ภาพโดย นางสาว จัสมิน ดวงคำสวัสดิ์

ศิลปินผู้สร้าง :  ไมเคิลแอนเจโล หรือ มิเกลันเจโล บูโอนารอตติ ซิโมนี (MICHELANGELO di Lodovico Buonarroti Simoni) ศิลปินชื่อก้องโลกชาวฟลอเรนซ์

ประวัติไมเคิลแอนเจลโล

                  ไมเคิลแอนเจโล หรือ มิเกลันเจโล บูโอนารอตติ ซิโมนี (MICHELANGELO di Lodovico Buonarroti Simoni) เกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ.2018 ณ หมู่บ้านคาเปรเซ (Caprese) ในคาเซนติโน (Casentino) หลังจากเกิดได้ 2-3 สัปดาห์ ครอบครัวอพยพเข้าไปอยู่ในเมืองฟลอเรนซ์

ที่มาภาพ : http://www.shoshone.k12.id.us/renaissance/images/michel.jpg

                   ต่อมาเมื่อมีอายุได้ 13 ปี ได้เข้าฝึกงานกับโดมิเนโก จิร์ลันไดโอ (Domemico Ghirlandaio) จิตรกรผู้เชี่ยวชาญ ในการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนัง แบบปูนเปียก หรือ เฟรสโก (Fresco) โดยระหว่างที่ฝึกงานอยู่ เขายังศึกษางานจิตรกรรม และวาดเส้นคัดลอกผลงาน ของศิลปินอื่น ๆ เช่น จอตโต (Giotto di Bondone) แมคซิดอ (Masaccio)

                   ในปี พ.ศ.2032 ไมเคิลแอนเจโล ได้เข้าเรียนและฝึกงาน ที่ตระกูลเมตดิชิ (ในเวลาต่อมาที่แห่งนี้ ได้กลายเป็นสถาบันศิลปะ) ทำให้เขามีโอกาสได้ศึกษา ประติมากรรมกรีกและโรมัน ซึ่งเป็นของสะสมของตระกูลนี้ หลังจากที่ตระกูลเมดิชิ หมดอำนาจลง เขาจึงเดินทางไปที่ เมืองโบโลญา เพื่อรับจ้างทำงานประติมากรรมประดับสุสาน

                   ในปี พ.ศ.2039 ไมเคิลแอนเจโล เดินทางไปที่กรุงโรม และรับงานเขียนภาพกับงานประติมากรรม ทำให้มีโอกาสสร้างผลงานประติมากรยิ่งใหญ่แห่งยุค คือ ประติมากรรมหินอ่อน "ปิเอตา" (Pieta) ซึ่งเป็นรูปพระเยซูนอนอยู่บนตักพระแม่มาเรีย ทำจากหินอ่อน เนื้อขาวบริสุทธิ์ขนาดสูง 5 ฟุต 9 นิ้ว อันแฝงไว้ด้วยปรัชญาของคริสต์ศาสนา โดยใช้เวลาสร้างถึง 3 ปี ปัจจุบันตั้งอยู่ที่วิหารเซนต์ปีเตอร์ (St. Peter's Basilica)

                  ต่อมาไมเคิลแอนเจโล เดินทางกลับไปที่ฟลอเรนซ์ เพื่อรับงานแกะสลักหินอ่อนที่สำคัญอีกชิ้นหนึ่ง คือ ประติมากรรมหินอ่อนรูป "เดวิด" (David) ซึ่งแกะจากแท่งหินขนาดใหญ่ ใช้เวลาสร้างถึง 4 ปี จนกลายเป็นที่ฮืฮาของชาวเมือง เพราะไม่มีใครกล้าที่จะแตะต้องผลงานชิ้นนี้ เนื่องจากเป็นประติมากรรมเหมือนจริง รูปชายเปลือยและทำมาจากหินเก่าแก่ จึงทำให้ชื่อเสียงของไมเคิลแอนเจโลโด่งดังไปทั่วอิตาลี

เรื่องราวของเดวิดเป็นตำนานโบราณที่มีเรื่องราวว่า

                   เดวิดเป็นบุตรชายคนที่แปดของ Jesse ซึ่งอยู่ที่เมือง Bethlehem ห่างไปทางใต้ของกรุง Jerusalem เดวิดมีหน้าที่ดูแลฝูงแกะอยู่ในทุ่งหญ้า เขาดูแลแกะทั้งวันทั้งคืน โดยห่มเพียงผ้าห่มขนแกะที่แม่ของเขาทำให้

                   บางครั้งอาจมีสัตว์ร้ายมาทำร้ายลูกแกะของเขา เขาจึงต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิด แต่เขาเป็นคนแข็งแรงที่มีพละกำลังมหาศาล ครั้งหนึ่งเขาเคยต่อสู้กับสิงโตที่มาขโมยลูกแกะกิน และช่วยเจ้าลูกแกะไว้ได้ ต่อมาเคยต่อสู้กับหมีจนได้ชัยชนะ ดังนั้น เดวิดจึงเป็นคนแข็งแกร่งที่สามารถอยู่ได้ในท่ามกลางธรรมชาติอันโหดเหี้ยม

ภาพโดย จัสมิน ดวงคำสวัสดิ์ 

                   เดวิด จะเล่นฮาร์ฟและร้องเพลงในยามเย็นก่อนที่จะก่อกองไฟเพื่อจะดูแลสัตว์ในยามค่ำ
พี่ชายคนที่สามของเดวิดไปเป็นทหารที่ค่ายของ King Saul ทำการสู้รบกับพวก Philistines ซึ่งมียักษ์หลายตนอาศัยอยู่ด้วย ยักษ์ตนหนึ่งซึ่งสูงใหญ่และแข็งแรงที่สุดมีนามว่า Goliath

                   ในเย็นวันหนึ่ง เจ้ายักษ์ Goliath ได้ตะโกนข้ามหุบเหวและเนินเขามายังค่ายของ King Saul ว่า
 "เจ้าจงเลือกคนเก่งมาสู้กับข้า ถ้าฆ่าเราได้ พวก Philistines จะตกเป็นคนรับใช้ของพวกเจ้า หากข้าฆ่า คนเก่ง ของเจ้าได้ พวกเจ้าก็จะต้องมาเป็นคนรับใช้ ของ Philistines"

                   วันหนึ่งพ่อของเดวิดห่อขนมปังและชีสใส่ถุงให้เดวิดนำไปให้พี่ชายที่แค้มป์ เดวิดเมื่อไปถึงที่ค่ายทหาร ก็ขออาสาต่อกษัตริย์ที่จะสู้รบกับยักษ์ ตอนแรกกษัตริย์ไม่เห็นด้วย แต่เมื่อเดวิดบอกว่าเขาเคยปราบสิงโตและหมีมาแล้ว กษัตริย์จึงยินยอม และนำชุดเกราะและหมวกเหล็กของพระองค์มาใส่ให้เขา แต่เดวิดไม่ยอมใส่ ถือเพียงหนังสติ๊ก และเก็บก้อนหินในลำธารใส่กระเป๋าย่ามไป

เจ้ายักษ์โกรธและตะโกนด่าเดวิดว่า
"เห็นข้าเป็นหมาหรือไงจึงจะเอาหนังสติ๊กมาสู้กับข้า?"

ที่มาภาพ : http://www.superfunpatrol.net/images/triumph_narrowweb__300x400,0.jpg

                   เดวิดหยิบก้อนหินขึ้นมาจากย่าม เอาใส่หนังสติ๊กแล้วเหวี่ยงไปโดยแรง ก้อนหินพุ่งตรงไปถูกหน้าผากเจ้ายักษ์พอดี เจ้ายักษ์ล้มลง เดวิดเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งเข้าไปชักดาบของยักษ์ออกมาจากฝัก ตรงเข้าแทงและตัดหัวเจ้ายักษ์ทันที
ประชาชนโห่ร้องยินดีในความสามารถของ เดวิด พวกเขาพากันร้องเพลงว่า

"King Saul has killed thousand, but David has killed ten thousands."

ภาพโดย นางสาวจัสมิน ดวงคำสวัสดิ์

                   และต่อมา หลังจาก King Saul สิ้นพระชนม์แล้ว เดวิดก็ได้รับเลือกให้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ซึ่งกล่าวกันว่า พระเยซูก็เป็นรุ่นหลังๆในตระกูลของเดวิดนี่เอง 
                   สรุปได้ว่า เดวิดมีความกล้าหาญที่จะต่อสู้กับยักษ์ผู้รุกราน โดยใช้ทั้งกำลังและสติปัญญา จึงนำมาเป็นสัญญลักษณ์ดังกล่าว