ฝ่ายท้าวสักกะเทวราชทรงเล็งเห็นว่าหากมีผู้มาทูลขอพระนางมัทรีไป พระเวสสันดรก็จะทรงลำบากไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้เต็มความปรารถนา เพราะต้องทรงแสวงหาอาหารประทังชีวิตท้าวสักกะจึงแปลงองค์เป็น
พราหมณ์ มาขอรับบริจาคพระนางมัทรี พระเวสสันดรก็ทรงปิติยินดีที่
จะได้ประกอบทารทานคือการ บริจาคภรรยาเพื่อประโยชน์แก่บุคคลอื่น
พระนาง มัทรีก็ทรงเต็มพระทัยที่จะได้ทรงมีส่วน ในการบำเพ็ญทานบารมี
ตามที่พระเวสสันดรทรงตั้งพระทัยไว้ เมื่อได้รับบริจาคแล้ว ท้าวสักกะก็ทรง
กลับคืนร่างดังเดิมและตรัสสรรเสริญอนุโมทนา ในกุศลแห่งทาน บารมีของ
พระเวสสันดร แล้วถวายพระนางมัทรีกลับคืนแด่พระเวสสันดร
พระเวสสันดรจึงได้ทรงประกอบบุตรทารทานอันยากที่ผู้ใดจะกระทำได้ สมดังที่ได้ตั้งพระทัยว่าจะบริจาคทรัพย์ของพระองค์ เพื่อประโยชน์
แก่ผู้อื่น โดยปราศจากความหวงแหนเสียดายฝ่ายชูชกพาสองกุมาร
เดินทางมาในป่าระหกระเหินได้รับความลำบากเป็นอันมากและหลงทาง
ไปจนถึง เมืองสีวี บังเอิญผ่าน ไปหน้าที่ประทับพระเจ้าสัญชัย ทรง
ทอดพระเนตรเห็นพระนัดดาทั้งสองก็ทรงจำได้ จึงให้เสนาไปพาเข้ามาเฝ้า
ชูชกทูลว่า พระเวสสันดรทรงบริจาคพระชาลีกัณหา ให้เป็นข้าทาสของตนแล้ว บรรดาเสนาอำมาตย์และประชาชนทั้งหลาย ต่างก็พากันสงสารพระกุมารทั้งสอง
และ ตำหนิพระเวสสันดรที่มิได้ทรงห่วงใย พระโอรสธิดาพระชาลีเห็นผู้อื่นพากัน
ตำหนิติเตียนพระบิดา จึงทรงกล่าวว่า "เมื่อพระบิดาเสด็จไปผนวชอยู่ในป่า
มิได้ทรงมีสมบัติใดติดพระองค์ไป แต่ทรงมีพระทัยแน่วแน่ที่จะ สละกิเลส ไม่หลงใหลหวงแหนในสมบัติสิ่งหนึ่งสิ่งใดแม้บุคคลอันเป็นที่รักก็ย่อมสละได้เพื่อ
ประโยชน์ แก่ผู้อื่น เพราะทรงมีพระทัยมั่นในพระโพธิญาณ ในภายหน้า ความรัก
ความหลง ความโลภ ความโกรธ เป็นกิเลสที่ขวางกั้นหนทางไปสู่ พระโพธิญาณ

 

Next