ชนิดและพันธุ์ม้า

รูปภาพของ sss28703

การแบ่งประเภทของม้าด่างตามหลักการของอเมริกัน

 

Tobiano

     ม้าด่างแบบโทบิยาโน ปกติจะมีสีเข้มพาดที่บริเวณหน้าอกลงถึงโคนขา หรือเอวถึงโคนขาหลัง อาจจะเป็นไปได้ที่บริเวณขาหน้า หรือขาหลัง หรืออาจะมีทั้งสองขา ขาทั้งสี่ข้างต้องเป็นสีขาว หรืออย่างน้อยตั้งแต่เข่าลงไปต้องเป็นสีขาว ปกติรอยด่างเข้มมักเป็นรูปวงรี หรือกลม ที่พาดผ่านคอและหน้าอก ทำให้ดูคล้ายใส่เกราะ บริเวณหน้าอาจเป็นสีเดียว หน้าลาดใหญ่ หน้าจุด สีที่เด่นเป็นได้ทั้งสีเข้มและสีขาว หมายถึงสีอะไรมากกว่าก็ได้ หางมักมีสองสี

 

Overo (โอแฟโร่)

     โอแฟโร่จะมีลักษณะเด่นคือสีขาวจะไม่ตัดผ่านหลังม้าที่บริเวณตะโหนกม้าและที่หาง โดยทั่วไปแล้ว อย่างน้อยต้องมีขาหนึ่ง หรือทั้งสี่ขาเป็นสีดำหรือเข้ม ส่วนใหญ่สีขาวจะเป็นสีข้างน้อย และกระจัดกระจายเป็นหย่อมๆ และมักมีหน้าลาดยาวจรดจมูก หรือน้อยกว่านั้นก็ไม่เป็นไร สีที่เด่นเป็นได้ทั้งสีเข้มและสีขาว หมายถึงสีอะไรมากกว่าก็ได้ หางมักมีสีเดียว

 

Tovero (โทแฟโร่)

     บริเวณหูมีสีดำ บางทีอาจจะลามไปถึงหน้าผากและตาทั้งสองข้าง โดยลูกนัยน์ตาข้างหนึ่งหรือสองข้างจะเป็นสีฟ้า ปากมีสีคล้ำหรือดำ และบางทีอาจลามไปถึงแก้มเป็นวง มีจุดหรือรอยด่างใหญ่หรือเล็กบริเวณหน้าอก หากใหญ่มากอาจลามถึงคอ และมีรอยด่างอีกจุดที่บริเวณท้องมาถึงเอว และอาจลามลงบริเวณหน้าขาหลัง รอยด่างดังกล่าวอาจเล็กหรือใหญ่ก็ได้ ไม่มีข้อจำกัด และมีจุดหรือรอยด่างอีกแห่ง บริเวณโคนหาง

 

The Lipizzaner (ลิปิซานเนอร์)

     ลักษณะเด่นของม้าพันธุ์นี้
     1. แรกเกิดสีดำ หรือออกเทาๆ โตขึ้นสีจางลงและเปลี่ยนเป็นขาวในที่สุด หางและขนแผงคอสีขาว
     2. หูเล็ก ตากลมโต คอสั้นหนา รูปร่างกำยำล่ำสัน เป็นมิตรกับคนง่าย ตัวผู้สูง 155-160 ซม. ตัวเมียสูงประมาณ 140-150 ซม.
     3. กีบแข็งแรงทนทาน มีสีขาวหรือดำ ไม่ค่อยพบปัญหาเรื่องโรคกีบ
     4. ใช้เป็นม้าโชว์ ม้าขี่เล่น ม้าสวยงาม
     5. ม้าที่มีสายเลือดลิปิซานเนอร์แต่ไม่ใช่ Pure Breds จะเรียกว่า Part Breds, Part Lipizzaners
     6. เป็นม้าที่เป็นหนุ่มเป็นสาวช้ากว่าม้าสายอื่นๆ ที่โดยปกติจะใช้เวลา 3 ปี แต่ลิปิซานเนอร์จะใช้เวลา 4- 5 ปี จึงจะเริ่มเป็นหนุ่มหรือสาว เนื่องจากโครงสร้างใหญ่กว่าม้าปกติ

 

ม้าพันธุ์ควอเตอร์หรือ ควอเตอร์ฮอร์ส หรืออเมริกันควอเตอร์ฮอร์ส

     เป็นม้าที่มีชื่อเรียกตามลักษณะการแข่งระยะทางประมาณ ¼ ไมล์ ซึ่งเป็นระยะที่ม้าประเภทนี้สามารถทำความเร็วได้สูงสุด สถิติที่บันทึกเอาไว้ว่ากันว่าสามารถทำความเร็วได้ถึง 55 ไมล์ต่อชั่วโมง (เกือบ 90 กม.ต่อ ชม.) ลักษณะเด่นของม้าพันธุ์นี้คือ ล่ำสันบึกบึน สูงประมาณ 150-155 ซม. คอสั้น หน้าอกกว้างกำยำ สะโพกกลมบ่งบอกถึงแหล่งกำเนิดอันมหาศาลของพละกำลัง เชื่อง เมื่อฝึกดีแล้วจะสงบนิ่งมาก เหมาะสำหรับ การขี่เล่นเพื่อสันทนาการ

 

ม้าพันธุ์ฟรีเชี่ยน (Friesian, the Black Beauty)

     มีแหล่งกำเนิดที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ หรือ ฮอลแลนด์หรือฮอลันดาในสมัยโบราณนั่นเอง ลักษณะเด่นคือมีขนสีดำมันสนิทไม่มีสีอื่นแซม การวางเท้าเวลาทร็อทยกขาหน้าสูงมาก แลดูสวยงาม อุปนิสัยนิ่งว่านอนสอนง่ายและติดไปทางค่อนข้างจะคึกคัก ร่างกายกำยำล่ำสัน ส่วนสูงมีตั้งแต่ 15 -17 แฮนด์ แผงขนคอหนาดกรวมทั้งขนหน้าผาก หางยาวแตะพื้น ข้อเท้ามีพู่ห้อยระย้าสวยงาม (feather)

 

ม้าแคระ (Miniature horse)

     ม้าแคระหรือที่คนไทยใช้ศัพท์เรียกอย่างไม่ถูกต้องมาช้านานว่า Pony คือม้าแคระ แต่จริงๆแล้วเป็นการเข้าใจผิด เพราะคำว่าม้าแคระที่ตรงๆน่าจะใช้คำว่า Miniature Horse ซึ่งระยะหลังหลังจากที่ไทยโพนี่ได้เริ่มรณรงค์การให้ความรู้ที่ถูกต้องกับคนรักม้าระดับรากหญ้าในระยะหนึ่ง ก็ได้พบว่าเริ่มมีคนเข้าใจแล้วว่า ม้าโพนี่จริงๆ แล้วมีส่วนสูงได้ถึง 140-145 ซม. หรือในระดับที่ผู้ชายไซส์มาตรฐานเอเชียขี่ อีกประการหนึ่งคือ ม้าที่เรียกว่าโพนี่นั้น เหมาะที่จะใช้สำหรับขี่เล่น หรือเลี้ยงไว้เพื่อความเพลิดเพลิน การที่จะบอกว่าม้าแคระจริงหรือไม่ก็ต้องดูที่ส่วนสูง โดยกำหนดให้มีความสูงไม่เกิน 82-91 ซม. โดยทั่วไปแล้วจะมีขนาดเล็กกว่าม้าไทย (ม้าไทยตัวเมียโดยเฉลี่ยจะสูงประมาณ 115-120 ซม. และตัวผู้จะสูงประมาณ 125-130 ซม.)

 

ม้าพันธุ์โฮลสไตน์ (The Holsteiner)

     ม้าพันธุ์นี้กับม้าฮาโนเวอร์เลี่ยนถือว่าชิดกันมาก เชื่อกันว่ากำเนิดที่สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ที่แคว้น เชสวิก โฮลสไตน์ (Schleswig-Holstein) รูปร่างสูงใหญ่สง่างาม ส่วนสูงโดยเฉลี่ยประมาณ 165-175 ซม. เป็นม้าที่โตจนเรียกว่าเป็นน้องๆ ช้างได้ทีเดียว (รองๆจากพวกม้างานหรือ Draft Horse ที่โตได้ถึง กว่า 180 ซม.) ม้าสายพันธุ์นี้สามารถหาประวัติย้อนหลังเมื่อแรกกำเนิดสายพันธุ์ที่ประมาณคริสศตวรรษที่ 14 ม้าโฮลสไตน์จะมีลักษณะเด่นคือ หนา สูงใหญ่ ลำตัวอ้วนกลม อกชันกว้าง (เหมาะสำหรับกระโดดข้าเครื่องกีดขวาง) หลังยาวเมื่อเทียบกับช่วงขา ช่วงขาสั้น คอสั้น กระดูกใหญ่ นิยมใช้เป็นม้ากระโดดและม้าลากรถ

     ข้อเด่นของม้าตัวนี้คือ สามารถเลี้ยงได้ทั้งบริเวณที่ชื้นแฉะและที่แห้ง บางกระแสเชื่อกันว่าม้าโฮลสไต์นี้ได้รับอิทธิพลมาจากพ่อม้าสาย นีอาโพลิตัน Neapolitan ในยุคศตวรรษที่ 16-17 หลังจากนั้นก็แพร่สายพันธุ์ไปทั่วยุโรป ล่วงเข้าศตวรรษที่ 19 เกิดกระแสนิยมม้าTB อย่างแรงจากอังกฤษ จนทำให้ม้าโฮลสไตน์คล้ายดั่งถูกลืมจากวงการม้า จวบจนถึงปัจจุบัน ก็เริ่มกลับมานิยมเจ้ายักษ์ใหญ่ตัวนี้อีกครั้ง

รูปภาพของ ssspoonsak

ดูดีจ้า ทำหัวข้อให้เน้นจะดีมาก

ครูพูนศักดิ์ สักกทัตติยกุล
ทำด้วยใจ ไปด้วยฝัน

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ใหญ่ใจดี
 

 ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ 
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ 
ไม่ถูกปิดเสียก่อน

ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 
มีผลบังคับใช้แล้ว 
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

 

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 400 คน กำลังออนไลน์