แพนด้าแดง(Red panda, Shining cat)
แพนด้าแดง
แพนด้าแดง (Red panda, Shining cat)
ชื่อทางวิทยาศาสตร์: Ailurus fulgens
ลักษณะทั่วไป
ความยาวลำตัว 50-64 เซนติเมตร ความยาวหาง 28-48 เซนติเมตร น้ำหนัก 3-6 กิโลกรัม จมูกสั้นและแหลม ตาเล็ก หูตั้ง มีลายที่ใบหน้าเหมือนสวมหน้ากาก ขนยาว และหนา สีน้ำตาลแดง ส่วนท้อง และสะโพกมีขนสีดำ มีจุดสีน้ำตาลแดงใต้ตา ที่แก้ม ขอบหู และเหนือดวงตามีขนสีขาว หางยาว มีวงแหวน 12 วงสีน้ำตาลแดง สลับสีน้ำตาลอ่อน มีต่อมกลิ่นที่เท้า และที่ก้น
เริ่มออกหากินเมื่อเวลาใกล้ค่ำ เป็นสัตว์ที่ขี้อาย และหากินตัวเดียว ปีนต้นไม้เก่ง แหล่งอาศัยจะอยู่ในป่าไผ่ ป่าสน ที่ระดับความสูง 2,200-4,800 เมตร ใช้เวลาส่วนใหญ่พักผ่อน อาบแดด และแต่งขนบนกิ่งไม้ เมื่ออากาศหนาวมันจะขดตัวซ่อนส่วนหัวและขา เมื่ออากาศอุ่นขึ้น มันจะนอนเหยียดลำตัวพาดกับกิ่งไม้ แพนด้าแดงจะแต่งขนเมื่อ ตื่นนอน หรือกินอาหาร ขั้นตอนการแต่งขนประกอบด้วย การเหยียดตัว เลียขน และล้างหน้าด้วยฝ่ามือและฝ่าเท้า ที่อาศัยเพื่อพักผ่อนหรือออกลูกจะเป็นโพรงไม้ คาคบไม้ หรือถ้ำหิน แพนด้าแดงเป็นสัตว์ที่มีอาณาเขต โดยมันจะทำเครื่องหมายด้วยกลิ่นฉี่ และสารที่หลั่งออกมาจากต่อมที่ก้น โดยมันจะถู หรือป้ายตามกิ่งไม้ ศัตรูในธรรมชาติ คือ เสือดาวหิมะ หมาไม้ สมัยก่อนมนุษย์จะล่าแพนด้าแดงเพื่อเอาขนหางมาทำเป็นพู่หมวก และจับมาขายให้กับสวนสัตว์ต่างประเทศ แต่ปัจจุบันมีการรณรงค์ห้ามล่าแพนด้าแดงแล้ว
ถิ่นอาศัย, อาหาร
เทือกเขาหิมาลัย และตามภูเขาสูงของประเทศเนปาล อินเดีย ภูฐาน จีน ลาว และพม่า แพนด้าแดง แบ่งเป็น 2 ชนิดย่อย ได้แก่ 1. Ailurus fulgens fulgens ขนาดตัวเล็กกว่า หน้าจะมีขนสีจางกว่า พบในเนปาล ทิเบต อินเดีย ภูฐาน และจีน 2. Ailurus fulgens styani ลายที่หน้าสีเข้ม พบในพม่า และบางพื้นที่ในจีน
อาหารหลัก คือ ใบไผ่ นอกจากนี้ก็กินลูกสน รากไม้ ลูกไม้ เห็ด บางครั้งกินไข่นก และลูกนก แพนด้าแดง ใช้เวลา 13 ชั่วโมงในหนึ่งวัน เพื่อหาใบไผ่กิน
พฤติกรรม, การสืบพันธุ์
โตเต็มที่เมื่ออายุ 18 เดือนขึ้นไป ฤดูผสมพันธ์อยู่ในเดือนมกราคมถึงมีนาคม ตั้งท้องนาน 112-158 วัน ออกลูกครั้งละ 1-4 ตัว ลูกแรกเกิดมีน้ำหนัก ประมาณ 110-130 กรัม ลูกหย่านมเมื่ออายุ 5 เดือน อายุเฉลี่ย 15 ปี
สถานภาพปัจจุบัน
ปัจจุบันมีจำนวนน้อยลง เนื่องจากถูกคุกคามจากการทำลายแหล่งที่อยู่อาศัย เป็นสัตว์ที่ได้รับการคุ้มครองในประเทศจีนและเนปาล IUCN (สหภาพสากลว่าด้วยการอนุกรักษ์) จัดให้เป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ และจัดอยู่ใน CITES (อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์) appendix 2 (ชนิดพันธุ์ที่อยู่ในบัญชีแนบท้ายหมายเลข 2 ซึ่งหมายถึง ชนิดที่สามารถนำเข้า ส่งออก หรือนำผ่านได้ แต่ต้องมีการควบคุมไม่ให้เกิดความเสียหาย หรือลดจำนวนของชนิดพันธุ์ ฯ นั้นอย่างรวดเร็ว โดยต้องมีใบอนุญาตกำกับ)