• user warning: Duplicate entry '536306482' for key 'PRIMARY' query: INSERT INTO accesslog (title, path, url, hostname, uid, sid, timer, timestamp) values('เรื่องน่ารู้', 'node/150601', '', '18.225.56.134', 0, '401b888d3fa94e0f2e99f8b7a8c4685f', 115, 1729409371) in /home/tgv/htdocs/modules/statistics/statistics.module on line 63.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:0a9e73a791f692b10ef83a6f41babb69' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><h1 align=\"center\">                           <span style=\"color: #8b4513\">ประวัติที่มาของวากาชิ</span></h1>\n<div style=\"text-align: center\">\n<img height=\"374\" width=\"500\" src=\"/files/u85899/wagashi2_1.jpg\" border=\"0\" style=\"width: 496px; height: 374px\" />\n</div>\n<p align=\"left\">\n           เดิมทีนั้นของหวานใน<span style=\"color: #ff0000\">สมัยยาโยอิ</span><span style=\"color: #000000\">ของ</span>ญี่ปุ่น(300 ปีก่อนคริสกาล-ค.ศ.300) ไม่มีอะไรมากไปกว่าผลไม้ตามธรรมชาติ เช่น พุทรา และถั่วชนิดต่างๆ แต่ต่อมาใน<span style=\"color: #ff0000\">สมัยนะระ</span> (ค.ศ. 710-784) ญี่ปุ่นได้รับวัฒนธรรมในด้านต่างๆ มาจากจีนมากมายรวมทั้งการทำขนมหวานด้วยข้าวและข้าวเหนียวซึ่งในแบบขแงจีนเรียกว่า <span style=\"color: #ff0000\">เหนียน เกา</span> หรือ เค้กที่ทำจากข้าว ซึ่งชาวญี่ปุ่นในสมัยนั้นได้นำมาปรับเปลี่ยนให้เป็นขนมในแบบฉบับของตนเอง คือ<span style=\"color: #ff0000\"> โมจิ</span>และ<span style=\"color: #ff0000\">ดังโกะ</span>\n</p>\n<p><span style=\"color: #ff0000\">     <img height=\"193\" width=\"262\" src=\"/files/u85899/imagesCAN2BUO2.jpg\" border=\"0\" /></span><span style=\"color: #ff0000\"> <img height=\"250\" width=\"390\" src=\"/files/u85899/harunama-dango.jpg\" border=\"0\" style=\"width: 245px; height: 194px\" /> </span></p>\n<p>\n           <span style=\"color: #000000\"> ต่อมาในช่วงปลาย<span style=\"color: #ff0000\">สมัยมูโระมะจิ</span> (ค.ศ.1336-1573) วากาชิเริ่มมีการพัฒนาการมากขึ้น เมื่อญี่ปุ่นได้ทำการค้าอย่างกว้างขวางกับโปรตุเกสและสเปน จึงได้นำส่วนผสมและเมนูขนมหวานใหม่ๆจากทั้ง 2 ชาติเข้ามาผสมผสานในการทำวากาชิ เช่น การเริ่มนำน้ำตาลเข้ามาใช้ทำขนมมากขึ้น จนรสหวานกลายเป็นรสชาติพื้นฐานของวากาชิไปในที่สุด</span>\n</p>\n<p></p>\n<p align=\"left\">\n           วากาชิเริ่มเป็นที่รู้จักแรพ่หลายในหมู่ประชาชนทั่วไป และกลายเป็นขนมที่นิยมผลิตเพื่อขายกันมากในช่วงสมัยเอโดยตอนต้น(ค.ศ. 1603-1867) ในช่วงนี้พ่อค้าชาวญี่ปุ่นเริ่มคำนึงถึงรูปลักษณ์ที่สวยงานและความหลลากหลายของวากาชิ เพื่อดึงดูดใจลูกค้าให้มาซื้อ ดังนั้นวากาชิจึงถึงพัฒนาให้กลายเป็นขนมหวานซึ่งมีความงามทางศิลปะและมีเอกลักษณ์ในแบบของญี่ปุ่นแท้ๆ โดยแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์วากาชินั้น มักได้มาจากต้นไม้ ดอกไม้ และการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล เช่น ฤดูใบไม้ร่วงจะทำขนมคิคุโกะโระโมะรูปดอกเบญจมาศ ส่วนฤดูหนาวก็จะทำยูคิโมจิ หรือโมิหิมะ เป็นต้น\n</p>\n<p align=\"left\">\n           นอกจากนี้วากาชิเริ่มถูกนำมาใช้เป็นขนมหวานในพิธีชงชา เป็นของว่างยามบ่าย และเป็นของขวัญมอบให้แก่กัน\n</p>\n<p align=\"left\">\n          \n</p>\n<div style=\"text-align: center\">\n <img height=\"268\" width=\"400\" src=\"/files/u85899/cha.jpg\" border=\"0\" />\n</div>\n<p align=\"left\">\n           ต่อมาในช่วง<span style=\"color: #ff0000\">สมัยเมจิ</span> (ค.ศ.1868-1912) เค้กและของหวานแบบตะวันตก ได้ถูกนำเข้ามาสู่ญี่ปุ่น และมีอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อพัฒนาการของวากาชิให้มีรูปแบบและความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งคำว่า <span style=\"color: #ff0000\">วากาชิ</span> นั้นถือกำเนิดขึ้นมาในช่วง<span style=\"color: #ff0000\">ปลายสมัยไทโช</span> (ค.ศ.1912-1926) เพื่อแยกความเป็นขนมหวานของญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมแท้ให้แตกต่างจากของตะวันตก\n</p>\n<h1 align=\"left\"><span style=\"color: #ff4500\">ประเภทของวากาชิ</span></h1>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #ff0000\"> </span><span style=\"color: #ff0000\">นะมะกะชิ</span> เป็นขนมที่ทำมาจากแป้งห่อไส้ถั่วหวานบดหรือผลไม้กวน แล้วปั้นเป็นรูปทรงต่างๆอย่างสวยงาม สื่อให้รู้ว่าฤดูกาลใหม่กำลังจะมาเยือน เช่น เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิก็จะทำซากุระโมจิ เป็นต้น\n</p>\n<div style=\"text-align: center\">\n<img height=\"150\" width=\"212\" src=\"/files/u85899/wagashi-hinagashi.jpg\" border=\"0\" style=\"width: 243px; height: 193px\" /> \n</div>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #ff0000\">ฮิงาชิ</span> เป็นขนมหวานแบบแห้ง ทำจากแป้งข้าวเหนียว น้ำตาล และซัมบังโตะ (น้ำตาลผง) นำมาอัดในพิมพ์เป็นรูปต่างๆ มักเสิร์ฟในพิธีชงชา\n</p>\n<div style=\"text-align: center\">\n<img height=\"50\" width=\"200\" src=\"/files/u85899/p16n43ipm51e65g231lhu46dt3a3.jpg\" border=\"0\" style=\"width: 243px; height: 182px\" />\n</div>\n<p align=\"left\">\n&nbsp;\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #ff0000\">โมะนะกะ</span> ขนมหวานไส้ถั่วแดงประกบด้วยแผ่นแป้งกรอบซึ่งทำจากข้าวหนาว มีหลากหลายรูปแบบ\n</p>\n<div style=\"text-align: center\">\n <img height=\"285\" width=\"400\" src=\"/files/u85899/monaka2.jpg\" border=\"0\" />\n</div>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #ff0000\">โยคัง</span> ขนมเยลลี่เหนียวๆมำจากคันเตน (วุ้นที่ได้จากสาหร่าย) และน้ำตาล สอดไส้ถั่งแดง เป็นขนมที่นิยมกันมากในสมัยเอโดะ\n</p>\n<div style=\"text-align: center\">\n<img height=\"370\" width=\"550\" src=\"/files/u85899/yokan1.jpg\" border=\"0\" style=\"width: 290px; height: 190px\" />\n</div>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #ff0000\">มันจู</span> ขนมทรงกลมทำจากแป้งมันเทศสอดไส้ถั่วหวานชนิดต่างๆแล้วนำไปนึ่ง\n</p>\n<div style=\"text-align: center\">\n<img height=\"180\" width=\"230\" src=\"/files/u85899/shiratama-mannjuu.jpg\" border=\"0\" />\n</div>\n<p align=\"left\">\n           นอกจากนี้ยังมีวากาชิอื่นๆอีกมากมาย\n</p>\n<h1 align=\"left\"><span style=\"background-color: #c0c0c0; color: #000000\"></span></h1>\n<p style=\"text-align: center\">\n&nbsp;\n</p>\n<p style=\"text-align: center\">\n&nbsp;\n</p>\n<p style=\"text-align: center\">\n&nbsp;\n</p>\n<p style=\"text-align: center\">\n&nbsp;\n</p>\n<p style=\"text-align: center\">\n&nbsp;\n</p>\n<p style=\"text-align: center\">\n&nbsp;\n</p>\n<p style=\"text-align: center\">\n&nbsp;\n</p>\n<p style=\"text-align: center\">\n&nbsp;\n</p>\n<p style=\"text-align: center\">\n&nbsp;\n</p>\n<p style=\"text-align: center\">\n&nbsp;\n</p>\n<p style=\"text-align: center\">\n&nbsp;\n</p>\n<p style=\"text-align: center\">\n&nbsp;\n</p>\n<p style=\"text-align: center\">\n&nbsp;\n</p>\n<p style=\"text-align: center\">\n&nbsp;\n</p>\n<p style=\"text-align: center\">\n&nbsp;\n</p>\n<p style=\"text-align: center\">\n&nbsp;\n</p>\n<p style=\"text-align: center\">\n&nbsp;\n</p>\n<p style=\"text-align: center\">\n&nbsp;\n</p>\n<p style=\"text-align: center\">\n&nbsp;\n</p>\n', created = 1729409381, expire = 1729495781, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:0a9e73a791f692b10ef83a6f41babb69' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.

วากาชิ (Wagashi)

รูปภาพของ stn38464

                           ประวัติที่มาของวากาชิ

           เดิมทีนั้นของหวานในสมัยยาโยอิของญี่ปุ่น(300 ปีก่อนคริสกาล-ค.ศ.300) ไม่มีอะไรมากไปกว่าผลไม้ตามธรรมชาติ เช่น พุทรา และถั่วชนิดต่างๆ แต่ต่อมาในสมัยนะระ (ค.ศ. 710-784) ญี่ปุ่นได้รับวัฒนธรรมในด้านต่างๆ มาจากจีนมากมายรวมทั้งการทำขนมหวานด้วยข้าวและข้าวเหนียวซึ่งในแบบขแงจีนเรียกว่า เหนียน เกา หรือ เค้กที่ทำจากข้าว ซึ่งชาวญี่ปุ่นในสมัยนั้นได้นำมาปรับเปลี่ยนให้เป็นขนมในแบบฉบับของตนเอง คือ โมจิและดังโกะ

     

            ต่อมาในช่วงปลายสมัยมูโระมะจิ (ค.ศ.1336-1573) วากาชิเริ่มมีการพัฒนาการมากขึ้น เมื่อญี่ปุ่นได้ทำการค้าอย่างกว้างขวางกับโปรตุเกสและสเปน จึงได้นำส่วนผสมและเมนูขนมหวานใหม่ๆจากทั้ง 2 ชาติเข้ามาผสมผสานในการทำวากาชิ เช่น การเริ่มนำน้ำตาลเข้ามาใช้ทำขนมมากขึ้น จนรสหวานกลายเป็นรสชาติพื้นฐานของวากาชิไปในที่สุด

           วากาชิเริ่มเป็นที่รู้จักแรพ่หลายในหมู่ประชาชนทั่วไป และกลายเป็นขนมที่นิยมผลิตเพื่อขายกันมากในช่วงสมัยเอโดยตอนต้น(ค.ศ. 1603-1867) ในช่วงนี้พ่อค้าชาวญี่ปุ่นเริ่มคำนึงถึงรูปลักษณ์ที่สวยงานและความหลลากหลายของวากาชิ เพื่อดึงดูดใจลูกค้าให้มาซื้อ ดังนั้นวากาชิจึงถึงพัฒนาให้กลายเป็นขนมหวานซึ่งมีความงามทางศิลปะและมีเอกลักษณ์ในแบบของญี่ปุ่นแท้ๆ โดยแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์วากาชินั้น มักได้มาจากต้นไม้ ดอกไม้ และการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล เช่น ฤดูใบไม้ร่วงจะทำขนมคิคุโกะโระโมะรูปดอกเบญจมาศ ส่วนฤดูหนาวก็จะทำยูคิโมจิ หรือโมิหิมะ เป็นต้น

           นอกจากนี้วากาชิเริ่มถูกนำมาใช้เป็นขนมหวานในพิธีชงชา เป็นของว่างยามบ่าย และเป็นของขวัญมอบให้แก่กัน

          

 

           ต่อมาในช่วงสมัยเมจิ (ค.ศ.1868-1912) เค้กและของหวานแบบตะวันตก ได้ถูกนำเข้ามาสู่ญี่ปุ่น และมีอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อพัฒนาการของวากาชิให้มีรูปแบบและความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งคำว่า วากาชิ นั้นถือกำเนิดขึ้นมาในช่วงปลายสมัยไทโช (ค.ศ.1912-1926) เพื่อแยกความเป็นขนมหวานของญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมแท้ให้แตกต่างจากของตะวันตก

ประเภทของวากาชิ

 นะมะกะชิ เป็นขนมที่ทำมาจากแป้งห่อไส้ถั่วหวานบดหรือผลไม้กวน แล้วปั้นเป็นรูปทรงต่างๆอย่างสวยงาม สื่อให้รู้ว่าฤดูกาลใหม่กำลังจะมาเยือน เช่น เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิก็จะทำซากุระโมจิ เป็นต้น

 

ฮิงาชิ เป็นขนมหวานแบบแห้ง ทำจากแป้งข้าวเหนียว น้ำตาล และซัมบังโตะ (น้ำตาลผง) นำมาอัดในพิมพ์เป็นรูปต่างๆ มักเสิร์ฟในพิธีชงชา

 

โมะนะกะ ขนมหวานไส้ถั่วแดงประกบด้วยแผ่นแป้งกรอบซึ่งทำจากข้าวหนาว มีหลากหลายรูปแบบ

 

โยคัง ขนมเยลลี่เหนียวๆมำจากคันเตน (วุ้นที่ได้จากสาหร่าย) และน้ำตาล สอดไส้ถั่งแดง เป็นขนมที่นิยมกันมากในสมัยเอโดะ

มันจู ขนมทรงกลมทำจากแป้งมันเทศสอดไส้ถั่วหวานชนิดต่างๆแล้วนำไปนึ่ง

           นอกจากนี้ยังมีวากาชิอื่นๆอีกมากมาย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ใหญ่ใจดี
 

 ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ 
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ 
ไม่ถูกปิดเสียก่อน

ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 
มีผลบังคับใช้แล้ว 
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

 

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 414 คน กำลังออนไลน์