ศัลยกรรมเกาหลี VS ศัลยกรรมไทย
ที่มาภาพ : http://www.aphonda.co.th/2008/images/07052008/tec04020551p1.jpg
“ศัลยกรรมไทยก้าวหน้ากว่าของเกาหลี 30 ปี”
กระแส “เกาหลีฟีเวอร์” ในเมืองไทยเรายามนี้ ไม่เพียงส่งผลให้คนไทย โดยเฉพาะที่เป็นผู้หญิง “เห่อ” นักร้อง-ดาราเกาหลีใต้กันมาก ทั้งหนัง ละคร คอนเสิร์ตจากเกาหลี ได้รับความนิยมในไทยอย่างสูง กับการแต่งเนื้อแต่งตัว เสื้อผ้า-หน้า-ผมของคนไทย ยุคนี้ โดยเฉพาะวัยรุ่น ก็ตามแห่ “สไตล์ เกาหลี” กันทั่วเมือง และกับการทำ “ศัลยกรรม” เกาหลีก็สร้างกระแสได้แรง ถึงขนาดมี “ทัวร์ทำศัลยกรรม” นำคนไทยไปทำที่เกาหลี
อย่างไรก็ตาม กับเรื่องการทำศัลยกรรมนี้ ทราบหรือไม่ว่า ??
“บุคลากรแพทย์ด้านศัลยกรรมของประเทศไทยก้าวหน้ากว่าวงการศัลยกรรม เกาหลีกว่า 30 ปี !!!” ซึ่งทางสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย เป็นฝ่ายที่ออกมาเปิดเผยในเรื่องนี้ พร้อมมีข้อมูลเรื่องราวที่เป็นการยืนยัน โดยทีมแพทย์ไทยได้รับเชิญไปบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมของศัลยกรรม เพื่อบุคลิกภาพให้กับศัลยแพทย์ชาวเกาหลี ที่กรุงโซล สาธารณ รัฐเกาหลี เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านวิชาการความก้าวหน้า กับกลุ่มสตรีชาวเกาหลี
ทั้งนี้ นพ.ชลธิศ สินรัชตานันท์ นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าฯ บอกว่า… ปัจจุบันบุคลากรแพทย์ด้านศัลยกรรมของประเทศไทยก้าวหน้ากว่าเกาหลีใต้กว่า 30 ปี ไทยเรามีแพทย์ด้านศัลยกรรมที่เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพิเศษเฉพาะทาง ขณะที่บุคลากรแพทย์ของเกาหลียังเป็นศัลยแพทย์ทั่วไป ซึ่งเกาหลีใต้ได้รับอิทธิพลการแพทย์ด้านศัลยกรรมมาจากประเทศ ญี่ปุ่น ที่มีการพัฒนาด้านนี้พร้อม ๆ กับไทย
อย่างเช่นการ “ทำตาสองชั้น” ปัจจุบันเกาหลีใต้ยังใช้วิธีเจาะ 4 รู มีการวางยาสลบ เย็บด้วยเข็มขนาดใหญ่ ทำให้เกิดรอยแผลเป็นขนาด ยาว แต่ในไทยปัจจุบันเจาะรูเล็ก ๆ บริเวณเปลือกตาเพียง 2 รู ไม่ต้องวางยาสลบ การเย็บแผลก็นำกล้องจุลทรรศน์มาใช้ ซึ่งทำให้มีรอยแผลขนาด เล็ก ลดอาการบวมลงได้มาก แต่ด้วยข้อจำกัดที่ว่าคนไทยจะไม่มีการพูดถึงการศัลยกรรมใบหน้ากันมาก คนทั่วไปจึงไม่ค่อยรับรู้เรื่องความก้าวหน้านี้
หรืออย่างการ “เสริมจมูก” ไทยก็เป็นประเทศแรกที่เสริมจมูกด้วยการนำไขมันของเจ้าตัวมาใช้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ ลดความเสี่ยงจากสิ่งแปลกปลอม จะแตกต่างและเสี่ยงน้อยกว่าใช้ “ซิลิโคน”
“ไทยเราพัฒนาศัลยกรรมจากยุคแรกที่เน้นแก้ไขความบกพร่องทางใบหน้าจาก อุบัติเหตุ หรือพิการแต่กำเนิด เช่น ปากแหว่งเพดานโหว่ เพื่อให้ใช้ชีวิตในสังคมได้โดยไม่เขินอาย และยุคต่อมานิยมทำกันในหมู่ คนทำงานกลางคืน จนปัจจุบันเริ่มมุ่งเน้นเพื่อเสริมบุคลิกภาพให้ดูดี เป็นที่ ยอมรับ”
นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าฯ บอกอีกว่า… ประเทศไทยนั้น ศัลยแพทย์ซึ่งทำศัลยกรรมบริเวณใบหน้าจะมีพื้นฐานความรู้จาก แพทย์หู คอ จมูก ปาก ก่อนแตกแขนงเป็นแพทย์พิเศษเฉพาะทาง อาทิ ผู้เชี่ยวชาญด้านตา จมูก ปาก เส้นผม ฟัน หน้าอก จนถึงการ “แปลงเพศ” ซึ่งได้รับการยอมรับทั่วโลก นอกจากนี้ ศัลยแพทย์ไทยยังมีการวิจัยพัฒนาเทคนิคและเทคโนโลยีในการศัลยกรรมความงามอยู่ ตลอดเวลา
ที่มาภาพ : http://watrd.files.wordpress.com/2009/11/about-weight-loss-surgery-ga-1.jpg
สำหรับการรับเชิญไปบรรยายที่เกาหลีใต้ นพ.ชลธิศเผยว่า… สมาคมศัลยกรรม ตกแต่งใบหน้าฯ ก็ได้ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมศัลยกรรมและเวชศาสตร์แห่งประเทศไทย และสมาคมท่องเที่ยวอเมริกาแห่งประเทศไทย ในการ “บุกตลาดศัลยกรรมเกาหลีใต้” อย่างเป็นทางการ โดยจัดโครงการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพและบุคลิกภาพขึ้น โดยมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านศัลยกรรมต่าง ๆ ร่วม 50 คนเดินทางไปในครั้งนี้ อาทิ….ผศ.ทพ.พรชัย จันศิษย์ยานนท์, นพ.จำรูญ ตั้งกีรติชัย, นพ.สัมฤทธิ์ คมฤทธิ์, พล.ต.ต.นพ.อรรถพันธ์ พรมณฑาพารัตน์, นพ.สรัลชัย เกียรติ สุระยานนท์, พ.ต.อ.ทพ.พิมล บำรุง เป็นต้น
ผศ.ทพ.พรชัย คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกฟันถาวร ระบุว่า… เรื่องการ “ทำฟัน จัดฟัน ทำรากฟัน” ไทยเราก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นในด้านความเชี่ยวชาญงานฝีมือที่ทำได้สวยงาม และรวดเร็ว อีกทั้งเรื่องของฟันไม่ใช่แค่ความงามอย่างเดียว ยังต้องคำนึงถึงเรื่องการทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ของฟัน เพื่อมิให้มีปัญหาในเรื่องของการตัด บด เคี้ยวอาหาร “ในไทยสามารถจัดฟัน ถอนฟัน แล้ว ทำรากเทียมได้เสร็จภายในวันเดียว โดยคนไข้มีอาการบอบช้ำภายหลังการรักษาน้อย”
ขณะที่ นพ.จำรูญ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้เชี่ยวชาญด้านปลูกผม ก็ระบุว่า… ปัจจุบันผู้ชายเองก็นิยมทำศัลยกรรมเช่น กัน อย่างเช่นการ “ปลูก ผม” ซึ่งไทยก็มีความเชี่ยวชาญ และทำได้รวดเร็ว ไม่ แพ้สหรัฐอเมริกา โดยการนำเซลล์ที่อยู่บริเวณท้ายทอยมาปลูกแทนผมส่วน ที่หายไป และนอกจากความเชี่ยวชาญ การประหยัดเวลา ที่เป็นจุดแข็งด้านการศัลยกรรมของไทยแล้ว ในเรื่องของค่าใช้จ่ายในไทยก็ยังถูกกว่าประเทศอื่น ๆ “การปลูกย้ายเซลล์ผมหากทำในอเมริกาค่าใช้จ่ายประมาณ 2 ล้านบาทต่อหัว แต่ของไทยจะถูกกว่าถึง 10 เท่า โดยตกหัวละประมาณ 200,000 บาทเท่านั้น”
ทั้งนี้ ปิดท้ายด้ายการระบุของ นพ.ชลธิศ นายกสมาคมศัลย กรรมตกแต่งใบหน้าฯ ที่ว่า… “ความเชี่ยวชาญ ความปลอดภัย เทคโนโลยีที่ใช้ หรือแม้แต่ราคา วงการศัลยกรรมความงามในประเทศไทยจัดได้ว่าเหนือกว่าเกาหลีใต้ทุกประตู ดังนั้น จึงไม่อยากให้คนไทยจ่ายแพง แล้วยังได้ของเก่า”
“ศัลยกรรมให้เหมือนดาราเกาหลี….ได้จริงหรอ??”
เป็นเพราะภาพ "บีฟอร์ แอนด์ อาฟเตอร์" ของบรรดานางเอกเกาหลีที่ถูกขุดขึ้นมาเปิดเผย ให้เห็นว่า "ก่อนหน้า" และ "หลังทำ" ศัลยกรรมนั้นแตกต่างกันอย่างไรแท้ๆ ที่ทำให้เดี๋ยวนี้กระแสทัวร์ศัลยกรรมผุดขึ้นและได้รับความนิยมมากขึ้นๆ ในบ้านเรา
แหม,ก็ภาพที่เห็นน่ะ จากเด็กสาวหน้าตาบ้านๆ ดูสามัญอย่างยิ่ง ยังกลายเป็นหญิงงามระดับนางเอกได้นี่นา แล้วคนหน้าตาธรรมดาๆ อย่างเราจะงามแบบดารากับเขาบ้างไม่ได้เลยหรือ
"ไม่ได้หรอก" "นพ.จอง อิน ซอน" แพทย์ศัลยกรรมมือหนึ่งของเกาหลี ที่มีชื่อเสียงติดอันดับต้นๆ บอกชัดเจน
ที่มาภาพ: http://image.dek-d.com/13/1166287/14096564 & http://www.pingbook.com/archive/1214504097420ae8dkk6fng8id.jpg
แต่ไม่อยากจะเชื่อ ก็ไหนใครๆ เขาว่าพกรูปดาราที่เราชอบไปสักคน จะ "จวน จี ฮุน,ยุน อึน เฮ" หรือว่า "คิม แต ฮี" ไปยื่นให้จ่ายเงินแล้วไปขึ้นเขียงให้หมอกรีด เลาะ เย็บ ฯลฯ ซึ่งแม้จะเจ็บ แต่ก็สวยอย่างใจได้ยังไงเล่า
"หมอฟังคำแย้ง แล้วยิ้ม ยืนยันซ้ำอีกทีว่า ไม่จริงหรอก"
นพ.จอง อิน ซอน ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านศัลยกรรมให้ดาราเกาหลี ตามที่สมาคมนักแสดงที่นั่นรับประกันคุณภาพบอกว่า เขาเคยมีคนไข้ประเภทที่มาถึงก็ยื่นรูปนักแสดงให้อยู่เหมือนกัน ซึ่งพอเจออย่างนั้นก็ต้องเริ่มทำความเข้าใจเรื่องศัลยกรรมกันใหม่-ตั้งแต่ ต้น
"ความคิดของคนเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมคืออะไร..." หมอถาม
"ทำให้สวยขึ้น" เราตอบอย่างมั่นใจ
แต่หมอได้ยินแล้วส่ายหน้า บอกว่าผิด
"คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าศัลยกรรมจะทำให้เป็นคนใหม่ ซึ่งไม่ใช่ ความจริงศัลยกรรมก็เหมือนบ้านที่หลังคารั่ว ก็ต้องซ่อมเพื่อให้อยู่สบาย โดยไม่ต้องเปลี่ยนหลังคาทั้งหมด ศัลยกรรมไม่ใช่การทำให้เราสวยขึ้น ไม่ใช่การทำเพื่อให้คนอื่นมอง ไม่ใช่ทำให้เหมือนดารา ศัลยกรรมเป็นแค่การแต่งหน้าที่ทำให้เราดูดี เหมือนหน้ามีปัญหาแล้วแก้ไข"
ไม่ใช่ว่าจริงๆ แล้วทุกอย่างก็ดูดีอยู่ แต่เจ้าของไม่ชอบใจ อยากสวยเหมือนดาราที่เห็นในซีรี่ส์แล้วมาทำ
"ที่จริงพวกนั้นไม่ได้ทำศัลยกรรมกันเยอะนะ" คุณหมอบอก
โดยว่าอย่างมากพวกเธออาจจะมาทำตาที่เล็ก ตาที่มีชั้นเดียวให้เป็น 2 ชั้น ซึ่งนั่นเป็นเรื่องจิ๊บๆ ใช้เวลาแค่ 5 นาทีก็เสร็จ มีบ้างที่มาทำจมูกให้โด่ง หรือทำให้หน้าตึง ไร้รอยเหี่ยวย่น
"คนชอบคิดว่าเมื่อก่อนดาราไม่สวย แต่เดี๋ยวนี้สวย เพราะศัลยกรรม ซึ่งไม่จริง เพราะถ้าเมื่อก่อนไม่สวย เดี๋ยวนี้ก็สวยไม่ได้ แต่เป็นเพราะเบสิคเขาสวยมาแล้ว มาแก้นิดเดียวก็ดูดี เพราะฉะนั้น อย่าเข้าใจผิดว่าเขาสวยเพราะศัลยกรรม มันไม่ใช่"
ไม่เพียงแต่เรื่อง "เบสิค" เท่านั้น คุณหมอยังว่าความจริงอีกอย่างที่ต้องคำนึงถึง คือคนแต่ละคนโครงหน้าไม่เหมือนกัน ด้วยต่างคนต่างก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว การที่เราจะเป็นเหมือนคนอื่นจึงเป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
"แล้วการทำศัลยกรรม ไม่ใช่มาทำเพราะเราไม่สวย แต่สวยคนละแบบ จริงๆ ควรดูว่าสำหรับคุณควรแก้ตรงไหน อย่างไร ไม่ใช่คุณบอกว่าอยากได้แบบไหน ถือรูปไปให้แล้วเขาก็ทำแบบนั้น ถ้าไปเจอประเภทนี้ เปลี่ยนคนดีกว่า นั่นไม่ใช่หมอ"
ไม่ใช่จริงๆ เขาย้ำ
เป็น "ไม่ใช่" แบบเดียวกับความเข้าใจของคนทั่วไปที่คิดว่า คนเกาหลีร้อยทั้งร้อยผ่านมีดหมอเพื่อสวยมาทั้งนั้น หรือเรื่องที่พ่อแม่ชาวเกาหลีเตรียมของขวัญวันเรียนจบเป็นสตางค์ให้ลูกไปทำ ศัลยกรรมก็ไม่ถูก
ทั้งหมดเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนด้วยการตีความจากสื่อที่นำเสนอ-ที่หมอบอก
ที่มาภาพ: http://content.mthai.com/upload_images/0-te/te_aug_2009/women_variety/suaysung/suaysung_001.jpg
อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่า มีคนเกาหลีจำนวนหนึ่งที่ทำศัลยกรรมจริง โดย 70% ของจำนวนนั้นมักทำตาให้เป็น 2 ชั้น กับทำจมูกให้โด่งขึ้น เขาซึ่งเชี่ยวชาญเรื่องศัลยกรรมดวงตา ก็เคยทำตาให้สาวๆ มาแล้วถึง 15,000 คน
แน่นอนในจำนวนนั้นไม่ใช่คนเกาหลีทั้งหมด คนต่างชาติก็มีเยอะ โดยในส่วนของต่างชาตินั้นระยะหลังเขาพบประเภทที่มาทัวร์เพื่อทำศัลยกรรมโดย เฉพาะมากขึ้น คนไทยเองก็มีแต่ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหน ในฐานะหมอศัลยกรรม นพ.จอง อิน ซอน ขอฝากข้อความทิ้งท้ายไว้ว่า
"สำหรับคนที่คิดจะมาทัวร์ศัลยกรรม เรื่องฝีมือสำคัญมาก ของอย่างนี้ไม่ใช่ใครก็ทำได้ มันไม่ใช่การทำขนมปังนะ ถ้าจะทำก็เช็คให้ดีว่าทำกับใคร ฝีมือขนาดไหน ประสบการณ์เป็นอย่างไร และที่สำคัญที่สุดคือความคิดของตัวเอง ห้ามคิดว่าการทำศัลยกรรมคือการปรับเป็นคนใหม่ เพราะศัลยกรรมคือเสริม ไม่ใช่เปลี่ยน"
ไม่ใช่เราเป็นเราอยู่ดีๆ แล้วจะมีหน้าตาเหมือนดาราเกาหลีได้
“สิ่งที่ควรรู้ก่อนศัลยกรรม”
1. ไม่มีการศัลยกรรมที่ไร้รอยแผลเป็น การผ่าตัดเพื่อความงามได้รับการพัฒนาไปมากก็จริง ในเรื่องการซ่อนเร้นรอยแผลเป็นไว้ตามรอยพับตามธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ แต่มันยังคงอยู่บนตัวคุณไม่ได้หายไปไหนแพทย์คนไหนที่บอกว่าสามารถผ่าตัดแบบ ปราศจากรอยแผลเป็นให้คุณได้นั้น ไม่ได้พูดความจริง การดึงหน้าการทำจมูก การเพิ่มขนาดหน้าอก การดูดไขมัน จะไรแผลเป็นได้ก็ต่อเมื่อไม่มีการกรีดหรือการผ่า และเมื่อไม่มีการกรีดหรือการผ่าสิ่งนั้นก็ไม่ไช่ศัลยกรรม
2. การดูดไขมันไม่สามารถขจัดเซลลูไลท์ ถ้าศัลยแพทย์ที่คุณไปปรึกษาบอกตรงกันข้าม รีบแผ่นออกจากคลินิกหรือโรงพยาบาลแห่งนั้นให้เรด การดูดไขมันช่วยให้ร่างกายโดยรวมดูผอมลงและกำจัดจุดมีปัญหาที่การคุมอาหาร และออกกำลังกายทำอะไรมันไม่ได้แต่การศัลยกรรมวิธีนี้จะทำให้เซลลูไลท์ที่มี อยู่แล้วย่ำแย่ลง โดยเฉพาะถ้าไขมันถูกจำกัดออกไปในปริมาณมาก
การดูดไขมันมากเกินไปจะทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นย้วยห้อยหรือพับไปพับมา ขาบั้นท้ายอาจผิดรูปผิดทรงและไม่ราบเรียบ สิ่งที่ควรจำไว้คือ การดูดไขมันที่ต้องขจัดในแต่ละจุดมีมากกว่า 1 – 2 กิโลกรัม คุรควรพิจารณาการลดน้ำหนักเสียก่อนแล้วจึงค่อยคิดถึงการดูดไขมัน
แม้ไม่มีกฎระบุไว้เป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนว่าไขมันที่จะเอาออกในแต่ละครั้ง ควรมีปริมาณเท่าไหร่ แต่สมคมศัลยแพทย์พลสติกแห่งอเมริกา (American Society of Plastic Sureons) แนะนำว่า ไม่ควรขจัดไขมันออกเกินครั้งละ 2.5 – 3 กิโลกรัม เพราะยิ่งดูดไขมันออกมามาก คนไขก็จะยิ่งเสี่ยงอันตรายมากตามไปด้วยการตัดสินใจที่ผิดพลาดไม่เพียงนำไป สู่ผิดหนังยวยๆ แต่อาจหมายถึงชีวิต เพราะสิ่งที่ออกมาพร้อมกับไขมันก็คือเลือด ถ้าเสียเลือดมากคนไข้จะซ็อก หัวใจล้มเหลวและเสียชีวิตในที่สุด
3. แน่นอนว่ามันจะเจ็บ ผู้หญิงมีแนวโน้มทนต่อความเจ็บมากกว่าผู้ชาย แต่ไช่ว่าจะมีขีดจำกัดศัลยกรรมที่เจ็บปวดที่สุด 5 อันดับแรกได้แก่ การลดขนาดหน้าท้อง (เนื้อบางส่วนเกินถูกดเฉือนออกไปและมีการทำสะดือใหม่) การเพิ่มขนาดหน้าอก (จะเจ็บมากเพราะตัวเสริมจะถูกนำไปวางไว้หลังกล้ามเนื้อ ซึ่งหมายถึงว่ากล้ามเนื้อบางส่วนจะถูกตัดออกไป) ผ่าตัดด้วยเลเซอร์ทั้งหน้า (การใช่เลเซอร์เพื่อลบริ้วรอยและแผลเป็นจะก่อให้เกิดการไหม้ระดัยสอง) การยกกระซับต้นขา และสุดท้ายการยกกระซับอื่นๆของร่างกาย
4. มีศัลยกรรมบางอย่างที่อย่าแม้แต่จะคิดทำ อันดับหนึ่งเลยคือ การเสริมก้น เพราะมีน้ายมากที่พลลัพธ์จะออกมาดูดีหรือธรรมชาติ ถ้าไม่ออกมาเหมือนคุณมีกี่สันก็จะดูตลก นอกจากความจริงที่ว่าขั้นตอนการทำพนั้นแปลกประหลาดแล้ว มีเหตุผลทางการแพทย์หลายประการที่คุณควรอยู่ให้ไกลจากมัน
แรกเลยก็คือ กล้ามเนื้อตรงบั้นท้ายเป็นกล้ามเนื้อมันใหญ่ที่สุดในร่างกาย จึงไม่ควรอย่ายิ่งที่จะใส่สิ่งแปลกปลอม (ตัวเสริม) เข้าไปยังส่วนที่รับน้ำหนักและแรงกดสูงอยู่แล้วเช่นกัน นอกจากนี้ก้นยังเป็นอวัยวะที่มีการเคลื่อนไหวและถูกกดทับอยู่เกือบตลอดเวลา จึงมีความเสี่ยงสูงที่ตัวเสริมจเคลื่อนจากตำแหน่งเดิมหรือปริแตกจากแรงกดดัน
อีกอย่างที่ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวคือ การฉีดซิลิโคนที่ริมฝีปากเพื่อให้อวบอ่ม เมื่อฉีดสารถาวรอย่างนั้นเข้าไปผลที่ออกมาจะดูมากเกินไปและแปลกปลอม ที่ร้ายกว่านั้นการเอาซิลิโคนเหลวออกนั้นยากเย็นแสนเข็ญและอาจสูบเงินใน กระเป๋าคุณมากกว่าที่เคยจ่ายเพื่อเอามันเข้าไปหลายสิบเท่าแถมยังทิ้งริ้วรอย แผลเป็นและริมฝีปากแบบผิดมนุษย์มนาไว้ให้ดูต่างหน้าด้วย
5. ศัลยแพทย์ที่ออกโฆษณาจนติดหู ไม่ไช่ความคิดที่ดี โดยทั่วไปศัลยแพทย์ที่ดีย่อมไม่โฆษณา แต่ไม่ได้หมายความว่าหมอศัลยกรรมทีเห็นตามหน้านิตยสารจะฝีมือห่วน แต่คนที่เก่งจริงไม่เป็นต้องอาศัยคัตเอาต์ขนาด ใหญ่บนตึกสิบชั้นเพื่อประชาสัมพันธ์ตัวเอง
ถ้าอย่างั้นจะไปหารายชื่อศัลยแพทย์ฝีมือระดับพระกาฬจากไหน ลองขอคำแนะนำจากหมอทั่วไปที่คุณเชื่ใจดูเพราะคนเป็นหมอย่อมรั้ตื้นลึกหนาบาง ในวงการแพทย์ที่คนนอกไม่ประสีประสาได้ดีหรือถามคนที่เคยผ่านการศัลยกรรมมา แล้วอย่างน้อยหนึ่งปี เพื่อให้แน่ใจถึงผลประโยชน์ในระยะยาวจากลงมีดของหมอคนนั้น ๆ รวมถึงการติดต่อตามผลและการแก้ไขเมื่อเกิดปัญหา
เลือกมาอย่างน้อย 3 คนที่คุณคิดว่าเป็นบุคลากรชั้นแนวหน้าในด้านที่คุณต้องการศัลยกรรม จากนั้นก็นัดขอคำปรึกษา แพทย์ที่บอกว่าไม่มีเวลาสำหรับการปรึกษาหรือไม่จำเป็นต้องปรึกษามาลงมีดเลย คุณควรตัดออกจากสารบบไปซะ แค่ปรึกษาไม่กี่นาทียังสละไม่ได้ต่อไปถ้าเกิดปัญหาที่หลังเข้าจะมีเวลามา แก้ไขให้คุณหรือ เขียนข้อสงสัยหรือความกังวลของคุณเป็นข้อๆ ไม่ว่าคำถามนั้นจะฟังงี่เง่าหรือจิ๊บจ๊อยแค่ไหนก็ตาม แพทย์ที่ดีจะเต็มใจไขข้อในให้คุณ
6. แพทย์อาจไม่ได้เป็นผู้ลงมือในทุกขั้นตอน ศัลยแพทย์มือทองหลายคนอาจเป็นผู้ให้คำอธิบายคุณในทุกขั้นตอนแต่เมื่อเวลาลง มีดจริงๆ ผู้ช่วยแพทย์หรือพยาบาลอาจเป็นผู้รับผิดชอบบางส่วน โดยแพทยืจะเป็นคนลงมือกรีดแต่ปล่อยให้เป็นหนเที่คนอื่นที่จะเย็บหรือตกแต่ง แผล ระหว่างนั้นหมอจะสามารถแวลไปจัดการกับอีกเตียงหนึ่ง ซึ่งมายถึงรายได้สองเท่าในเวลาเท่าเดิม
จริงๆ แล้วการเย็บเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เพราะเป็นตัวตัดสินว่าแผลและแผลเป็นจะออกมาในรูปแบบไหนนอกจากนี้โอกาศที่ ปัญหาบางประการจะได้รับการมองเห็นและวินิฉัยแต่เนิ่นๆ ก็ลดน้อยลง เพราะผู้ช่วยแพทย์หรือพยาบาลย่อมไม่มีความเชียวชาญเท่าแพทย์ ก่อนตัดสินใจจึงควรถามรายละเอียดให้กระจ่าง
7. การดมยาสลบอาจถึงตายได้ วิสัญญีแพทย์สามารถทำให้คุณไปพบยมบาลได้ง่ายดายและนุ่มนวลยิ่งกว่าศัลยกรรม เสียอีก หมอดมยาไม่เพียงรับผิดชอบการทำให้คุรหมดสติแต่ยังรวมถึงการตรวจสอบชีพจร (เช่น ความดันโลหิตหรือการหายใจ) ในระหว่างการผ่าตัด และการทำให้คุณฟื้นขึ้นมาอย่างปลอดภัย ดังนั้นการได้วิสัญญีแพทย์มือฉมังมาดูแลคุณจึงจำเป็นพอๆ กับศัลยแพทย์ และถ้าแพทย์สองคนนี้ทำงานร่วมกันมาหลายครั้งก็จะช้วยให้เบาใจได้ว่าจะไม่ ต้องจากโลกนี้ไปโดยยังไม่สวยสมใจ
8. อยากรู้ว่าหมอไหนเก่งแค่ไหน ดูที่ภรรยาของเขา แต่ถ้าจะให้มั่นใจจริงๆ คุณควรได้เห็นผลงานบนตัวคนเป็นๆ เพราะรูปภาพนั้นสามารถแก้ไขหรือรีทัชได้ ถ้าแพทย์บอกว่าเข้าไม่มีแม้แต่รูปของคนไขเก่าไว้อ้างอิง เป็นสัญาณเตือนภัยระดับสีแดงเลยว่าควรโบกมือลาหมอคนนี้โดยไว
เป็นเรื่องจริงที่ว่าภรรยาของศัลยแพทย์ส่วนใหญ่จะเคยผ่านการศัลยกรรมมา แล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้ง และคุณสามารถทราบอะไรเกี่ยวกับหมอผ่าตัดคนได้หนึ่งได้มากมายเพียงแค่มองดู ภรรยาของเขา ลองมองหาภาพครอบครัวซึ่งมักประดับอยู่ในคลินิกถ้าคุณเห็นสิ่งที่เรียกว่า “มากเกินไป” บนใบหน้าของศรีภรรยาคนนั้น ก็มีแนวโน้มสูงกกว่าจะได้รับแบบเดียวกัน
9. ผลของศัลกรรมพลาสติกไม่คงอยู่ตลอดไป ถ้าคุณกำลังมองหาอะไรที่ดำรงอยู่ตลอดกาล ซื้อเพชรสักเม็ดจะมีหวังมากกว่า วินาทีที่หมอจัดการปิดแผลเสร็จ แรงโน้มถ่วงของโลกและกระบวนการชราภาพของร่างกายจะตรงเข้ามามีอิธิพลในทันที อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 20 ปี หลังจากยกกระซับหนเอก ดอกบัวดู่ของคุณไม่มีทางเด้งดึ๋งดั๋งเหมือนน้อยมันก็จะเป็นรูปเป็นทรงกว่า สภาพที่ควรจะเป็นหากไม่ได้ตัดสินใจทำ เพราะจะฉะนั้นอย่าคาดหวังสูงเกินจริง
10. คุณจะได้รับในราคาที่คุณจ่ายไป แน่อยู่แล้ว โลกนี้ไม่มีอะไรฟรีและทุกอย่างย่อมมีที่มาที่ไป ถ้าคลินิกที่คุณไปฉีดโบท้อกช์คิดราคาคุณแค่ครึ่งหนึ่งของที่อื่นก็เป็นไปได้ ว่าคุณจะได้สารโบท็อกช์แค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้นของที่อื่นเช่นกัน โบทีอกเป็นยาที่ราคาตายตัวและไม่อาจซื้อหาจากที่อื่นหรือผลิตเองได้ ดังนั้นแพทย์จึงไม่สามารถลดราคาเว้นแต่จะลดปริมาณ
การศัลยกรรมก็เช่นเดียวกัน ถ้าหมอตั้งราคาไว้ต่ำกว่าปกติ มีความเป็นไปได้สูงกว่าแพทย์คนนั้นจะมีประสบการณ์และหรือเครื่องมือที่มี คุณภาพต่ำกว่าคลินิกที่คิดราคาสูง แต่ถึงกระนั้นทุกอย่างมีข้อยกเว้นของมัน อาจจะมีหมอจบใหม่แต่เปี่ยมพรสวรรค์ที่ให้คุณได้มากกว่าหมอมีประสบการณ์ใน ราคาถูกกว่าครึ่งต่อครึ่ง
"ตัวอย่างการผ่าตัดศัลยกรรม"
ที่มาคลิปวีดีโอ: http://youtu.be/rseCZHBzh50
ว้าว!!!!เราก็พึ่งรู้เลยนะนเนี่ย
ชอบชอบ :)
เจ๋ง!!! สุดยอด :))
คลิปเสียวมากอะ
ดีจ้า
ขอมอบปลาให้ไปเลี้ยงนะจ้ะ
ที่มาของภาพ http://2.bp.blogspot.com/_7rUu3IhNi9I/TLR00C2uJRI/AAAAAAAABfY/P6v3yNeL54g/s1600/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%A11.jpg
ครูพูนศักดิ์ สักกทัตติยกุล
ทำด้วยใจ ไปด้วยฝัน