ศรีธนญชัย ตอน พ่อลูกเขย
ศรีธนญชัยนั้น เมื่อขายนกเป็ดน้ำแล้ว ก็เดินทอดน่องชม นกชมไม้เรื่อยมาตามป่าละเมาะ เขาเดินพลางหยุดล้วงชายพกเอาเงินหกตำลึง ที่ได้มาจาก ขายเป็ดมานับ แล้วหัวเราะกับตัวเองอย่างครึ้มอกครึ้มใจ
" คนเรานี่ลงได้โง่แล้ว มันช่างดักดานจริง ๆ " เขาพูด กับตนเอง " สิ่งที่ไม่น่าเชื่อ ก็เชื่อได้โดยไม่ต้องคิด เออ ! ต่อไปเราจะได้เจอคนโง่อย่างคนที่ ซื้อเป็ดเราอีกไหมน่ะ " เวลาผ่านไปเป็นครู่ เขาก็มาถึงทางเล็ก ๆ ที่จะเข้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ทันทีนั้นเขาต้องหยุดชะงัก เมื่อเสียงร้องให้สะอึกสะอื้นของหญิงคนหนึ่งแว่วมา เขามองซ้าย มองขวาหาเจ้าของเสียงอยู่ครู่หนึ่ง ก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่ง ยืนซบหน้าร้องให้อยู่ ข้างต้นไม้เบื้องหน้า เขารีบเดินเข้าไปหาโดยไม่รอช้า
" นี่น้องสาว " เขาร้องถาม " เป็นอะไรไปถึงได้มาร้อง ห่มร้องไห้อยู่อย่างนี้ ? "
เมื่อได้ยินเสียงร้องถาม หญิงสาวผู้นั้นก็ค่อย ๆหัน หน้าที่อาบน้ำตามามอง ครั้นเห็นพ่อหนุ่มแปลกหน้า ก็ขยับจะถอยหนีด้วยความหวาดหวั่น
ศรีธนญชัยหัวเราะเบา ๆ พลางสืบเท้าเข้าไปใกล้ " ไม่ต้อง กลัวข้าหรอกน้องสาว ข้ามิใช่ผู้ร้ายมหาโจรหรือยักษ์มารที่ไหน ข้าเห็นเจ้าร้องไห้ก็สงสาร จึงมาถามดู เออมีอะไรจะให้ข้าช่วยหรือปล่าวล่ะ ? "
หญิงสาวยกมือปาดน้ำตา จ้องมองหน้าศรีธนญชัยอยู่ครู่ ใหญ่ แล้วกล่าวขึ้นด้วยเสียงเครือว่า " ถึงมีท่านก็ช่วยข้าไม่ได้หรอก "
" อย่าเพิ่งด่วนสิ้นหวังยังงั้นสิ " ศรีธนญชัยยกมือแตะเรือน ผมของหญิงสาวเบา ๆ แสดงความปราณีสงสารอย่างสุดซึ้ง " เจ้ายังไม่บอกข้าเลยว่า เจ้า มีทุกข์เรื่องอะไร ? "
" แต่ทุกข์ของข้าหนักจริง ๆ ไม่มีใครจะช่วยข้าได้หรอก" หญิงสาวพูดพลางยกมือขึ้นปิดหน้าร้องไห้
" ขอเสียเถอะ น้องสาว " ธนญชัยปลอบต่อไป " อย่า ร้องไห้เลย หน้าสวย ๆจะหมองเสียปล่าว บอกข้ามาเถอะ ข้ารับรองว่าถึงยังไงจะพยายาม ช่วยเจ้าให้ได้ เจ้าไม่ต้องกลัว "
เมื่อได้รับคำปลอบโยนอย่างอ่อนหวานเช่นนั้น หญิงสาว ก็ใจชื้นขึ้น หล่อนยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา แล้วหันมามองศรีธนญชัย พลางกล่าวขึ้นด้วยเสียงตะกุก ตะกักว่า " ข้า...ข้า...ข้ากำลังพบกับความลำบากอย่างหนัก จะต้องไปเป็นทาสในเรือนเบี้ย ของคนรวยในเมือง ข้าอยากตาย อยากตายดีกว่าจะไปเป็นทาสเขายังงั้น "
" ทำไม เจ้าถึงได้ตกที่นั่งลำบากอย่างนั้นเล่า ? " ศรีธนญชัยรีบรุกต่อไปโดยไม่รอช้า
" แม่ข้าไปกู้เงินเขามา " หญิงสาวตอบพร้อมสะอื้นไห้จน ฟังแทบไม่ได้ศัพท์ " โดยสัญญาเขาว่าจะนำเงินไปใช้คืนภายใน ๒ เดือน และเมื่อครบกำหนด แม่ก็ขายไร่นาไปใช้เขาแล้ว แต่เขากลับมาทวงแม่อีก หาว่าแม่ยังไม่ได้ใช้ให้เขา แล้วก็หากแม่ ไม่สามารถจะหาเงินไปให้เขาภายในสามวัน เขาจะมาเอาตัวข้าไปเป็นทาสทำงานใช้จนกว่า แม่จะหาเงินไปให้เขาได้...โธ่ ! เวรกรรมอะไรของข้าก็ไม่รู้ " พูดจบหล่อนก็ปล่อยเสียงโฮออก มาเป็นการใหญ่
ศรีธนญชัยเมื่อได้ฟังดังนั้น ก็ถามต่อไปอีก " แม่เจ้ากู้เงินมา เท่าไหร่ ? "
" มากทีเดียวละท่าน ตั้ง ๔ ตำลึงแน่ "
" สี่ตำลึง ? " ศรีธนญชัย " เท่านั้นเองนะรึ ? ไม่เป็นไร เจ้า เลิกเป็นทุกข์เป็นร้อนได้แล้ว เดี๋ยวข้าจะจัดการให้ "
" หมายความว่า...? " หญิงสาวหันมามองศรีธนญชัยอย่าง งง ๆ
ศรีธนญชัยล้วงเงินที่ชายพกมาใส่มือให้ ๔ อัน " นี่นะ เงินสี่ ตำลึงสำหรับใช้หนี้เขา " เขาบอกพร้อมกับหยิบส่งให้อีกสองอัน " และนี่อีก ๒ ตำลึง เจ้าเก็บ ไว้ซื้ออาหารมาให้แม่ "
เมื่อได้เงินโดยไม่คาดฝันเช่นนั้น หญิงสาวยิ่งงงงันเป็นที่ สุด " ท่านให้เงินข้าเพื่ออะไร ? " หล่อนถาม
" เพื่อช่วยให้เจ้าไม่ต้องเป็นทาสเขานะซี " ศรีธนญชัยตอบ พร้อมกับบีบไหล่หล่อนเบา ๆ " เจ้าอย่าคิดอะไร ข้าสงสารและต้องการช่วยเจ้าด้วยความ จริงใจ ไปเถอะ เช็ดน้ำตาเสียให้แห้ง รีบกลับไปบ้านเจ้า และจัดการใช้หนี้เขาเสียให้เรียบ ร้อย ข้าลาละ "
พูดจบ ศรีธนญชัยก็ผละจากหญิงสาวผู้น่าสงสารเดินออกจากที่นั่นไป ปล่อยให้ หล่อนมองตามเขาอย่างงุนงง.......
ศรีธนญชัยเดินต่อมาเป็นครู่ใหญ่ ท่ามกลางแสงแดดที่แผด กล้าขึ้นทุกที จนใบหน้าเขาชุ่มโชกด้วยเหงื่อ และรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเป็นกำลัง พอดีเหลือบไป เห็นต้นไม้ใหญ่ ต้นหนึ่งยืนตะหง่านอยู่ข้างทาง จึงแวะเข้าไปหมายนะนั่งพักให้หายร้อนสักครู่ แล้วค่อยเดินทางต่อไป...
แต่โดยไม่คาดฝัน ทันทีที่เท้าของเขาก้าวเข้าไปภายใต้กิ่ง ไม้อันร่มรื่นนั้น เขาต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อเหลือบไปเห็นร่างของหญิงผู้หนึ่งห้อย โตงเตงลงมาจากกิ่งไม้ในลักษณะคนผูกคอตาย
ศรีธนญชัยพยายามรวบรวมสติข่มความหวาดกลัวอยู่เป็นครู่ แล้วจัดแจงปีนขึ้นไปบนต้นไม้ ปลดเชือกที่คาคบหย่อนร่างผู้หญิงผู้นั้นลงมาจนถึงพื้นดิน แล้ว โจนลงมาแก้เชือกตรงที่รัดคอหล่อนออก จับไหล่หล่อนเขย่าเบา ๆ ด้วยหวังว่า หล่อนคงจะยัง มีชีวิตอยู่ " นี่...น้องสาว...น้องสาว " เขาร้องเรียกแต่...หญิงผู้นั้นแน่นิ่งไม่ไหวติง มิหนำซ้ำยังปล่อยลิ้นห้อยออก มาจุกปาก ตาเหลือกถลน เล่นเอาศรีธนญชัยขยาดหวาดกลัว เขาผุดลุกขึ้น มองซ้ายมองขวา ขยับจะวิ่งหนีแต่แล้วก็ชงัก เมื่อได้ยินเสียงร้องขายผ้าแว่วมาแต่ไกล
" ผ้าจ้า ผ้าผ้าสวย ๆ แม่เอ้ย "
ศรีธนญชัยมองไปที่คลองตรงหน้า เห็นเรือประทุนลำหนึ่งมุ่ง หน้าจะผ่านมาตรงที่เขายืนอยู่ ทันใดนั้น สมองอันว่องไวของเขาคิดอุบายขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง เขาดีดมือเปาะและยิ้มออกมาได้ " เอาละ เราจะต้องเล่นกลกับเจ้าของเรือผ้านี่สักอย่าง " และแล้ว โดยว่องไว เขาหันมาอุ้มศพหญิงผู้นั้นยืนขึ้น หันหน้าศพเข้าพิงต้นไม้ไว้ คว้าเชือกเส้นเดิมมัด มือหล่อนทั้งสองข้างเหวี่ยงขึ้นไปเกี่ยวกับกิ่งไม้ แล้วรั้งขึ้นไปพอตึง และวิ่งไปหักกิ่งไม้ขนาดไม้ เรียวอันหนึ่งมาเตรียมไว้
พอเรือผ้าใกล้เข้ามา ศรีธนญชัยแสนกลก็เริ่มแผนการเงื้อไม้เรียว ขึ้นหวดหลังศพเป็นการใหญ่
" นี่ ! นี่ ! ข้าสอนแล้วไม่จำ เป็นสาวเป็นแส้เอาแต่เที่ยวไม่รู้ จักเวล่ำเวลา มันจะใช้ได้ที่ไหน นี่ ! ตายซะอย่าอยู่เลย นี่แน่ นี่แน่ "
เขากระหน่ำไม้เรียว ลงที่ร่างอันปราศจากวิญญาณของหญิง ผู้นั้นอย่างหนักหน่วง พร้อมกับส่งเสียงตะโกนก้องตลอดเวลา กระทั่ง...เรือขายผ้าลำนั้นผ่านมา ถึง เจ้าของเรือเป็นชายแก่หน้าซื่อ และทันทีที่แกมองขึ้นมาจากคลอง เห็นศรีธนญชัยกำลังเฆี่ยน ตีผู้หญิงอยู่เช่นนั้นก็นึกสงสาร จึงจอดเรือแล้วโดดขึ้นฝั่ง เข้าห้ามศรีธนญชัย
" เดี๋ยวก่อน พ่อคุณ "ศรีธนญชัยหันขวับมาทางพ่อค้าผู้เข้ามาขวาง พร้อมกับตวาด ขึ้นอย่างโมโหว่า " เรื่องอะไรของเอ็งวะ ? "
" มิใช่เรื่องอะไรของข้าหรอก " พ่อค้าส่ายหน้า " แต่ข้าเห็น เอ็งตีแม่หนูนี่หนักมือก็อดเวทนาไม่ได้ "
" ทำไม น้องสาวข้า มันริอ่านเที่ยว ไม่ยอมอยู่บ้าน " ศรีธนญชัยย้อนเสียงขุ่น " ข้าลงโทษมัน คนอื่นจะต้องเกี่ยวด้วยเรอะ " ว่าพลางศรีธนญชัยก็ผลักพ่อ ค้าผ้าออกห่าง แล้วหวดไม้เรียวต่อไป ปล่อยให้พ่อค้ามองตามด้วยความเวทนาเต็มทน จนในที่สุด อดทนไม่ได้ จึงยกมือสะกิดไหล่ศรีธนญชัย
" นี่พ่อคุณ ยังไง ๆ ก็อย่าได้ถึงขนาดนี้เลยสงสารแกบ้างเถอะ เนื้อหนังขาว ๆ นิ่ม ๆ ยังงี้จะแตกยับเสียหมด "ศรีธนญชัยหันขวับมามองพ่อค้าด้วยตาขุ่นเขียว " สงสารมันไม่ ได้หรอก ต้องเฆี่ยนให้มันเข็ดหลาบ ไม่งั้นจะได้ใจเที่ยวจัดกว่านี้ใครจะเลี้ยงมันไหว "
" โธ่ พ่อคุณนึกว่าขอข้าเถอะ " พ่อค้าออด
" ขอแขอะไร ข้าไม่เข้าใจ ไป ! ไปให้พ้นนะ " ศรีธนญชัยตะคอก พลางลงมือหวดไม้เรียวที่ศพต่อไปอย่างหนัก
ฝ่ายพ่อค้ายิ่งดูยิ่งทนไม่ไหว จึงเข้าไปแย่งไม้เรียวจากศรีธนญชัย " หยุดเถอะ พ่อคุณ ข้าทนดูไม่ได้แล้ว "
ศรีธนญชัยมองพ่อค้าตาเขียวอย่างกะจะกินเลือดกินเนื้อ " นี่เอ็ง จะเอายังไงวะ อ้ายจอมยุ่ง "
พอค้าพยายามทำใจดีสู้เสือ " ไม่เอายังไงหรอก เออ ! เอา อย่างงี้ดีไหมละ ถ้าเอ็งเลี้ยงไม่ไหว ข้าจะรับไปเลี้ยงเอง "
ศรีธนญชัยแค่นหัวเราะ จ้องหน้าพ่อค้าอย่างงง ๆ " เอ็งจะบ้า ไปแล้วรึ ? "
พ่อค้าส่ายหน้า " ข้าสงสารมัน และที่บ้านข้าก็ไม่มีใครด้วย ยังไงถ้าเอ็งเลี้ยงไม่ไหว ก็ยกให้ข้าไปเลี้ยงเป็นลูกเป็นเมียเถอะ ว่าไงตกลงไหมละ ? "
" เอ็งพูดยังกะว่าน้องสาวข้าเป็นขนม จะขอไปกินง่าย ๆ ยังงั้นแหละ "
" หมายความว่าเอ็งจะคิดสินสอดละซี ก็ได้ เอ็งจะคิดสัก เท่าไหร่วะ ? "
ศรีธนญชัยทำเป็นนิ่งคิดอยู่ครู่ แล้วหันมาถาม " เอ็งจะให้ เท่าไหร่ ? "
พ่อค้าเมื่อเห็นสมคะเนดังนั้น ก็ยิ้มแป้น " เอายังงี้ก็แล้วกัน ข้ายกเรือขายผ้าให้เอ็ง เป็นค่าสินสอดพอไหม ? "
ศรีธนญชัยทำเป็นอิดออดอยู่ครู่หนึ่ง จนพ่อค้าคะยั้นคะยอ ขึ้นอีก " เถอะน่า พ่อมหาจำเริญ "
" มันจะสมน้ำสมเนื้อกันหรือ ? " ศรีธนญชัยย้อนถาม " น้องสาว ข้า ข้าเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กจนโตเป็นสาวเต็มตัวขนาดนี้ หมดข้าวไปหลายยุ้ง ส่วนเรือเอ็งมีผ้ากี่อัฐ เชียว ? "
" งั้นข้าแถมเงินให้เอ็งอีก ๑๐ ตำลึงก็แล้วกัน " พ่อค้าเพิ่ม ราคาให้อีกด้วย หวังจะได้สาวคนสวยไปเป็นเมียให้ได้ " น่ายกให้ข้าเถอะน่า ข้าเกิดมาจนป่านนี้ ยังไม่เคยมีลูกมีเมียกับเขาเลย นึกว่าสงสารคนแก่อย่างข้าเถอะ พ่อมหาจำเริญ ข้ารับรองว่าจะ รักและเลี้ยงดูน้องเอ็งให้มีความสุข ไม่ทิ้งไม่ขว้างเด็ดขาด "
ศรีธนญชัยยังอิดเอื้อนอยู่อีก เขาหันมามองดูศพด้วยความเป็น ห่วง แล้วหันมาทางพ่อค้า " ก็ได้ แต่เอ็งต้องสัญญานะว่าจะเลี้ยงน้องข้าให้ตลอดรอดฝั่ง มิใช่ พอได้ไปไม่ทันไรก็ทิ้ง "
" เออน่า เอ็งไม่ต้องห่วงหรอก " พ่อค้าตอบอย่างแข็งขัน พลางล้วงเงินออกมาใส่มือให้ศรีธนญชัย แล้วดึงแขนศรีธนญชัยให้ไปลงเรือ " ไปเถอะ เดี๋ยวข้าจะจัด การแก้มัดแม่หวานใจของข้าเอง แล้วพาไปอาบน้ำแต่งตัวที่บ้านเอง "
ศรีธนญชัยเดินไปลงเรืออย่างว่าง่าย แต่ไม่วายหันมามองทาง ศพแสดงอาการเป็นห่วงอีกครั้ง
พ่อค้าโบกมือให้ศรรีธนญชัยด้วยความตื่นเต้นดีใจ " โชคดีนะ พี่ข้า มีหลานเมื่อไหร่จะพาไปเยี่ยม "
ครั้นแล้ว ก็หันมาทางศพที่แกเชื่อสนิทใจว่าเป็นน้องสาว ของเจ้าหนุ่ม ที่ถูกเฆี่ยนตีอย่างทารุณ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหล่อนได้ตกมาเป็นสมบัติของ แกโดยชอบธรรมแล้ว " ฮะ ฮะ ไม่นึกเลยว่าจะโชคดีได้เมียสาวอย่างนี้ " แกหัวเราะกับตัวเอง พลางตรงเข้าลูบหลังศพ พร้อมกับรำพันขึ้นอย่างสงสาร " โถ ! แม่คุณทูนหัวของพี่ น่าสงสาร จริง คงเจ็บมากซีนะ เดี๋ยวเถอะพี่จะใส่ยาและบีบนวดให้ แกเข้าโอบหลังด้วยความกระหยิ่มยิ้ม ย่อง แล้วขยับเอื้อมมือไปแก้เชือกที่มือศพ
" พี่จะแก้เชือกให้ แล้วไปบ้านกับพี่นะทูนหัว " พ่อค้าพูด พลางแก้เชือก ด้วยความครึ้มอกครึ้มใจแต่พอเชือกหลุด ศพของหญิงสาวก็ทรุดฮวบลงทันที มือกางเท้ากาง ลิ้นห้อยออกมาจุกปากตาเหลือกถลน พ่อค้ารีบปราดเข้าไปประคองพร้อมกับ จับร่างเขย่า " เป็นอะไรไป น้องพี่ เป็นอะไรไปรึเปล่า ? "
แกละล่ำละลักถาม และจับหน้าศพหันมา ทันใดนั้น...แก ต้องร้องลั่นออกมาแทบไม่เป็นภาษามนุษย์ รีบทิ้งศพลงกับพื้นทันที
" หา ? นี่มัน..มันซี้เลี้ยวนี่หว่า ไอหยา...ผี...ผีหลอก "
โดยไม่รอช้า แกรีบเผ่นหนีอย่างไม่คิดชีวิต ปากร้องตะโกน ไปตลอดทาง " ผี ผี ผีหลอก ! ช่วยด้วย ! ผีหลอก "
พอดีมาถึงคลอง แกก็โจนโครมลงไปในน้ำอย่างไม่รู้จะหลีกหนี ไปไหนได้...แกดำดิ่งลงไปจนถึงพื้นดินใต้น้ำแล้ว โผล่ขึ้นมา แต่เจ้ากรรมบังเอิญโผล่มาตรงที่แก โดดลงไปเมื่อกี้ และเมื่อคลานขึ้นมาเห็นศพยังนอนตาเหลือกถลนอยู่เช่นนั้น แกร้องลั่นขึ้นอีกวาระ หนึ่ง " บักย่า...มันเอาข้าแน่ ช่วยด้วย ? ช่วยด้วยเจ้าข้า "
และแล้ว...โดยไม่ยอมเสียเวลาแต่น้อย แกรีบใส่ ตีนหมาเผ่นเข้าป่าละเมาะตรงหน้าไปอย่างไม่คิดชีวิต...