• user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:c1072306a5be25ec3ffe95e5e4c4eb96' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><div style=\"text-align: center\">\n<img src=\"/files/u54112/1_0.gif\" width=\"370\" height=\"170\" />\n</div>\n<div style=\"text-align: center\">\n</div>\n<div style=\"text-align: center\">\n</div>\n<div style=\"text-align: left\">\n<img src=\"/files/u54112/03__________________.gif\" style=\"text-align: -webkit-auto\" height=\"100\" width=\"150\" />\n</div>\n<div style=\"text-align: left\">\n</div>\n<div style=\"text-align: left\">\n<span style=\"white-space: pre\" class=\"Apple-tab-span\"> </span><span class=\"Apple-style-span\" style=\"background-color: #ffffff\"><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #33cccc\"><b>โรคฉี่หนู</b> ฉี่หนูเป็นโรคระบาดในคนที่ติดต่อมาจากสัตว์ มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า เลปโตสไปรา (Leptospira sp.) ที่อยู่ในปัสสาวะของสัตว์ ตั้งแต่หนู วัว ควาย ไปจนถึงสัตว์เลี้ยงอย่างสุนัขและแมวเลยทีเดียว โดยคนจะสามารถรับเชื้อฉี่หนูนี้เข้าไปทางบาดแผล หรือผิวหนังที่แช่น้ำเป็นเวลานาน ๆ รวมถึงเยื่อเมือกอย่างตาและปากอีกด้วย<br />\n</span></span>\n</div>\n<div style=\"text-align: left\">\n</div>\n<div style=\"text-align: left\">\n<span class=\"Apple-style-span\" style=\"background-color: #ffffff\"><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #33cccc\"><span style=\"white-space: pre\" class=\"Apple-tab-span\"></span><span class=\"Apple-tab-span\" style=\"white-space: pre\"> </span><b>อาการของโรคฉี่หนู </b>มี 2 แบบ คือแบบไม่รุนแรงจะมีอาการเหมือนเป็นไข้หวัดธรรมดา ปวดหัว ตัวร้อน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ซึ่งสามารถรักษาให้หายได้หากผู้ป่วยรู้ตัวและรีบไปพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ กับอาการรุนแรงที่จะทำให้ตาอักเสบแดง น้ำตาไหล สู้แสงไม่ได้ และเมื่อเชื้อเข้าไปอยู่ในสมองจะทำให้เกิดอาการเพ้อ ไม่รู้สึกตัว และยิ่งไปกว่านั้นหากติดเชื้อทั่วร่างกายจะทำให้เลือดออกในร่างกายจนเสียชีวิต<br />\n</span></span>\n</div>\n<div style=\"text-align: left\">\n</div>\n<div style=\"text-align: left\">\n<span class=\"Apple-style-span\" style=\"background-color: #ffffff\"><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #33cccc\"><span style=\"white-space: pre\" class=\"Apple-tab-span\"></span><b><span class=\"Apple-tab-span\" style=\"white-space: pre\"> </span>การปฏิบัติตนเพื่อป้องกันโรคฉี่หนู</b> หลีกเลี่ยงการเดินอยู่ในบริเวณน้ำท่วมขัง การเล่นน้ำ โดยเฉพาะในเด็กที่มักจะสนุกสนานไปกับการย่ำน้ำหรือเล่นน้ำในช่วงน้ำท่วม แต่หากจำเป็นต้องเดินผ่านบริเวณน้ำท่วมอย่างเลี่ยงไม่ได้ ให้รีบเดิน อย่าแช่น้ำจนผิวหนังเปื่อยเพราะจะทำให้ติดเชื้อได้ง่ายและควรใส่รองเท้าบูททุกครั้งเมื่อเดินลุยน้ำ เพื่อป้องกัน ไม่ให้เกิดบาดแผลที่เท้า และป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่บาดแผลที่เท้าหรือน่อง ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้สัตว์ที่หนีน้ำกัดได้ ส่วนในผู้ที่เริ่มมีอาการปวดหัว ตัวร้อน ให้รีบไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน อย่ารอให้อาการหนักเพราะอาจจะ</span></span><span class=\"Apple-style-span\" style=\"background-color: #ffffff; color: #33cccc\">รักษาไม่หายและเสียชีวิตก็เป็นได้ </span>\n</div>\n<div style=\"text-align: left\">\n</div>\n<div style=\"text-align: center\">\n<img src=\"/files/u54112/03___________________________.jpg\" height=\"230\" width=\"270\" />\n</div>\n<div style=\"text-align: center\">\n<span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #33cccc\"><b><br />\nแหล่งที่มา http://img291.imageshack.us/img291/9163/sicknesszp9.jpg</b></span>\n</div>\n<div style=\"text-align: center\">\n</div>\n<div style=\"text-align: left\">\n<img src=\"/files/u54112/04______________________________.gif\" width=\"150\" height=\"100\" style=\"text-align: -webkit-auto\" />\n</div>\n<div style=\"text-align: left\">\n</div>\n<div style=\"text-align: left\">\n<span class=\"Apple-tab-span\" style=\"white-space: pre\"> </span><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #008000\"><b>โรคน้ำกัดเท้า </b>เกิดจากการเดินย่ำน้ำเป็นประจำ  และเมื่อเท้าแช่ในน้ำนานๆ หรือเท้ามีความชื้น ทำให้ติดเชื้อโรค ซึ่งปะปนอยู่ในน้ำ<br />\n</span>\n</div>\n<div style=\"text-align: left\">\n<span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #008000\"><br />\nจนเกิดอาการเท้าเปื่อย ลอก แดง คันและแสบ ซึ่งเรียกว่ากันว่าเป็นโรคน้ำกัดเท้า  ซึ่งในระยะแรกเป็นแค่ผิวแดงลอกจากการ ระคายเคือง  <br />\n</span>\n</div>\n<div style=\"text-align: left\">\n<span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #008000\"><br />\nในระยะนี้  ผิวหนังยังไม่มีเชื้อรา  การรักษาจึง ไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อรา ซึ่งจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองและแสบมากขึ้น และระยะต่อมา<br />\n</span>\n</div>\n<div style=\"text-align: left\">\n<span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #008000\"><br />\nเมื่อผิวหนังลอก เปื่อยเป็นแผลและชื้นอยู่นาน แล้วไปสัมผัสกับสิ่งสกปรกที่อยู่ในน้ำอีก จะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย ซึ่งอาจจะมีการติดเชื้อ<br />\n</span>\n</div>\n<div style=\"text-align: left\">\n<span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #008000\"><br />\nแบคทีเรีย  ทำให้เกิดอาการอักเสบ บวมแดง เป็นหนองและปวด ต้องให้การรักษาโดยการรับประทานยาปฏิชีวนะร่วมกับการชะล้างบริเวณ<br />\n</span>\n</div>\n<div style=\"text-align: left\">\n<span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #008000\"><br />\nแผลด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น น้ำด่างทับทิม แล้วทาด้วยยาฆ่าเชื้อ หรือยาปฏิชีวนะ  <br />\n</span>\n</div>\n<div style=\"text-align: left\">\n<span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #008000\"><span class=\"Apple-tab-span\" style=\"white-space: pre\"> </span>นอกจากนี้อาจจะมีการติดเชื้อราได้ โรคเชื้อราที่ซอกเท้าอาจเกิดขึ้นหลังจากน้ำกัดเท้าอยู่บ่อยๆ เป็นเวลานาน เชื้อราจะเข้าไปฝังตัวอยู่ในผิวหนังเมื่อเป็นเชื้อราแล้วจะหายยาก ถึงแม้จะใช้ยาทาจนดูเหมือนหายดี แต่มักจะมีเชื้อหลงเหลืออยู่ เมื่อเท้าอับชื้นขึ้นเมื่อใด ก็จะเกิดเชื้อราลุกลามขึ้นมาใหม่ ทำให้เกิดอาการเป็นๆ หายๆ เป็นประจำ ไม่หายขาด <br />\n</span>\n</div>\n<div style=\"text-align: left\">\n</div>\n<div style=\"text-align: left\">\n<span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #008000\"><b>การรักษา  <br />\n</b></span>\n</div>\n<div style=\"text-align: left\">\n<span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #008000\"><br />\nในกรณีที่เป็นโรคน้ำกัดเท้าระยะที่มีอาการเท้าเปื่อย ลอก แดง คันและแสบ การรักษาในระยะนี้ควรใช้ยาทาสเตียรอยด์อ่อนๆ  ไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อรา ซึ่งจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองและแสบมากขึ้น   หรืออาจจะใช้ยารักษากลากเกลื้อน ของยาชุดสามัญประจำบ้าน ใช้ทาวันละ 3 ครั้ง จนกว่าจะหาย  โดยก่อนทายาให้ล้างเท้าให้สะอาดและใช้ผ้าเช็ดให้แห้งเสียก่อน แต่หากมีการอักเสบอย่างรุนแรงและเรื้อรัง ทายาไม่ได้ผล อาจต้องพบแพทย์ ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง ซึ่งอาจจะมีผลข้างเคียงต่อตับไต และควรรักษาอย่างต่อ เนื่องไม่ควร<br />\n</span>\n</div>\n<div style=\"text-align: left\">\n<span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #008000\"><br />\nหยุดใช้ยาเองแม้ว่าจะดีขึ้น การหยุดยาเร็วเกินไปขณะที่เชื้อยังไม่หมด มีโอกาสกลับเป็นซ้ำอีกได้ง่าย<br />\n</span>\n</div>\n<div style=\"text-align: left\">\n</div>\n<div style=\"text-align: left\">\n<span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #008000\"><b>การป้องกัน </b> <br />\n</span>\n</div>\n<div style=\"text-align: left\">\n<span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #008000\"><br />\nหากจำเป็นต้องย่ำน้ำควรใส่รองเท้าบู๊ท หรือถ้าไม่ใส่ควรทาขี้ผึ้งวาสลินให้ทั่วเท้า ทั้งนิ้วเท้าและง่ามนิ้วด้วย เมื่อเลิกย่ำน้ำควรรีบถอดรองเท้า แล้วเช็ดขี้ผึ้งออกให้หมดและล้างเท้าด้วยน้ำสะอาดทันที  หลังจากนั้นซับและผึ่งเท้าให้แห้ง  หรือ  ถ้าจำเป็นต้องย่ำน้ำโดยไม่ได้ใส่รองเท้าบู๊ท  หลังจากย่ำน้ำแล้วควรรีบล้างเท้าทำความสะอาด แล้วเช็ดให้แห้งโดยเฉพาะตามซอกนิ้วเท้า หากเท้ามี บาดแผล ควรชะล้างด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ก็จะช่วยป้องกันโรคน้ำกัดเท้าได้ สำหรับการดูแลป้องกันโรคเชื้อราที่เท้าไม่ให้กลับเป็นซ้ำอีก โดย การรักษาความสะอาดให้เท้า<br />\n</span>\n</div>\n<div style=\"text-align: left\">\n<span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #008000\"><br />\nแห้งอยู่เสมอ ล้างน้ำฟอกสบู่ และเช็ดเท้าให้แห้ง และให้ความสนใจเป็นพิเศษที่บริเวณซอกนิ้วเท้า</span>\n</div>\n<div style=\"text-align: left\">\n</div>\n<div style=\"text-align: left\">\n<span class=\"Apple-tab-span\" style=\"white-space: pre\"> </span><img src=\"/files/u54112/04_______________________________________.jpg\" width=\"200\" height=\"150\" style=\"text-align: -webkit-auto\" /><span class=\"Apple-tab-span\" style=\"white-space: pre\"> </span><span class=\"Apple-tab-span\" style=\"white-space: pre\"> </span><img src=\"/files/u54112/04__________________________________________.jpg\" width=\"250\" height=\"150\" style=\"text-align: -webkit-auto\" /> \n</div>\n<div style=\"text-align: left\">\n<span class=\"Apple-tab-span\" style=\"white-space: pre\"> </span><b><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #008000\">แหล่งที่มา<span class=\"Apple-tab-span\" style=\"white-space: pre\"> </span>แหล่งที่มา<br />\n</span></b>\n</div>\n<div style=\"text-align: left\">\n<b><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #008000\"><br />\nhttp://img.kapook.com/image/health/foot_1.jpg  http://www.originplant.co.th/upload/news/AuUAAEAAnCAUA.jpg<br />\n</span></b>\n</div>\n', created = 1720422497, expire = 1720508897, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:c1072306a5be25ec3ffe95e5e4c4eb96' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.

อันตราย !!!!! โคที่มาพร้อมกับน้ำท่วมมมมมมมมมม

รูปภาพของ sss27979
โรคฉี่หนู ฉี่หนูเป็นโรคระบาดในคนที่ติดต่อมาจากสัตว์ มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า เลปโตสไปรา (Leptospira sp.) ที่อยู่ในปัสสาวะของสัตว์ ตั้งแต่หนู วัว ควาย ไปจนถึงสัตว์เลี้ยงอย่างสุนัขและแมวเลยทีเดียว โดยคนจะสามารถรับเชื้อฉี่หนูนี้เข้าไปทางบาดแผล หรือผิวหนังที่แช่น้ำเป็นเวลานาน ๆ รวมถึงเยื่อเมือกอย่างตาและปากอีกด้วย
อาการของโรคฉี่หนู มี 2 แบบ คือแบบไม่รุนแรงจะมีอาการเหมือนเป็นไข้หวัดธรรมดา ปวดหัว ตัวร้อน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ซึ่งสามารถรักษาให้หายได้หากผู้ป่วยรู้ตัวและรีบไปพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ กับอาการรุนแรงที่จะทำให้ตาอักเสบแดง น้ำตาไหล สู้แสงไม่ได้ และเมื่อเชื้อเข้าไปอยู่ในสมองจะทำให้เกิดอาการเพ้อ ไม่รู้สึกตัว และยิ่งไปกว่านั้นหากติดเชื้อทั่วร่างกายจะทำให้เลือดออกในร่างกายจนเสียชีวิต
การปฏิบัติตนเพื่อป้องกันโรคฉี่หนู หลีกเลี่ยงการเดินอยู่ในบริเวณน้ำท่วมขัง การเล่นน้ำ โดยเฉพาะในเด็กที่มักจะสนุกสนานไปกับการย่ำน้ำหรือเล่นน้ำในช่วงน้ำท่วม แต่หากจำเป็นต้องเดินผ่านบริเวณน้ำท่วมอย่างเลี่ยงไม่ได้ ให้รีบเดิน อย่าแช่น้ำจนผิวหนังเปื่อยเพราะจะทำให้ติดเชื้อได้ง่ายและควรใส่รองเท้าบูททุกครั้งเมื่อเดินลุยน้ำ เพื่อป้องกัน ไม่ให้เกิดบาดแผลที่เท้า และป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่บาดแผลที่เท้าหรือน่อง ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้สัตว์ที่หนีน้ำกัดได้ ส่วนในผู้ที่เริ่มมีอาการปวดหัว ตัวร้อน ให้รีบไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน อย่ารอให้อาการหนักเพราะอาจจะรักษาไม่หายและเสียชีวิตก็เป็นได้ 

แหล่งที่มา http://img291.imageshack.us/img291/9163/sicknesszp9.jpg
โรคน้ำกัดเท้า เกิดจากการเดินย่ำน้ำเป็นประจำ  และเมื่อเท้าแช่ในน้ำนานๆ หรือเท้ามีความชื้น ทำให้ติดเชื้อโรค ซึ่งปะปนอยู่ในน้ำ

จนเกิดอาการเท้าเปื่อย ลอก แดง คันและแสบ ซึ่งเรียกว่ากันว่าเป็นโรคน้ำกัดเท้า  ซึ่งในระยะแรกเป็นแค่ผิวแดงลอกจากการ ระคายเคือง  

ในระยะนี้  ผิวหนังยังไม่มีเชื้อรา  การรักษาจึง ไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อรา ซึ่งจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองและแสบมากขึ้น และระยะต่อมา

เมื่อผิวหนังลอก เปื่อยเป็นแผลและชื้นอยู่นาน แล้วไปสัมผัสกับสิ่งสกปรกที่อยู่ในน้ำอีก จะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย ซึ่งอาจจะมีการติดเชื้อ

แบคทีเรีย  ทำให้เกิดอาการอักเสบ บวมแดง เป็นหนองและปวด ต้องให้การรักษาโดยการรับประทานยาปฏิชีวนะร่วมกับการชะล้างบริเวณ

แผลด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น น้ำด่างทับทิม แล้วทาด้วยยาฆ่าเชื้อ หรือยาปฏิชีวนะ  
นอกจากนี้อาจจะมีการติดเชื้อราได้ โรคเชื้อราที่ซอกเท้าอาจเกิดขึ้นหลังจากน้ำกัดเท้าอยู่บ่อยๆ เป็นเวลานาน เชื้อราจะเข้าไปฝังตัวอยู่ในผิวหนังเมื่อเป็นเชื้อราแล้วจะหายยาก ถึงแม้จะใช้ยาทาจนดูเหมือนหายดี แต่มักจะมีเชื้อหลงเหลืออยู่ เมื่อเท้าอับชื้นขึ้นเมื่อใด ก็จะเกิดเชื้อราลุกลามขึ้นมาใหม่ ทำให้เกิดอาการเป็นๆ หายๆ เป็นประจำ ไม่หายขาด 
การรักษา  

ในกรณีที่เป็นโรคน้ำกัดเท้าระยะที่มีอาการเท้าเปื่อย ลอก แดง คันและแสบ การรักษาในระยะนี้ควรใช้ยาทาสเตียรอยด์อ่อนๆ  ไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อรา ซึ่งจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองและแสบมากขึ้น   หรืออาจจะใช้ยารักษากลากเกลื้อน ของยาชุดสามัญประจำบ้าน ใช้ทาวันละ 3 ครั้ง จนกว่าจะหาย  โดยก่อนทายาให้ล้างเท้าให้สะอาดและใช้ผ้าเช็ดให้แห้งเสียก่อน แต่หากมีการอักเสบอย่างรุนแรงและเรื้อรัง ทายาไม่ได้ผล อาจต้องพบแพทย์ ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง ซึ่งอาจจะมีผลข้างเคียงต่อตับไต และควรรักษาอย่างต่อ เนื่องไม่ควร

หยุดใช้ยาเองแม้ว่าจะดีขึ้น การหยุดยาเร็วเกินไปขณะที่เชื้อยังไม่หมด มีโอกาสกลับเป็นซ้ำอีกได้ง่าย
การป้องกัน  

หากจำเป็นต้องย่ำน้ำควรใส่รองเท้าบู๊ท หรือถ้าไม่ใส่ควรทาขี้ผึ้งวาสลินให้ทั่วเท้า ทั้งนิ้วเท้าและง่ามนิ้วด้วย เมื่อเลิกย่ำน้ำควรรีบถอดรองเท้า แล้วเช็ดขี้ผึ้งออกให้หมดและล้างเท้าด้วยน้ำสะอาดทันที  หลังจากนั้นซับและผึ่งเท้าให้แห้ง  หรือ  ถ้าจำเป็นต้องย่ำน้ำโดยไม่ได้ใส่รองเท้าบู๊ท  หลังจากย่ำน้ำแล้วควรรีบล้างเท้าทำความสะอาด แล้วเช็ดให้แห้งโดยเฉพาะตามซอกนิ้วเท้า หากเท้ามี บาดแผล ควรชะล้างด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ก็จะช่วยป้องกันโรคน้ำกัดเท้าได้ สำหรับการดูแลป้องกันโรคเชื้อราที่เท้าไม่ให้กลับเป็นซ้ำอีก โดย การรักษาความสะอาดให้เท้า

แห้งอยู่เสมอ ล้างน้ำฟอกสบู่ และเช็ดเท้าให้แห้ง และให้ความสนใจเป็นพิเศษที่บริเวณซอกนิ้วเท้า
 
แหล่งที่มา แหล่งที่มา

http://img.kapook.com/image/health/foot_1.jpg  http://www.originplant.co.th/upload/news/AuUAAEAAnCAUA.jpg
รูปภาพของ ssspoonsak

เนื้อหา ภาพประกอบครบถ้วน

ปรับปรุงเรื่องการจัดข้อความที่ยังไม่ดีนัก การเว้นวรรค การขึ้นบรรทัดใหม่ไม่ถูกต้อง

อาจจะเพิ่มเติมข้อมูลได้อีก

ครูพูนศักดิ์ สักกทัตติยกุล
ทำด้วยใจ ไปด้วยฝัน

รูปภาพของ sss27987

สดใสมากอ่ะ ดูโอ้ 

 

เริ่ด เริ่ด 

รูปภาพของ sss27968

รวมๆแล้ว 'น่าร็อคอ้าาาา' เนื้อหาอ่านง่ายสบายตา รูปก็น่ารักอะไรเช่นนี้ :D

รูปภาพของ sss27950

ภาพ และสีสันสวยงามจร่ะ Kiss

รูปภาพของ sss27984

images by free.in.th  ชอบสีสันจังจ้า :)))

รูปภาพของ sss28171

เนื้อหาเยอะดี

ตกแต่งสวยอ่ะ

รูปภาพของ ssspoonsak

อืม ดีจ้ะ แต่จะเพิ่มเติมอีกก็ได้นะจ้ะ

ครูพูนศักดิ์ สักกทัตติยกุล
ทำด้วยใจ ไปด้วยฝัน

รูปภาพของ sss27972

เนื้อหามาเต็ม!!

รูปภาพของ sss27983

บลอคน่ารักคิขุ

รูปภาพของ sss27991

ตกแต่งสวย เนื้อหาเยี่ยม

รูปภาพของ sss27955

สวยงามค่ะ ตบมือ ;)

รูปภาพของ sss27961
เริ่ดค่ะ !!! Tongue out
รูปภาพของ sss27951

แหล่มเลย (Y)

รูปภาพของ sss28016

เนื้อหาดี มีสาระมากๆ สีสวยยย :P

รูปภาพของ sss28021

บลอกมีสีสันดีๆ :)  เนื้อหาเยอะจ้า

สุดยอด~.. น่ารักมากมายเลยอ๊ะ



เนื้อหาแน่นปี้ก!! เยี่ยม -  -+

รูปภาพของ sss27966

น่ารักกกกกกก

อ่านง่ายยย

แอนใส่ชื่อด้วยดิ ^^ 

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ใหญ่ใจดี
 

 ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ 
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ 
ไม่ถูกปิดเสียก่อน

ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 
มีผลบังคับใช้แล้ว 
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

 

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 438 คน กำลังออนไลน์