โลก
โลกที่อยู่อาศัยของมนุษย์เรานั้นเป็นดาวเคราะห์ลำดับที่ 3 ในระบบสุริยะ โลกเป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาดาวเคราะห์หินทั้งสี่ในระบบสุริยะ(ได้แก่ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก และ ดาวอังคาร) โลกนั้นถือกำเนิดเมื่อ 4.54 พันล้านปีมาแล้ว โดยในปัจจุบันโลกถือว่าเป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ เนื่องจากโลกมีชั้นบรรยากาศที่มีออกซิเจนและมีน้ำที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต อีกทั้งยังมีสนามแม่เหล็กโลกที่ป้องกันการแผ่รังสีต่างๆที่เป็นอันตรายจากอวกาศอีกด้วย
การโคจรของดวงจันทร์รอบโลก
โนอกจากโลกของเราที่โคจรรอบดวงอาทิตย์แล้วโลกยังมีดวงจันทร์ที่โคจรรอบโลกอยู่ด้วย โดยระนาบการโคจรรอบโลกของดวงจันทร์ทำมุมประมาณ 5 องศากับระนาบการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ ซึ่งสมมุติว่าระนาบทั้งสองเป็นระนาบเดียวกันแล้วจะทำให้เกิดอุปราคาขึ้นทุก 2 สัปดาห์ สลับกันระหว่างสุริยุปราคาและจันทรุปราคา นอกจากนี้ดวงจันทร์ยังมีคาบเวลาการโคจรรอบโลก 27.32 วัน เท่ากันกับคาบเวลาในการโคจรรอบตัวเองของดวงจันทร์ทำให้เรามองเห็นดวงจันทร์จากโลกเพียงด้านเดียวของดวงจันทร์อยู่เสมอ
วงโคจรของโลก
โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ในทิศทางทวนเข็มนาฬิกาเมื่อมองจากเหนือขั้วโลกเหนือของโลกและดวงอาทิตย์ มีลักษณะการโคจรเป็นรูปวงรีใช้เวลาในการโคจร 1 รอบ 365.2564 วัน โดยมีระยะใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด 147.1 ล้านกิโลเมตร และระยะไกลดวงอาทิตย์มากที่สุด 152.1 ล้านกิโลเมตร โดยแกนหมุนของโลก(ขั้วเหนือ-ใต้)ทำมุมเอียงกับระนาบการโคจรรอบดวงอาทิตย์ (ecliptic plane) 23.5 องศา การที่แกนโลกมีความเอียงนี่เองทำให้แต่ละพื้นที่บนโลกได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ไม่เท่ากันในแต่ละวันใน 1 ปี จึงทำให้เกิดฤดูกาลขึ้นบนโลกนั่นเอง ในฤดูร้อนของซีกโลกเหนือ ขั้วโลกเหนือจะหันเข้าหาดวงอาทิตย์ และเมื่อขั้วโลกเหนือหันออกจากดวงอาทิตย์ก็จะเกิดฤดูหนาวขึ้นที่ซีกโลกเหนือ
การแบ่งว่าเกิดฤดูกาลใดบนโลกนี้สามารถแบ่งได้โดยใช้วันโซลสทิส (solstices) และวันอิควิน็อก (equinox) โดยวันโซลสทิสฤดูร้อน (summer solstice) เกิดขึ้นวันที่ 21 มิถุนายน เป็นวันที่ขั้วโลกเหนือหันเข้าหาดวงอาทิตย์มากที่สุด วันโซลสทิสฤดูหนาว (winter solstice) เกิดขึ้นวันที่ 21 ธันวาคมเป็นวันที่ขั้วโลกเหนือหันออกจากดวงอาทิตย์มากที่สุด วันอิควิน็อกฤดูใบไม้ผลิ (spring equinox) และวันอิควิน็อกฤดูใบไม้ร่วง (autumnal equinox) เกิดขึ้นในวันที่ 20 มีนาคม และ 23 กันยายน ตามลำดับเป็นวันที่แกนของโลกตั้งฉากกับเส้นตรงที่ลากจากโลกไปยังดวงอาทิตย์ โดยวันทั้งสี่ก็จะเป็นช่วงของวันที่เกิดฤดูกาลต่างๆตามชื่อของวันนั่นเอง
โครงสร้างของโลก
พื้นผิวส่วนใหญ่ของโลกถึง 71 เปอร์เซนต์ปกคลุมไปด้วยน้ำ ส่วนพื้นผิวที่เหนือก็จะเป็นพื้นที่ที่เป็นทวีปและเกาะต่างๆ โดยในส่วนของเปลือกโลกนี้จะมีความหนาต่างกันออกไปเช่นเปลือกโลกส่วนที่อยู่ใต้มหาสมุทรอาจมีความหนาประมาณ 6 กิโลเมตร ส่วนเปลือกโลกส่วนที่เป็นทวีปอาจมีความหนาถึง 30 – 50 กิโลเมตร เปลือกโลกนี้จะไปกอบไปด้วยหินและแร่ธาตุมากมากหลากหลายชนิด
ถัดจากเปลือกโลกลงไปจะเป็นชั้นของแมนเทิลที่เป็นของแข็งประกอบไปด้วยเหล็กและแมกนีเซียมเป็นหลักโดยมีความหนาประมาณ 2800 กิโลเมตร ถัดลงไปจะเป็นส่วนของแกนโลกซึ่งแบ่งออกเป็นสองชั้นด้วยกันคือ แกนโลกชั้นนอก (outer core) และ แกนโลกชั้นใน (inner core) โดยแกนโลกชั้นนอกจะอยู่ห่างจากผิวโลกลงไปประมาณ 2900-5000 กิโลเมตรประกอบไปด้วยเหล็กและนิกเกิลในสถานะของเหลวมีอุณหภูมิประมาณ 6200 – 6400 องศาเซลเซียส ส่วนแกนโลกชั้นในมีรัศมีประมาณ 1000 กิโลเมตรชั้นนี้ก็จะประกอบไปด้วยเหล็กและนิกเกิลเช่นเดียวกับแกนโลกชั้นนอกแต่อยู่ในสถานะของแข็งมีอุณหภูมิประมาณ 4300-6200 องศาเซสเซียส
ชั้นบรรยากาศ
โลกห่อหุ้มไปด้วยชั้นบรรยากาศที่มีความหนาหลายร้อยกิโลเมตร โดยประกอบไปด้วยแก๊สไนโตรเจน 78.1 เปอร์เซนต์ แก๊สออกซิเจน 20.9 เปอร์เซนต์ อาร์กอน 0.9 เปอร์เซนต์ ที่เหลือเป็นแก๊สอื่นๆ นอกจากนี้ยังปรากฏไอน้ำในชั้นบรรยากาศอีกด้วย ชั้นบรรยากาศของโลกนี้จะมีความหนาแน่นที่บริเวณผิวโลกมากกว่าบริเวณที่สูงขึ้นไปอันเนื่องมาจากแรงโน้มถ่วงของโลก เช่นที่ความสูง 30 กิโลเมตรเหนือระดับน้ำทะเลความดันบรรยากาศจะมีค่าเพียง 1 เปอร์เซนต์ของความดันบรรยากาศที่ระดับน้ำทะเล
ชั้นบรรยากาศของโลกชั้นบรรยากาศของโลกแบ่งได้เป็น 5 ชั้นดังนี้
โทรโพสเฟียร์ (Troposphere) เป็นชั้นบรรยากาศล่างสุดตั้งแต่ผิวโลกไปถึงความสูง 8 กิโลเมตรบริเวณขั้วโลกหรือ ความสูง 15 กิโลเมตรบริเวณเส้นศูนย์สูตร ชั้นบรรยากาศนี้จะมีมวลของอากาศถึง 75 เปอร์เซนต์โดยมวลของมวลอากาศทั้งหมดที่ห่อหุ้มโลกไว้ อุณหภูมิของบรรยากาศชั้นนี้บริเวณขั้วโลกจะมีอุณหภูมิต่ำกว่าบริเวณเส้นศูนย์สูตรเนื่องจากผิวโลกบริเวณต่างๆ ได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่ต่างกันทำให้เกิดสภาวะอากาศต่างๆขึ้น เกิดลมพัดจากบริเวณที่อุณหภูมิแตกต่างกันไปทั่วพื้นผิวโลก และลมดังกล่าวก็ทำให้เกิดการไหลขแงกระแสน้ำด้วย บริเวณบนสุดของชั้นโทรโพสเฟียร์นี้อาจมีอุณหภูมิลดลงถึงประมาณ -52 องศาเซลเซียส
สตราโตสเฟียร์ (Stratosphere) เป็นบริเวณถัดจากชั้นโทรโพสเฟียร์ไปจนถึงความสูง 50 กิโลเมตรเหนือระดับน้ำทะเล บริเวณบนสุดของชั้นสตราโตสเฟียร์นี้อาจมีอุณหภูมิประมาณ -3 องศาเซลเซียส
เมสโซสเฟียร์ (Mesosphere) เป็นบริเวณถัดจากชั้นสตราโตสเฟียร์ไปจนถึงความสูง 80-85 กิโลเมตรเหนือระดับน้ำทะเล บริเวณที่เชื่อมต่อระหว่างชั้นเมสโซสเฟียร์และชั้นเทอร์โมสเฟียร์นี้(บริเวณบนสุดของชั้นเมสโซสเฟียร์) จัดว่าเป็นบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำสุดบนโลกคือประมาณ -100 องศาเซลเซียส ชั้นเมสโซสเฟียร์นี้เป็นชั้นที่ฝนดาวตก (meteors) ส่วนใหญ่เผาไหม้หมดเมื่อเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโลก
เทอร์โมสเฟียร์ (Thermosphere) เป็นบริเวณถัดจากชั้นเมสโซสเฟียร์ไปจนถึงความสูงประมาณ 600 กิโลเมตรเหนือระดับน้ำทะเล บริเวณบนสุดของชั้นเทอร์โมสเฟียร์นี้อาจมีอุณหภูมิสูงถึง 1700 องศาเซลเซียสชั้นนี้เป็นชั้นสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) โคจรรอบโลกอยู่ที่ความสูง 320 – 380 กิโลเมตร
เอ็กโซสเฟียร์ (Exosphere) เป็นบรรยากาศชั้นนอกสุดของโลกเป็นรอยต่อระหว่างชั้นบรรยากาศของโลกและอวกาศซึ่งมีขอบเขตแบ่งระหว่างชั้นบรรยากาศและอวกาศที่ไม่ชัดเจน บรรยากาศชั้นนี้ประกอบไปด้วยแก๊สไฮโดรเจนและฮีเลียมเป็นหลัก