราชทานปริญญาครุศาสตร์บัณฑิตกิตติมศักดิ์
เมื่ออายุได้ ๙๓ ปี วิทยาลัยครูสงขลาเสนอขอให้สภาการฝึกหัดครู พิจารณาให้ปริญญากิตติมศักดิ์แก่ขุนอุปถัมภ์นรากร ซึ่งเป็นผู้มีผลงานยอดเยี่ยมควรเชิดชูเกียรติในฐานะเป็นศิลปินยอดเยี่ยมของภาคใต้ เป็นบุคคลที่มีคุณธรรมสูง มีความซื่อสัตย์สุจริต เป็นบุคคลที่บำเพ็ญประโยชน์แก่สังคม เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป สมควรแก่การยกย่องและเป็นบุคคลที่มีผลงานทางวิชาการดีเด่น ในสาขาวิชาที่เปิดสอนในวิทยาลัยครู และผลงานทางวิชาการนั้นเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งแก่บุคคลที่อยู่ในวงการศึกษา สภาการฝึกหัดครูอนุมัติปริญญาดังกล่าว ได้รับพระราชทานปริญญาครุศาสตร์บัณฑิตกิตติมศักดิ์เป็นบุคคลแรกจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ณ สวนอัมพร ในวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๒๖
หลังจากได้รับพระราชทานปริญญาครุศาสตร์บัณฑิตกิตติมศักดิ์แล้ว ก็ได้ล้มป่วยด้วยความชรา ประมาณ ๔ เดือน ก็ถึงแก่กรรมด้วยความสงบ ในวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๒๖ ณ บ้านพักบ้านหัวถนน อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง